Skip to content
Home » Blog » A World Worth Protecting 122

A World Worth Protecting 122

บทที่ 122 มรรคาแสง

“หาวเอ๋อร์ เดี๋ยวผลไม้ก็สุกแล้ว”

หลินโยวยิ้ม พลางมองไปทางผลไม้บนต้นไม้แก่ ปกติเขาก็หล่อเหลาอยู่แล้ว      พอยิ้มออกมา ต้นไม้ตรงหน้าก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้น

หลินเทียนหาวมองบิดาของตนด้วยใบหน้าหม่นหมอง เขาไม่ได้พูดอะไรออกไป

“เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ” หลินโยวหันมามองลูกชายคนเดียวของตน ดวงตาของเขาฉายแสงวาบ หลินเทียนหาวเป็นผู้สืบสกุลที่เขาตั้งความหวังไว้สูงมาก แต่พอ       พลาดพลั้งมา ก็ผิดหวังมากเช่นกัน ชายวัยกลางคนรู้ดีว่าจุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ของลูกชายคือ การวางแผน!

“ท่านพ่อ ข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมท่านไม่ให้ข้ากลับไปฝึกวิชาที่สำนักศึกษา      เต๋าศักดิ์สิทธิ์ต่อ ด้วยอำนาจของท่าน แม้ว่าข้าจะทำอะไรลงไป ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรที่ข้าจะกลับไปสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อีก!

“พอท่านไม่อนุญาตให้ข้ากลับไป ข้าเลยไม่ได้เข้าไปในมิติเวทของ               หมู่บ้านลมปราณวิญญาณ! ข้าได้ข่าวว่าเจ้าหวังเป่าเล่อไปที่นั่นมา และบรรลุได้รากฐานวิญญาณแปดนิ้วไปแล้วด้วย!”

หลินเทียนหาวกำหมัดแน่นระหว่างที่พูด เรื่องนี้ทำให้เขาหงุดหงิดใจที่สุด

หลินโยวมองใบหน้าลูกชายด้วยท่าทีสงบนิ่ง หลินเทียนหาวเห็นสายตาของบิดา     ก็หายใจถี่ พร้อมกับก้มหัวลง

“หาวเอ๋อร์ ผู้สืบเชื้อสายของข้า สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเพียงแค่ทางผ่านเพื่อฉาบหน้าแค่เท่านั้น แต่เจ้ากลับจริงจังเสียเหลือเกิน” หลินโยวพูดเสียงเรียบ       แม้เขาจะไม่ได้ขึ้นเสียงเลยสักนิด แต่หลินเทียนหาวก็ใจสั่นหวั่นไหวราวกับมีรังสีกดดันแผ่อยู่ทั่วบริเวณ เขาก้มหน้างุดลงไปอีก

“มัวแต่ไปยุ่งจนหัวหมุนกับคนไม่สำคัญอะไร หาวเอ๋อร์ ข้าผิดหวังในตัวเจ้ายิ่งนัก” หลินโยวมองหน้านิ่ง แต่วาจาของเขาบีบหัวใจหลินเทียนหาวยิ่งนัก เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นอย่างหวาดหวั่น หวังจะอธิบายให้คลายสงสัย

สายตานิ่งเฉยของบิดาแปรเปลี่ยนเป็นสายตาแข็งกร้าว เขารู้สึกราวกับว่าโดนสายฟ้าผ่าเข้าอย่างจัง หลินเทียนหาวไม่สามารถปริปากอธิบายอะไร ได้แต่นั่งสั่นกลัว

หลินโยวเห็นดังนั้นก็มองด้วยสายตาดูแคลน แต่หลินเทียนหาวไม่ทันสังเกตเห็น ชายวัยกลางคนค่อยๆ ผ่อนปรนความแข็งกร้าวลง ก่อนจะเงยหน้ามองผืนฟ้า ผ่านไปพักใหญ่ เขาก็เอ่ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงระอาใจ

“หาวเอ๋อร์ โลกใบนี้แสนกว้างใหญ่ ลึกลับซับซ้อนสุดจะหยั่งถึง สหพันธรัฐนั้นมี   สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าและเสนาบดี ทั้งสองสร้างความสมดุลให้กันและกัน แต่ก็จะ    หวังพึ่งอีกฝ่ายเพียงอย่างเดียวไม่ได้ อีกทั้งยังมีกลุ่มไตรจันทรา ตระกูลนภาห้าสมัย และอีกสองขุมอำนาจใหญ่เฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด ยังไม่รวมเหล่าอสูรอีกมากมายที่กระจัดกระจายอยู่ภายนอก

“กลุ่มไตรจันทรานั้นร่ำรวยเทียบเท่าประเทศหนึ่ง อีกทั้งยังยากจะหยั่งถึง    ตระกูลนภาห้าสมัยนั้นเชื่อกันว่ามีชิ้นส่วนกระบี่โบราณแท้ที่สุดอยู่ในครอบครอง   ส่วนอีกสองกลุ่มอำนาจใหญ่นั้นมีหลักฐานว่าพวกเขาได้พบตัวผู้ฝึกตนที่หลับใหลอยู่จากกระบี่โบราณแล้ว!

“สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าสามารถเลือกเปิดรับกลุ่มคนมากความสามารถมาเข้าร่วม แต่เสนาบดีทำไม่ได้!

“นี่แค่เพียงภายในสหพันธรัฐเท่านั้น นอกจากโลกของเรา ยังมีดวงจันทร์ และหมู่ดาวต่างๆ อีกมากมาย ไหนจะพื้นที่ไร้ขอบเขตบนกระบี่สำริดเขียวโบราณอีก

“เหนือไปกว่านั้น ยังมีสิ่งที่ข้าไม่กล้าที่จะเชื่อ สิ่งที่ทุกคนต้องสั่นกลัวแค่ได้ฝันถึง” หลินโยวพร่ำพรรณนา ราวกับว่านอกจากพูดกับลูกชายแล้ว ยังพูดกับตัวเองด้วยเช่นกัน

“จักรวาลกว้างใหญ่ไพศาลเพียงนี้ เจ้าจะมองไกลออกไปไม่ได้เลยหรือ ในฐานะบิดาของเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะเติบโตขึ้นให้เร็วกว่านี้ อย่ามัวเสียพลังงานไปกับพวกคนไม่สำคัญ เพราะมีข้า ชีวิตเจ้าจึงแตกต่างจากพวกมันยิ่งนัก เจ้า…เข้าใจสิ่งที่            ข้าพูดไหม”

หลินเทียนหาวที่หวาดหวั่นอยู่แล้วก็สั่นเทิ้มจากคำพูดของบิดาตนไปกันใหญ่      ในหัวอื้ออึง รู้สึกว่าพอจะจับความสิ่งที่บิดาของตนต้องการจะสื่อได้บ้าง ก็รีบพยักหน้าตอบ

“ท่านพ่อ ข้า…ข้าเข้าใจ!”

“เจ้าไม่เข้าใจ!” หลินโยวส่ายหน้า ยกมือขวาขึ้นโบก ทันใดก็มีแสงจ้าพวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือ ในชั่วพริบตาก็มี…ร่างเงาแปดตนปรากฏขึ้น!

ร่างเงาทั้งแปดหลับตาสนิท ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศราวกับถูกสะกดไว้ รูปลักษณ์ของร่างเงาเหล่านั้นทำให้หลินเทียนหาวเบิกตากว้าง หายใจถี่รัว

ร่างเงาแปดตนนั้น…เจ็ดตนมีรูปลักษณ์เหมือนหลินเทียนหาวจนแยกไม่ออก   พวกมันมีรากฐานวิญญาณอยู่ในกายไล่เรียงจากหนึ่งนิ้วไปจนถึงเจ็ดนิ้ว ตัวตนสุดท้ายนั้นไร้หน้า เป็นรากฐานวิญญาณแปดนิ้ว!

คนอื่นๆ นั้นต้องลำบากลำบน พึ่งโชคพึ่งดวงชะตากว่าจะได้รากฐานวิญญาณมาครอบครอง แต่ตรงหน้าของหลินเทียนหาวในตอนนี้กลับมีรากฐานวิญญาณครบตั้งแต่หนึ่งนิ้วไปจนถึงแปดนิ้ว

“เจ้าไม่ต้องไปสู้รบกับใครเลยในช่วงครึ่งแรกของชีวิตเจ้า ข้าเตรียมทุกอย่างไว้ให้เจ้าครบแล้ว

“นี่คือความแตกต่างระหว่างเจ้ากับสามัญชนพวกนั้น หาวเอ๋อร์ ข้าวางแผนเส้นทางชีวิตไว้ให้เจ้าแล้ว เพียงเจ้าเดินตามทางนี้ เจ้า…ก็จะไปถึงยอดได้อย่างแน่นอน ในอนาคต เมื่อเจ้าได้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองนครศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเจ้าได้ขึ้นเป็นเสนาบดีคนใหม่ เมื่อนั้น…เจ้าถึงจะได้ลงมือทำงานหนักจริงๆ ถ้าเจ้าเข้าใจจริงดังเจ้าว่าแล้วล่ะก็        จงไปฝึกวิชาต่อที่เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงแห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เสีย”

หลินเทียนหาวสั่นไปทั่วร่าง นี่เป็นครั้งแรกที่บิดาของเขาพูดถึงเส้นทางอนาคตเขาอย่างชัดเจน เด็กหนุ่มนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ราวกับตกอยู่ในภวังค์ความคิด ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นช้าๆ

“เข้าใจแล้วขอรับ”

ระหว่างนั้น เรือบินจากหมู่บ้านลมปราณวิญญาณก็เข้าเทียบท่าอากาศยานของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ก่อนหน้านี้ เหล่าศิษย์ยังอยู่ในระดับการฝึกตนโบราณ      แต่กลับมารอบนี้ เหล่าศิษย์ส่วนใหญ่นั้นได้บรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้ พวกเขาเดินลงจากเรือบินโดยไม่สามารถเก็บอาการได้

พวกเขาตื่นเต้นหนักไปใหญ่เมื่อเห็นคณะอาจารย์จากทุกสาขาวิชาและ          ศิษย์จำนวนมากมารอต้อนรับกลับ เจ้าสำนักเข้าใจความตื่นเต้นของทุกคนดี            จึงโบกมือให้สัญญาณแยกย้าย เหล่าศิษย์ผู้บรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้กระจายตัวกันออกไปในทันที ทั่วทั้งท่าอากาศยานเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยครึกครื้นอย่างรวดเร็ว

มีศิษย์จำนวนไม่น้อยที่มารอต้อนรับหวังเป่าเล่อ พวกหลิวต้าวปินในชุดคลุม    ฝ่ายวินัยนำกลุ่มสานุศิษย์มา พวกเขารายล้อมรอบตัวหวังเป่าเล่อ ผลัดกันแสดง   ความดีใจและพูดคุยหัวเราะตลอดทางกลับสาขาวิชาอาวุธเวทด้วยความครื้นเครง

“หวังเป่าเล่อผู้นี้ได้กลับมาแล้ว!”

ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นสู่ฟ้าเมื่อได้กลับมายืนบนยอดเขาสาขาวิชาอาวุธเวทอีกครั้ง

หลังจากพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย หลิวต้าวปินก็ได้เตรียมอาหารมื้อใหญ่ไว้ฉลองความสำเร็จของหวังเป่าเล่อ พวกเขากินดื่มจนมืดค่ำ หวังเป่าเล่อกลับถ้ำที่พักด้วยสภาพเมามาย เขาเรอออกมา ก่อนจะดื่มน้ำเย็นหล่อวิญญาณให้สร่าง จากนั้นก็ยกแหวนสื่อสารขึ้นมา ส่งข้อความเสียงหาครอบครัวเพื่อบอกว่าเขาได้บรรลุระดับ       ลมหายใจเที่ยงแท้และกำลังจะได้ย้ายขึ้นไปยังเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงแล้ว

“ข้าสุดยอดมากเลยว่าไหม ตาแก่หวัง” หวังเป่าเล่อว่าอย่างภาคภูมิใจ

ไม่นานก็ได้ยินเสียงปีติยินดีจากครอบครัวตอบกลับมา หลังจากพูดคุยกันอยู่นาน ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง เขาจึงปิดแหวนสื่อสาร นั่งมองสิ่งรอบตัวอยู่บนระเบียงถ้ำที่พัก   อิ่มเอิบกับความเงียบสงัดยามค่ำคืน ชายหนุ่มรู้สึกไม่อยากจากที่นี่ไปเลย

เวลาช่างผ่านไปเร็วนัก ปีก่อน ข้าพึ่งจะเข้ามาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้…ข้ากำลังจะขึ้นไปเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงแล้ว! เด็กหนุ่มถอนหายใจ หลังจากนึกถึงข้าวของที่เขารวบรวมได้จากหมู่บ้านลมปราณวิญญาณ ก็คลายเศร้าได้

อย่าเพิ่งคิดว่าจะยกสมบัติใดให้สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ดีกว่า พอทางสำนัก     ลงบันทึกทุกอย่างเสร็จและส่งรายชื่อให้ข้า ตอนนั้นข้าค่อยเลือกเอาบางอย่างมา      ไม่ก็แลกเปลี่ยนกับอย่างอื่น แค่ลูกประคำน้ำเงินก็มีมูลค่ามากแล้ว! หวังเป่าเล่อคิด   หัวใจเต้นแรง

เขาเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าชุดคลุม หยิบลูกประคำสีเทาออกมา จริงๆ แล้วลูกประคำมีสีน้ำเงิน แต่จางลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นสีเทา

พอมาอยู่ในมือ ก็ดูไม่ใช่ของพิเศษอะไร แต่หวังเป่าเล่อรู้ที่มาของลูกประคำนี้ดี นัยน์ตาปะทุเปลวเพลิงขึ้น

ถ้าเข้าใจไม่ผิด ลูกประคำนี่คือหอกยาวสีน้ำเงินที่ข้าใช้พลังเมล็ดดูดกลืนบีบอัด…หมายความว่าทั่วทั้งสหพันธรัฐมีของเหมือนกันนี้แค่ชิ้นเดียวอย่างนั้นหรือ ถึงข้าจะยังไม่รู้วิธีใช้ แต่สมบัติชิ้นนี้ต้องเป็นของพิเศษอย่างแน่นอน!

หลังจากศึกษาอยู่สักพัก หวังเป่าเล่อก็นึกสงสัยว่าเขาควรลองถามแม่นางน้อยในหน้ากากดูหรือไม่ ถ้ามีเพียงข้อมูลจากเทือกเขาห้ายอดอย่างเดียว เขาคงจะไม่นึกสงสัยอะไร แต่เบาะแสจากหมู่บ้านลมปราณวิญญาณก็มีความเชื่อมโยงกับหน้ากากอีกเช่นกัน ชายหนุ่มจึงคิดว่าควรลองถามนางดู

คิดดังนั้น หวังเป่าเล่อก็หยิบหมอนเวทมายาขึ้นมาเปิดมิติมายาเข้าไป หลังจากเข้ามาได้สักพัก แววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความสงสัย แม่นางน้อยเอาแต่นิ่งเงียบเมื่อชายหนุ่มถามเรื่องสงสัยในใจไป ไม่ว่าจะถามยังไง นางก็ไม่ยอมตอบ

ไม่บอกอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อนวดระหว่างคิ้ว แม่นางน้อยช่างนิสัยไม่ดีเสียจริง จริงๆ แล้วเขาก็พอจะคาดเดาวิธีใช้งานลูกประคำน้ำเงินได้บ้าง แต่รอทดสอบตอนขึ้นไปยังเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงจะเป็นการดีกว่า

หลังจากเก็บลูกประคำไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็หลับตานึกถึงภาพการต่อสู้และการใช้งานวัตถุเวทตอนที่อยู่ในหมู่บ้านลมปราณวิญญาณ เขาฝึกทำเช่นนี้จนเป็นนิสัยหลังจากได้อ่านเจอในอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูง วิธีการนี้คือ การถอดบทเรียนจากสิ่งที่ประสบพบมา

ผ่านไปสักพัก หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น ยกมือเท้าคางและครุ่นคิด

ครั้งนี้ข้าได้เรียนรู้วิธีการสร้างคลื่นปราณวิญญาณ แต่วัตถุเวทของข้าซ้ำซากเกินไปหน่อย นอกจากระเบิดแล้ว…ก็มีแต่ระเบิดนั่นละ นอกเหนือจากวัตถุเวทที่ใช้สร้างความเสียหายทางร่างกายหรือกำจัดศัตรูแล้ว ข้าควรหลอมวัตถุเวทที่สร้างความเสียหายทางจิตใจขึ้นมาใช้บ้างเสียแล้ว!

หวังเป่าเล่อคิดถึงสภาพเกือบเสียสติของพวกหลี่อี้เมื่อตอนโดนหุ่นเชิดอุ้มออกไป

เอ้อ ในเมื่อข้าตระหนักถึงข้อนี้แล้ว ครั้งหน้าข้าจะต้องหาโอกาสทดลองและหลอมวัตถุเวทที่ส่งผลต่อจิตใจของผู้คน จะได้สร้างความหวาดกลัวในใจพวกนั้น     ทุกครั้งที่เห็นวัตถุเวทชิ้นนี้ แล้วก็ต้องยอมจำนนไปโดยที่ข้าไม่ต้องออกแรง! ไม่แน่ วัตถุเวทชิ้นนี้อาจจะช่วยให้ผู้อ่อนแอสามารถล้มผู้แข็งแกร่งกว่าได้!

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อลุกโชติช่วง เขาคิดว่าเขาได้อะไรมากมายจากการเข้าไปในหมู่บ้านลมปราณวิญญาณครั้งนี้

หลังจากไตร่ตรองเรื่องต่างๆ เสร็จ หวังเป่าเล่อก็ฝึกตนต่ออย่างเบิกบานใจ แสงรุ่งสางค่อยๆ มาเยือน เมื่อขึ้นเช้าวันใหม่ หวังเป่าเล่อก็พักทำสมาธิและพบว่ามีคนมากมายมารออยู่หน้าถ้ำที่พัก ผู้คนมากมายมาเยี่ยมเยือนไม่หยุดหย่อน ส่วนใหญ่แล้วเป็น  เหล่าศิษย์ที่เพิ่งบรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้จากสาขาอาวุธเวท การทำภารกิจ     ครั้งก่อนนั้นดำเนินไปอย่างเร่งรีบ พวกเขาจึงไม่ทันได้สานสัมพันธ์กับหวังเป่าเล่อ    พอพวกเขากลับมาถึง จึงรีบมาเยี่ยมเยือนในทันที

ผู้คนหมุนเวียนมาเยี่ยมเยือนอย่างต่อเนื่องอยู่ห้าวัน คลื่นมวลชนสงบลงเมื่อ    หวังเป่าเล่อได้รับจดหมายเชิญเข้าเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงจากเจ้าสำนัก ชายหนุ่มจัดกระเป๋าพลางมองถ้ำที่พักที่อาศัยอยู่มาแรมปี เริ่มตั้งหน้าตั้งตาคอย

รุ่งเช้าวันที่หก เสียงฆ้องดังก้องไปทั่วเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง เสียงดังสนั่นไป   ทั่วพื้นที่อยู่ห้านาที ศิษย์ทั่วสำนักไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ต่างก็ได้ยินเสียงนี้กันทุกคน   ขณะเสียงฆ้องดังก้อง พวกเขาเดินออกมานอกห้องของตัวเองและพบกับเหล่าผู้บรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้กำลังวิ่งมุ่งหน้าไปยังยอดเขาเจ้าสำนัก

“พวกเขากำลังจะได้ไปเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง…”

“เมื่อไหร่พวกเราจะได้ขึ้นไปยังเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงบ้างนะ!”

หลิวต้าวปินอยู่ด้านนอกที่พักสาขาอาวุธเวท เขามองเห็นหวังเป่าเล่อท่ามกลางฝูงชนที่กำลังมุ่งหน้าขึ้นไปบนยอดเขาเจ้าสำนัก แม้ว่าภายนอกจะดูปกติ แต่ภายในใจนั้น   แสนเศร้าซึม

“ข้าจะต้องพัฒนาตนให้หนัก ระยะห่างระหว่างข้าและท่านหัวหน้าศิษย์จะได้    ไม่ห่างกันไกล มิเช่นนั้น ข้าจะตามหลังท่านหัวหน้าศิษย์ไปไม่ทัน!”

ที่ยอดเขาเบื้องหลังหลินเทียนหาว อาจารย์เคราแพะก็ออกมายืนส่งเช่นกัน     มองไปทางหวังเป่าเล่ออยู่ไกลออกไป แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชมและภาคภูมิใจในตัวศิษย์ เขายังคงจำภาพหวังเป่าเล่อโชกเลือดเมื่อครั้งการทดสอบในมิติมายาได้เป็นอย่างดี

บนยอดเขาสาขาวิชาหลอมโอสถ โจวเสี่ยวหยาก็เดินออกมาจากที่พักเงียบๆ    มองจ้องไปทางยอดเขาเจ้าสำนักอยู่นาน แววตาของนางเต็มไปด้วยความตั้งมั่น      และโหยหา กุมกำปั้นน้อยพร้อมกับเอ่ยพึมพำเสียงเบา

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ สูตรโอสถที่ข้าส่งไปได้รับการตรวจสอบแล้ว หากผ่านการตรวจ ข้าก็จะมีโอกาสตามท่านขึ้นไปเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงในไม่ช้า!”

ท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วนจากศิษย์ทั่วเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง ศิษย์ไม่กี่ร้อยคนที่บรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้จากสาขาต่างๆ ได้มารวมตัวกันที่ยอดเขาเจ้าสำนัก    ไม่นานพวกเขาก็ไปถึงลานจัตุรัสบนยอดเขา

พวกเขาเหล่านี้คือผู้ที่เพิ่งกลับมาจากหมู่บ้านลมปราณวิญญาณ และเป็น       ศิษย์กลุ่มแรกที่จะได้ขึ้นไปเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง ภายหลังจะมีศิษย์กลุ่มสองที่เข้ารับการสอบภายในและได้เข้าไปมิติเวทประจำสำนักของตน ศิษย์กลุ่มนี้ก็จะได้ตามขึ้นไปเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงเช่นกัน

ศิษย์หลายร้อยยืนเงียบสงบอยู่ ณ ลานจัตุรัส พวกเขาต่างมองจ้องไปทาง       เจ้าสำนักอย่างตื่นเต้น

“เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง จงเบิกประตูขุนเขาด้วยเถิด!” เจ้าสำนักหันไปสะบัดแขนเสื้อออก น้ำเสียงราวสายฟ้า พุ่งผ่านเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงที่ปกคลุมด้วย      ม่านหมอก

ทันใดนั้น ฟ้าเบื้องหน้าก็พลันเปลี่ยน ลมหมุนเปลี่ยนทิศ เสียงคำรามดังกึกก้องผืนฟ้า ม่านหมอกรอบเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงเปิดออก ลำแสงบริสุทธิ์ลักษณะเหมือนสะพานพวยพุ่งออกมาจากหมอกที่ปกคลุมเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงมาเชื่อมกับยอดเขาเจ้าสำนักแห่งเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง เกิดเป็นมรรคาแสงเจิดจ้า!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version