Skip to content
Home » Blog » A World Worth Protecting 121

A World Worth Protecting 121

บทที่ 121 อาวุธเทพมีเพียงหนึ่งเดียว

เรือบินเคลื่อนตัวออกไปไกลจนหวังเป่าเล่อไม่สามารถมองเห็นหมู่บ้าน    ลมปราณวิญญาณและยอดเขาเศษชิ้นส่วนที่เลือนรางได้อีก

เมื่อชายหนุ่มหลับตาลง ก็สัมผัสได้ถึงเส้นปราณวิญญาณในร่างกาย หวังเป่าเล่อรู้จักสุภาษิตที่ว่า ‘คนบริสุทธิ์ตกที่นั่งลำบากเพราะความมั่งคั่ง’ เป็นอย่างดี ดังนั้น    เขาจึงจำเป็นต้องปิดบังรากฐานวิญญาณที่แท้จริงไว้ รากฐานวิญญาณแปดนิ้วนั้น     ถือว่าเป็นขีดจำกัดที่ทุกคนทราบในปัจจุบัน หากมีคนที่มีรากฐานวิญญาณสิบนิ้วปรากฏตัวขึ้น ต้องเกิดความโกลาหลไปทั่วแน่

ถ้าครอบครัวของหวังเป่าเล่อเป็นตระกูลใหญ่โต ก็อาจจะรอดจากความโกลาหลที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้น หากความลับถูกเปิดโปงไป          ชายหนุ่มเองก็จินตนาการไม่ออกเช่นกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง

เชื่อมั่นในความดี แต่อย่าได้ยึดติดถือมั่น!

ประโยคนี้มาจากตำราอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูง ตอนเด็กๆ หวังเป่าเล่อไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้เลย แต่พอเริ่มโตขึ้น เขาก็ค่อยๆ เข้าใจความหมายของมันมากขึ้น

ผ่านไปสักพัก หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจยาวและไล่ความคิดในหัวออกไปจนหมด ชายหนุ่มหยิบขนมออกมากินระหว่างเดินกลับเข้าไปในตัวเรือบิน อะไรก็ดีขึ้นได้      แค่มีขนมอยู่ในมือ หลังจากกินหมดไปหนึ่งถุง หวังเป่าเล่อก็เริ่มคิดถึงเรื่องข้าวของที่รวบรวมมาได้และอนาคตของเขาบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงในเวลาอันใกล้นี้          เขาเบิกบานขึ้นมาทันใด ก่อนจะเดินฮัมเพลงเข้าไปในเรือเพื่อหาใครสนทนาด้วย

เขาไปยังห้องเฉินจื่อเหิงเป็นที่แรก แต่เฉินจื่อเหิงกำลังปรับสมดุลกายหลังจากบรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้อยู่ จึงไม่มีเวลามาสนทนากับหวังเป่าเล่อ หวังเป่าเล่อเห็นดังนั้น ก็ตัดสินใจไปหาตู้หมินแทน

ตอนแรกทั้งสองก็พูดคุยกันดีๆ แต่พอหวังเป่าเล่อเริ่มเผลอตัวพูดไปเรื่อย ตู้หมินก็เริ่มรำคาญก่อนจะตะโกนด่า “ไสหัวไป เจ้าหมูโง่!”

หวังเป่าเล่อถูจมูกพลางคิดในใจว่าตู้หมินช่างเป็นคนอารมณ์ร้อนเสียจริง ก่อนจะกลับออกไป หลังจากหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจไปหาจั่วอี้ฟาน จั่วอี้ฟานนั้นก็กำลังเก็บตัวฝึกตนอยู่เช่นกัน หวังเป่าเล่อเกาหัว ตัดสินใจไปหาเจ้าเยี่ยเหมิงแทน

พอไปถึงห้องของเจ้าเยี่ยเหมิง ก็พบว่านางกำลังนั่งเงียบอยู่ ไม่ว่าชายหนุ่มจะพูดอะไรกับนาง นางก็ไม่ตอบกลับ จนหวังเป่าเล่อเริ่มเบื่อและกระอักกระอ่วนใจที่ทำตัวราวกับคนบ้า พูดคุยกับตัวเอง จึงออกจากห้องเจ้าเยี่ยเหมิงไป

หวังเป่าเล่อไม่รู้จะไปพบใครอีก จึงคิดว่าเขาควรจะกลับห้องไปฝึกตนบ้าง แต่ก็ได้รับข้อความจากเจ้าสำนัก เรียกตัวให้เขาเข้าไปพบเพื่อรายงานเรื่องจุดที่เขาค้นพบศพ

เมื่อมาถึง ก็พบกับคนมากหน้าหลายตานั่งอยู่ในห้อง ผู้อาวุโสหน้าแดงและผู้ฝึกตน    คนอื่นๆ ที่หวังเป่าเล่อไม่คุ้นหน้ามองจ้องมายังชายหนุ่มเป็นตาเดียว

ไม่นาน เจ้าเยี่ยเหมิง จั่วอี้ฟาน และเฉินหมิงอวี่ก็มาสมทบ เจ้าสำนักเริ่มเอ่ยถามหลายคำถาม ทั้งสี่สลับกันตอบคำถาม อธิบายถึงแท่นบูชาที่พวกเขาพบศพลอยอยู่

พวกเขายังเล่าถึงวิธีการที่ใช้นำศพออกมา เจ้าเยี่ยเหมิงนั้นใช้พลังเวทเข้ามาช่วย สูญพลังไปมากทีเดียวเพื่อนำศพตนนั้นออกมา

แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้เล่าตรงไปตรงมาเช่นนั้น ชายหนุ่มเพียงแต่อธิบายถึงเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในนั้นว่า อยู่ๆ หมอกก็หายไป รูปปั้นปรากฏให้เห็น ใบหน้าสุดสยองเข้าโจมตีก่อนจะโดนสะกดไว้ ทำให้ผืนดินสั่นสะเทือน เขาจึงใช้      หุ่นเชิดหาช่องทางเข้าไปหาศพ หวังเป่าเล่อได้บิดเรื่องเตรียมไว้ตั้งแต่ตอนลอยออกมาจากภูเขาแล้ว

“หอกยาวสีน้ำเงินเป็นของปลอม แต่ข้าคิดว่าหอกนั่นเป็นอาวุธเทพ น่าหงุดหงิดเสียจริง”

เรื่องที่หวังเป่าเล่อนั้นเป็นมูลความจริงเสียส่วนใหญ่ หากแต่ละเว้นไม่เอ่ยถึงเรื่องหน้ากากและลูกประคำสีน้ำเงิน เป็นเรื่องยากที่ผู้ฟังจะรู้ว่าสิ่งที่ชายหนุ่มเล่าออกไปนั้นเป็นความจริงแค่ครึ่งเดียว ส่วนที่รายงานว่าหอกยาวสีน้ำเงินเป็นของปลอมนั้น        ก็เพราะไม่รู้ว่าจะปิดบังไปทำไม อีกอย่าง หวังเป่าเล่อก็กลัวว่าทางสำนักศึกษา       เต๋าศักดิ์สิทธิ์จะมีวิธีการตรวจสอบเรื่องหอกนี้ เขาจึงคิดว่าไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะต้องโกหก

“หอกยาวอย่างนั้นหรือ” เจ้าสำนักมีปฏิกิริยาเล็กน้อย ผู้อาวุโสหน้าแดงที่นั่งขัดสมาธิอยู่หลังเจ้าสำนักก็หันไปมองหน้าผู้ฝึกตนคนอื่นๆ เมื่อได้ยินที่หวังเป่าเล่อพูด พอเห็นพวกเขาพยักหน้าตอบ ผู้อาวุโสก็ยิ้มขึ้น ถ้าหวังเป่าเล่อไม่ได้รายงานว่าหอกยาวสีน้ำเงินเป็นของปลอม คงจะเกิดปัญหาขึ้นแน่

“เป็นของปลอมแน่ๆ!”

“จริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าค้นพบภาพมายาของหอกยาวสีน้ำเงินนี้” ผู้ฝึกตนคนหนึ่งในคณะเสริม

“จนถึงปัจจุบัน พวกเราพบภาพมายานั้นมาแล้วสามครั้งในเศษชิ้นส่วนจาก    ห้วงอวกาศชิ้นอื่นๆ ทุกที่ที่พบนั้นจะมีรูปปั้นและใบหน้าประหลาดอยู่ดังเจ้าว่า!”

“หอกยาวสีน้ำเงินจากอีกสามแท่นบูชาก็หายไปในทันทีที่เรานำศพออกมา     จากการศึกษาพบว่า หอกนั้นเป็นภาพมายาสร้างขึ้นจากพลังที่เราไม่สามารถควบคุมได้ ภาพนั้นมีพลังสะกดอยู่ น่าเสียดายที่เราควบคุมพลังนั่นไม่ได้ ส่วนศพที่นำกลับมาได้มีสภาพไม่สมบูรณ์ ถึงจะศึกษาได้ข้อมูลมาบ้าง ก็ไม่เทียบเท่ากับศพที่เราได้มา    ครั้งนี้!”

ได้ฟังที่อธิบาย หวังเป่าเล่อก็แอบกังวลใจขึ้นมา เขาไม่รู้มาก่อนว่าสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าเคยพบแท่นบูชาของหอกยาวสีน้ำเงินเหมือนกัน ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ก่อตัวขึ้นภายในใจของชายหนุ่ม

พวกเขาไม่พบลูกประคำน้ำเงินอย่างนั้นรึ หรือเราจะเป็นผู้เดียวที่นำมันออกมาได้ หวังเป่าเล่อใจเต้นแรง เขานึกได้ว่าต้องใช้พลังสูบจากเมล็ดดูดกลืนถึงได้ลูกประคำ   น้ำเงินมา

หรือว่าหอกยาวสีน้ำเงินจะไม่ได้หายไป แต่โดนพลังสูบจากเมล็ดดูดกลืนบีบอัดจนกลายเป็นลูกประคำไปเสียแล้ว ผู้อาวุโสหน้าแดงสังเกตเห็นหวังเป่าเล่อมีสีหน้าเปลี่ยนไป ก็มองชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจ

เมื่อรู้ตัวว่าผู้อาวุโสหน้าแดงมองมา หวังเป่าเล่อก็หายใจเข้าและเอ่ยพูด        “ท่านผู้อาวุโสขอรับ หากหอกยาวสีน้ำเงินเป็นเพียงภาพมายา หมายความว่า…         มีหอกจริงๆ ซ่อนอยู่ในที่ที่เราไม่รู้หรือขอรับ ข้าคิดว่าหอกนั่นอาจจะเป็นอาวุธเทพนะขอรับ”

ผู้อาวุโสหน้าแดงดูไม่ออกว่าหวังเป่าเล่อกำลังปิดบังบางอย่างอยู่ ตอนที่ได้ยินเรื่องพวกนี้ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน เขาก็ตกใจและสงสัยไม่ต่างกัน ผู้อาวุโสยิ้มหลังจากได้ยินที่เด็กหนุ่มพูด

“อาวุธเทพอย่างนั้นหรือ จะมีอาวุธเทพหลายชิ้นได้อย่างไรกัน ปัจจุบัน ทั่วทั้งสหพันธรัฐมีอาวุธเทพอยู่เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นสมบัติในครอบครองของ           สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าที่มอบให้ผู้นำสหพันธรัฐยืมใช้ เป็นสมบัติสุดล้ำค่าของสหพันธรัฐก็ว่าได้!” ผู้อาวุโสหน้าแดงหัวเราะร่า จริงๆ จะไม่บอกก็ได้ แต่เขาชอบพอในตัว      หวังเป่าเล่อพอสมควร จึงอธิบายให้ฟัง

“มีแค่ชิ้นเดียว!” หวังเป่าเล่อเบิกตาโต เฉินหมิงอวี่ก็ตะลึงไปเช่นกัน เหมือนว่าเขาเพิ่งเคยจะได้ยินเป็นครั้งแรก จั่วอี้ฟานกับเจ้าเยี่ยเหมิงนั้นไม่ได้แสดงอาการใดๆ   คงจะเพราะทราบเรื่องนี้มาก่อนแล้ว

ผู้อาวุโสหน้าแดงยิ้ม ไม่ได้อธิบายเรื่องอาวุธเทพต่อ แต่สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากทั้งสี่ ก่อนจะอนุญาตให้พวกเขากลับไปพักผ่อน

แม้ว่าจะมาถึงห้องพักแล้ว หวังเป่าเล่อก็ยังคงตื่นตะลึงอยู่

ทั้งสหพันธรัฐมีอาวุธเทพอยู่แค่ชิ้นเดียวอย่างนั้นหรือ

หวังเป่าเล่อได้ทราบถึงความล้ำค่าของอาวุธเทพ ดวงตาเต็มไปด้วยความปรารถนาใคร่รู้

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้รู้ข้อมูลต่างๆ ในสหพันธรัฐที่คนทั่วไปไม่ทราบ เช่น          สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าจับมือเป็นพันธมิตรกัน กลายเป็นขุมอำนาจใหญ่ในสหพันธรัฐ

เจ้าพนักงานระดับสูงเกือบครึ่งมาจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า ผู้นำสหพันธรัฐ     คนก่อนหน้าและคนปัจจุบันนั้นก็มาจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าเช่นกัน

สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋ามีอำนาจในการคัดเลือกผู้นำสหพันธรัฐในระดับหนึ่ง      ก่อนหน้านี้ หวังเป่าเล่อก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นเช่นนั้น แต่ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่า…     จากขุมอำนาจทั้งหลายในสหพันธรัฐ มีเพียงสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าเท่านั้นที่มีอาวุธเทพในครอบครอง

อาจจะบอกได้ว่าผู้นำสหพันธรัฐนั้นถือเป็นตัวแทนของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าก็ได้ กระนั้นก็ยังมีเสนาบดีที่มีอำนาจในการถ่วงดุลอำนาจสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าอยู่เช่นกัน

แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ค่อยเข้าใจระบบอำนาจทั้งหมดเท่าไหร่ แต่เขาก็พอคาดเดาได้ว่า สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าเป็นผู้คัดเลือกผู้นำสหพันธรัฐ ส่วนเสนาบดีเป็นผู้กำหนดนโยบายของสหพันธรัฐ

แม้ว่าจะเป็นปรปักษ์กัน แต่ก็ไม่สามารถแยกออกจากกันได้  เนื่องจากมีอำนาจอื่นๆ เหนี่ยวรั้งอยู่ภายใน อีกทั้งยังมีอสูรร้ายนับไม่ถ้วนรอคอยอยู่ภายนอก!

หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึกพลางขบคิด แม้ว่าเขาจะได้แต่เดา เพราะไม่เข้าใจภาพรวมทั้งหมด แต่ชายหนุ่มก็มั่นใจว่าจะเข้าใจเรื่องสหพันธรัฐได้ดีขึ้นแน่หลังจากได้ขึ้นไปยังเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง!

พวกนั้นจะรู้เรื่องตระกูลคงกระพันแค่ไหนกัน และจะรู้เรื่องที่มาของกระบี่ยักษ์มากน้อยเพียงใด

ในเมื่อเคยค้นพบศพ ถ้าอย่างนั้น…พวกเขาเคยพบคนที่ยังมีชีวิตอยู่บ้างรึเปล่า

แล้วมีคนจากสหพันธรัฐที่เคย…ขึ้นไปเหยียบยังกระบี่สำริดเขียวโบราณที่ปักอยู่บนดวงอาทิตย์หรือยัง

แววตาใคร่รู้ของชายหนุ่มส่องประกายมากกว่าเดิม หวังเป่าเล่อถึงกับถามจั่วอี้ฟานเรื่องคาถาเวทของตระกูลนภาห้าสมัย คำอธิบายจากจั่วอี้ฟานค่อนข้างคลุมเครือ คาถาเวทนี้เป็นสิ่งที่ตระกูลนภาห้าสมัยค้นพบจากชิ้นส่วนกระบี่ ถือว่าเป็นรากฐานของโลก เปิดทางสู่สิ่งที่เรียกว่าโลกก่อนหน้า อีกทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับที่มาของรากฐานวิญญาณอีกด้วย!

แม้ว่าจะยังไม่ได้บรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้ เพียงร่างกายมีรากฐานวิญญาณอยู่     ก็สามารถใช้คาถาเวทดังกล่าวได้ แต่จั่วอี้ฟานนั้นไม่ชำนาญการใช้เวทเท่าจั่วอี้เซียน จึงไม่สามารถใช้ได้คล่องแคล่วนักในขณะที่ต่อสู้กัน

ชิ้นส่วนกระบี่โบราณมีจำนวนมากมาย…ข้าสงสัยว่าจะมีบางส่วนอยู่บนหมู่ดาวและดวงจันทร์บนฟากฟ้าบ้างรึเปล่า! หวังเป่าเล่อมองออกไปบนผืนฟ้าด้านนอก       เรือบินด้วยความคาดหวังเต็มอก

ผ่านไปหนึ่งวัน เรือบินท่องนภามาไกลแล้ว ตอนนี้สามารถเห็นทะเลสาบป่าขจีอยู่ลิบๆ

ในนครศักดิ์สิทธิ์มีคูกว้างสามสิบฟุตแบ่งแยกผืนดินส่วนหนึ่งออกจากตัวนคร คูน้ำล้อมพื้นที่แห่งนั้นเกิดเป็น…นครชั้นใน!

นครชั้นในแห่งนครศักดิ์สิทธิ์นั้นคือ…พื้นที่ในครอบครองของเจ้าเมืองนครศักดิ์สิทธิ์     ผู้เป็นถึงหนึ่งในคณะสิบเจ็ดเสนาบดีของสหพันธรัฐ!

พื้นที่ที่มีคูล้อมรอบนั้นกว้างใหญ่ไพศาล กินพื้นที่มากกว่าพระราชวังหลายสิบหลังรวมกัน มองจากไกลๆ จะเห็นเหมือนมีพระราชวังดูมีอายุหลังหนึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง เสียงวิหคขับขานดังอยู่ท่ามกลางบุปผาส่งกลิ่นหอมโชย

ภายในนั้นมีทั้งบ่อน้ำ ภูเขาเทียม และตำหนักโบราณรายล้อมวังหลักที่ตั้งอยู่ตรงกลาง ทั่วทั้งนครชั้นในนั้น ไม่ว่าจะเป็นแผ่นหินที่พื้น สิ่งปลูกสร้างรอบๆ หรือแม่น้ำคุ้มกัน ต่างมีอักษรปราณจารึกซ่อนอยู่ ทำให้วงแหวนปราณครอบคลุมทั่วทั้งอาณาเขตของพื้นที่แห่งนี้

นี่เป็นเพียงแค่สิ่งที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา ใครจะรู้ว่ามีการป้องกันหรือกับดักสังหารใดๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ซ่อนอยู่ในนครชั้นในแห่งนี้อีก

ยามเฝ้าระวังในชุดเกราะสีดำจำนวนมากเดินตรวจตราอยู่ทั่วบริเวณ แต่ละคนนั้นดูแข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังมีข้ารับใช้ คนครัว นักดนตรี บริวารติดตาม และอีกมากมาย ที่ต่างทำงานหนักไม่หยุดหย่อน ราวกับว่าช่วงชีวิตทั้งหมดของพวกเขานั้นมีไว้เพื่อรับใช้ตระกูลผู้ครอบครองนครชั้นใน

ด้านหลังพระราชวังมีสถานที่ส่วนตัวที่ห้ามให้ผู้อื่นเข้า หากไม่ได้รับอนุญาตจาก   ผู้เป็นเจ้าของเสียก่อน ณ ที่แห่งนั้นมีต้นไม่เก่าแก่สูงสามเมตร แผ่ร่มเงากว้างกว่าสามสิบเมตรปกคลุมพื้นที่โดยรอบ กิ่งไม้ร่วงหล่นลงเกลื่อนพื้น ในแมกไม้เขียวขจี      มีผลไม้ดิบสีเขียวซ่อนอยู่

ชายสองคนนั่งอยู่ใต้ต้นไม้แก่ต้นนั้น ชายผู้หนึ่งคือหลินเทียนหาวที่กำลังทำหน้าอมทุกข์ เขามองไปด้านหน้าเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ให้      พูดออกไป ชายที่หลินเทียนหาวคุยอยู่ด้วย เป็นชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมหางยาว   สีดำ กำลังนั่งหันหลังให้หลินเทียนหาว มองไปยังผลไม้บนต้น จมอยู่กับห้วงความคิด

ชายผู้นั้นมีรูปร่างสูง แม้ว่าเขาจะอยู่ในช่วงวัยกลางคนแล้ว แต่ก็มีรอยย่นอยู่หางตาเพียงเท่านั้น หากไม่สังเกตดูดีๆ อาจจะคิดว่าเป็นเด็กหนุ่มวัยแรกรุ่นเลยด้วยซ้ำ     รอบกายของเขาแผ่รัศมีราวกับมหาสมุทรลุ่มลึก รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ซ่อนอยู่        รัศมีดังกล่าวทำให้ปราณวิญญาณทั่วพื้นที่ปั่นป่วน

ชายผู้นี้คือ หนึ่งในสิบเจ็ดคณะเสนาบดีของสหพันธรัฐ เจ้าเมืองนครศักดิ์สิทธิ์หลินโยว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version