Skip to content

A World Worth Protecting 123

บทที่ 123 ตำหนักอาวุธเวท

เมื่อมรรคาแสงปรากฏขึ้น เหล่าผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ที่ยืนรออยู่เงียบๆ ก็ใจเต้นขึ้นมา หวังเป่าเล่อที่อยู่ท่ามกลางผู้คนมองไปยังลำแสงที่พวยพุ่งออกมาจากเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง เกิดเป็นสะพานเชื่อม ความตื่นเต้นในใจพุ่งสูงขึ้นไปอีก

“เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงไม่ใช่จุดสุดยอด แต่เป็นเพียงอีกทางผ่านบนเส้นทางชีวิตของพวกเจ้า! ข้าจะนำทางพวกเจ้าเข้าไปยังเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง ตามข้ามา         เราจะออกเดินทางแล้ว!” เจ้าสำนักว่าก่อนจะหันเดินขึ้นสะพานแสง

เหล่าศิษย์ผู้บรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้เดินตามหลังเจ้าสำนักขึ้นไปบนสะพานแสง มุ่งหน้าไปยังเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงที่อยู่บนใจกลางทะเลสาบป่าขจี

เมื่อเริ่มเดินเข้าไปใกล้ ก็เห็นเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงได้ชัดเจนขึ้น                    เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงเป็นสถานที่แสนลึกลับสำหรับพวกเขามาโดยตลอดเนื่องจากมีหมอกปกคลุมหนาตลอดทั้งปี แม้จะเดินอยู่บนสะพานแสง พวกเขาก็ยังไม่สามารถมองทะลุเข้าไปในม่านหมอกหนาที่ปกคลุมเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงได้

ไม่นาน เจ้าสำนักก็หยุดอยู่อยู่หน้าม่านหมอก ก่อนจะหันมาหาศิษย์ที่อยู่เบื้องหลัง

“เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงเป็นส่วนสำคัญสุดของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ มีลมแรงพัดอยู่รอบตลอด แบ่งที่แห่งนี้ออกจากที่อื่นๆ ทำให้พวกเจ้าเห็นแค่เพียงหมอก แต่ตอนนี้ พวกเจ้ากำลังจะได้เห็น…เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงที่แท้จริง!” พูดจบ เจ้าสำนักก็หันกลับและเดินหายเข้าไปในม่านหมอก

ทุกคนต่างตื่นเต้นเป็นอย่างมากเมื่อมาหยุดอยู่ที่หน้าม่านหมอก หวังเป่าเล่อหายใจลึกและเดินตาม ทะลุเข้าไปในหมอกหนา ภาพรอบดูพร่ามัวราวกับว่าเขาเดินอยู่ใต้น้ำ เห็นชัดเพียงแค่สะพานแสงตรงเท้าที่คอยนำทาง

แม้ว่าจะรู้ดีว่าไม่น่ามีภัยอันตรายใดๆ เกิดขึ้น แต่สัญชาตญาณในตัวก็บอกให้เขาคอยระวังสอดส่องตลอดเวลา กระแสวิญญาณเริ่มหมุนเวียนภายในกาย สักพักเขา    ก็ได้ยินเสียงตื่นตะลึงจากกลุ่มคนด้านหน้า

“สวรรค์ นี่…นี่คือ เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง!”

“ช่างแตกต่างกับที่ข้าเคยคิดไว้”

“นี่…นี่เป็นวิมานในฝันหรือ”

ได้ยินเสียงพูดคุยของกลุ่มคนข้างหน้า หวังเป่าเล่อก็ตาเป็นประกาย รีบเร่งฝีเท้าขึ้นทันที ในไม่ช้า เขาก็เดินพ้นหมอกออกมา คลื่นปราณวิญญาณหนาแน่นเข้ากระทบร่าง หมอกรอบกายพลันหายไป ชายหนุ่มอ้าปากค้างเมื่อเห็น…โลกทัศน์เบื้องล่าง!

เบื้องล่างนั้นมีแท่นพื้นขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ หากมองมาจากเบื้องบน จะเห็นว่ามีลักษณะคล้ายกระดานหมากรุก หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่บนนั้นมองไปรอบๆ ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้าสู่หัวใจ

น้ำในทะเลสาบข้างล่างใสเป็นประกาย ช่างต่างกับเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงที่    หวังเป่าเล่อเคยนึกจินตนาการไว้ ท่ามกลางหมู่เมฆบนฟ้าคราม มีเกาะขนาดมหึมามากมายลอยอยู่!

แต่ละเกาะนั้นมีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง ถ้าเห็นเพียงแค่นี้ คงจะไม่ตื่นตะลึงเท่าใด เหตุที่ทุกคนตะลึงงันไปเป็นเพราะ…เกาะทั้งสิบนั้นดูเหมือนยอดเขาขนาดใหญ่ที่ลอยกลับหัวอยู่กลางอากาศก็ไม่ปาน!

บนยอดเขาลอยฟ้าแต่ละยอดมีเทือกเขามากมายตั้งอยู่ แต่ละเทือกเขาก็มี      ยอดเขาอีกมากมายอยู่บนนั้น มองผ่านก้อนเมฆไป ก็เห็นอาคารบ้านเรือนและ         สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ยังมีสัตว์และพืชพันธุ์ที่ไม่เคยเห็นกระจายอยู่ทั่วทั้งสิบยอดเขา   ลอยฟ้า มวลพฤกษาส่งกลิ่นหอมรัญจวนลอยฟุ้งไปในอากาศ

ข้างใต้ของแต่ละยอดเขาลอยฟ้ามีไม้เลื้อยพันเกี่ยวนับไม่ถ้วน ไม้เลื้อยมีทั้งหนาและบาง ความยาวเกินวัด ไม้เลื้อยแต่ละเส้นนั้นเชื่อมติดกัน พันรอบยอดเขาลอยฟ้าทั้งสิบไว้ด้วยกัน ไม้เลื้อยบางเส้นอุดมสมบูรณ์ขนาดเชื่อมลงไปยังทะเลสาบป่าขจี

ที่แห่งนี้คือเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ มีความแตกต่าง      กันมากเมื่อเทียบกับเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง!

หมอกที่ปกคลุมเกิดจากวงแหวนปราณที่ปกปิดและแบ่งแยกเกาะแห่งนี้ออกจากที่อื่น เหมือนกับพื้นที่แห่งนี้หดย่อเล็กลงประมาณหนึ่ง หากมองจากด้านนอก ขอบเขตของเกาะดูไม่ได้กว้างเท่าไหร่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ที่แห่งนี้กว้างใหญ่กว่าทะเลสาบ    ป่าขจีมากยิ่งนัก

ทิวทัศน์เบื้องหน้าทำให้ทุกคนที่ได้เห็นใจเต้นแรง หวังเป่าเล่อมองตาโต ความรู้สึกตื้นตันจุกเต็มอก เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงนั้นช่างเกินจากที่เขาเคยนึกจินตนาการไว้   ไปไกล

เจ้าสำนักที่นำอยู่หน้าสุดยกยิ้มขึ้น ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนจะตกตะลึงเช่นนั้น หลังจากให้เวลาพวกศิษย์อึ้งสักพัก ชายชราก็กระแอมไอขึ้น เสียงไอพุ่งเข้าหูทุกคนราวกับสายฟ้า เหล่าศิษย์เงียบเสียงทันใด

“เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงนั้นมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง     มียอดเขาลอยฟ้าสิบยอด แต่ละยอดคือ หนึ่งตำหนัก แต่ละตำหนักคือ สถานที่ฝึกวิชาต่อจากสาขาวิชาของเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง! จริงๆ แล้วเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองถอดแบบมาจากเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงนั่นเอง”

หลังจากบอกข้อมูลเบื้องต้นของเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงเสร็จ เจ้าสำนักก็กุมหมัดต่อหน้ายอดเขาลอยฟ้าทั้งสิบ

เมื่อเจ้าสำนักทำเช่นนั้น ยอดเขาทั้งสิบก็ส่องแสงเรืองรองในทันใด เกิดเป็นลำแสงสิบเส้นพุ่งมา ลำแสงแต่ละเส้นพุ่งมาเชื่อมต่อกับแท่นพื้นที่เหล่าศิษย์ยืนอยู่        ปรากฏเป็นสะพานสิบสาย

แต่ละยอดเขามีคนเจ็ดถึงแปดคนยืนอยู่ที่หัวสะพานแต่ละสาย พวกเขาต่างคำนับทักทายเจ้าสำนัก

“ศิษย์ผู้บรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้แห่งสาขาการยุทธ์ จงไปที่ยอดเขาแรก!”

เมื่อเจ้าสำนักเอ่ยจบ จั่วอี้ฟานและพรรคพวกก็ก้าวออกมาข้างหน้า สาขาการยุทธ์นั้นมีจำนวนศิษย์มากที่สุดในหมู่ศิษย์ที่อยู่ตรงนี้ สานุศิษย์เกือบสองร้อยคนก้าวขึ้นไป    บนสะพาน มุ่งหน้าไปยังตำหนักสาขาการยุทธ์ เสียงเจ้าสำนักดังขึ้นอีกครั้ง

“ศิษย์ที่บรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้ด้วยรากฐานวิญญาณแปดนิ้วจะได้รับการดูแลจากแต่ละตำหนักแตกต่างไปจากศิษย์คนอื่น นอกจากจะมีถ้ำที่พักส่วนตัวให้แล้ว ยังจะได้รับเรือบินส่วนตัวและกระเป๋าคลังเวทเป็นของสมนาคุณอีกด้วย จั่วอี้ฟาน   อย่าลืมไปรับด้วย”

จั่วอี้ฟานหยุดเดิน โค้งรับคำ ซ่อนความดีใจภายในไว้ไม่ได้

หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนได้ยินดังนั้นก็ตาเป็นประกาย ตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นไปอีก

ต่อมา เจ้าสำนักก็จัดแจงส่งผู้บรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้แต่ละสาขาส่งขึ้นสะพานแต่ละสาย มุ่งหน้าไปยังยอดเขาตำหนักของตน เจ้าสำนักชี้ไปยังยอดเขาตำหนักอักษรปราณเมื่อศิษย์สาขาอักษรปราณเริ่มเดินออกมา

“ที่ตำหนักอักษรปราณนั้นมีมิติเวทที่ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถเปิดเข้าไปได้ มีพรจากสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ซ่อนอยู่ภายใน พวกเจ้าจะลองเข้าไปทดสอบดูก็ได้ จวบจนปัจจุบันมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ได้รับพลังทั้งหมด แต่แค่ได้รับหนึ่งในห้าพลังศักดิ์สิทธิ์จาก       พรสายฟ้าก็เพียงพอแล้วเหมือนกัน”

พูดจบ เจ้าสำนักก็เลื่อนสายตาไปมองยอดเขาลอยฟ้ายอดที่เจ็ด เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“นั่นคือ ตำหนักอาวุธเวท เหล่าศิษย์จากสาขาอาวุธเวท จงมุ่งหน้าไปยังตำหนัก!”

หวังเป่าเล่อหายใจลึก หัวใจเต้นถี่รัว คำนับแสดงความเคารพเจ้าสำนัก ก่อนจะก้าวขึ้นสะพานแสงไป เหล่าศิษย์ด้านหลังออกเดินตามเขาขึ้นไปทันที เหล่าศิษย์เดินเรียงแถวไปบนสะพานแสง ในที่สุด…พวกเขาก็ได้มุ่งหน้าไปยังตำหนักอาวุธเวทแห่งเกาะ       มหาปราชญ์ชั้นสูง!

ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ตำหนักอาวุธเวท ก็มองเห็นคนเจ็ดถึงแปดคนที่รออยู่หัวสะพานชัดขึ้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนหนุ่มสาวในอาภรณ์สีน้ำเงิน พวกเขาต่างมีระดับการฝึกตนที่ไม่ธรรมดา นอกจากนี้ยังแผ่พลังปราณออกมาอย่างท่วมท้น มีคนหนึ่งที่มีพลังเหนือกว่าทุกคน เขาเป็นชายวัยกลางคนที่สวมอาภรณ์สีม่วง

แววตาของชายชุดม่วงดูนิ่งสงบ เขามองไปยังหวังเป่าเล่อและศิษย์คนอื่นๆ         ที่กำลังเดินอย่างรวดเร็วเข้ามาหา เขาไม่ได้มีท่าทีโกรธอะไร ทว่ามีพลังกดดันแผ่ขยายออกมาจากร่างกายราวกับคลื่นมหาสมุทร แค่เดินเข้าไปใกล้ ปราณวิญญาณภายในตัวก็ต้องปั่นป่วน

“คารวะ ท่านศิษย์พี่!” หลังจากเดินลงสะพานแสงมา หวังเป่าเล่อก็รีบกุมกำปั้นโค้งทักทาย ศิษย์ที่ตามหลังมาก็รีบแสดงความเคารพรุ่นพี่ตามเขาอย่างรวดเร็ว

“ท่านผู้นี้คือ เจ้าตำหนักอาวุธเวท!” ผู้ฝึกตนหน้ายาวที่สวมอาภรณ์สีน้ำเงินกล่าวแนะนำชายชุดม่วง

“คารวะ ท่านเจ้าตำหนัก!” หวังเป่าเล่อโค้งคำนับอีกครั้งก่อนใคร ศิษย์คนอื่นรีบโค้งตามทันที

ชายวัยกลางคนชุดม่วงยิ้ม พยักหน้ารับโดยไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะหันหลังเดินออกไป ผู้ฝึกตนหน้ายาวที่เอ่ยแนะนำเมื่อครู่ดูเป็นมิตรขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาบอกให้หวังเป่าเล่อและศิษย์คนอื่นเดินตาม ชายหน้ายยาวเหลือบมองหวังเป่าเล่ออยู่     หลายครั้ง รู้แน่ชัดว่าหวังเป่าเล่อเป็นผู้บรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้ด้วยรากฐานวิญญาณแปดนิ้ว

หวังเป่าเล่อและศิษย์ที่เดินตามหลังต่างประหม่าอยู่ในใจ รีบเดินตามไปอย่างว่องไว พวกเขามองเทือกเขาและตำหนักต่างๆ ระหว่างทาง ไม่นานพวกเขาก็มาถึงโถง    ขนาดใหญ่ตรงตีนเขา

ชายวัยกลางคนชุดม่วงก้าวไปข้างหน้าและหันกลับมามองพวกหวังเป่าเล่อ     ก่อนจะผุดยิ้มขึ้นเล็กน้อย

“ยินดีต้อนรับเข้าสู่ตำหนักอาวุธเวท ศิษย์รุ่นนี้ไม่แย่เลยทีเดียว นอกจากจะมี    สองคนได้รากฐานวิญญาณแปดนิ้วแล้ว ยังมีคนหนึ่งได้ขึ้นเป็นศิษย์เอกสาขาอาวุธเวทอีก ออกมาแสดงตัวได้” ชายวัยกลางคนชุดม่วงแย้มยิ้มเล็กน้อย พอพูดจบ                 ก็มีชายผู้หนึ่งเดินเข้ามาในโถงกว้างทันที

ชายผู้นั้นสวมอาภรณ์สีน้ำเงิน ใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่ง มีบุคลิกผึ่งผาย เขาเดินออกมาข้างหน้าและโค้งคำนับชายชุดม่วงก่อนจะหันมาทางหวังเป่าเล่อและศิษย์ทั้งหมด ทุกคนต่างมีสีหน้าตื่นตกใจ นัยน์ตาของเขาทอประกายส่องแสง        ก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ทุกคน”

นัยน์ตาหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบ หลินเทียนหาว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version