Skip to content

A World Worth Protecting 134

บทที่ 134 รางวัลสาขาหลอมโอสถ

“การโจมตีอันชั่วร้ายสุดๆ ของมันหรือ ข้าไม่สนใจความชั่วร้ายของมันหรอก!” หลังเป่าเล่ออารมณ์เดือดพล่าน และเมื่อนึกถึงการกลั่นแกล้งนับสิบๆ ครั้งจาก        เจ้าวานรนั้น ก็ยิ่งโมโห

“ใจเย็นเถิด ศิษย์น้อง ใจเย็น…ข้าขอแนะนำมิให้ท่านไปยั่วโมโหเจ้าวานรนั่น เพราะมันเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของผู้อาวุโสแห่งตำหนักฝึกอสูร การฝึกตนของมัน    ล้ำหน้าพวกเราชาวลมหายใจเที่ยงแท้มาก มันจึงแข็งแกร่งสุดๆ พื้นที่เหนือก้อนเมฆานั้นเป็นอาณาเขตของพวกมัน หากว่ามีสิ่งใดปรากฏให้เห็น มันมักจะไล่ตบตีเช่นนั้น…” ศิษย์เอกผู้ใจดีข้างๆ ส่ายหน้า เขาไม่รู้จักชายอ้วนคนนี้ เพราะในตำหนักอาวุธเวทนั้น มีศิษย์เอกจำนวนมาก

“มันมีเจ้าของด้วยหรือ” เมื่อฟังคำจากศิษย์เอกผู้นี้จนเข้าใจเจ้าวานรคร่าวๆ   หวังเป่าเล่อจึงถอนหายใจอย่างรู้ตัวว่าไม่อาจสู้ได้ เขาเจ็บปวดและขุ่นเคืองใจมากขึ้น จนอยากถามเกี่ยวกับท่าทางดุร้ายขั้นสุดของเจ้าวานรเพชรที่กำลังกระโจนขึ้นฟ้า     แต่เหมือนกับว่ามันได้ยินเข้า จึงหยุดกึกในทันที ก่อนส่ายก้นไปมาทางชายอ้วน แล้วหันมาคำรามใส่ด้วยเขา แววตาวางมาดอย่างผู้ชนะ

“มันเยาะเย้ยข้าอย่างนั้นหรือ” ดวงตาของหวังเป่าเล่อเบิกกว้างขณะโมโหจนขาดการควบคุม นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ถูกวานรยักษ์สบประมาท

วานรเพชรบนท้องนภาเริ่มทุบอกส่งเสียงอย่างภูมิใจ ก่อนเบนความสนใจจาก  ชายหนุ่ม ไปสู่ตำหนักฝึกอสูร

ชายร่างอ้วนฉุนเฉียวอย่างมาก ไม่เพียงแต่โดนวานรกระทำราวกับเป็นของเล่น แต่ยังถูกเย้ยหยันอีกต่างหาก ความโกรธเคืองปะทุ จนต้องใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะ   สงบได้ ก่อนมองไปยังเรือบินและถอนหายใจอย่างเจ็บปวด หลังจากขอบคุณศิษย์เอกคนนั้นเสร็จ จึงนำซากเรือบินกลับสู่ถ้ำที่พักด้วยความเศร้าสร้อยและขุ่นเคือง

โชคดีที่เรือบินเสียหายไม่รุนแรงนัก พอซ่อมแซมได้ด้วยความสามารถของหวังเป่าเล่อ แต่สิ่งที่ยากคือต้องข่มความโกรธในใจเมื่อคิดถึงสีหน้าถากถางของเจ้าวานรนั้น

คอยดูเถอะ ไอ้ระยำเอ้ย! เจ้าจะได้เห็นว่าโคตรบิดาหวังคนนี้ทำอะไรได้บ้าง        ถ้าเจ้ากล้ามาเยาะเย้ยกันเช่นนี้!

ชายหนุ่มขบฟันกรอด พยายามสงบความขุ่นเคือง ไม่อาจเดินทางออกไปไหนได้อีกจนกว่าเรือบินจะซ่อมเสร็จ เขาจึงตัดสินใจเก็บตัวหลอมวัตถุเวทอยู่แต่ในถ้ำที่พัก

หลายวันผ่านไป หวังเป่าเล่อเริ่มคุ้นชินกับวิธีการหลอมวัตถุเวทระดับหนึ่ง ทำให้จำนวนของมันเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีความผิดพลาดระหว่างกระบวนการจนสูญเสียเงินเก็บบางส่วนที่ออมไว้

แต่อย่างไรก็ตาม ชายร่างอ้วนค่อยๆ หลอมวัตถุเวทกว่าแปดสิบชิ้น โดยเลือกจากในหนังสือบัญชีรายการของตำหนักอาวุธเวท วัตถุเวททุกชิ้นต่างมีสัญลักษณ์          โดยทั้งหมดอยู่ในหมวดหมู่การหลอมระดับความยากปานกลาง หากว่าเลือกหลอมในระดับง่ายกว่านี้ คงไม่จำเป็นต้องเสียเวลา พลังงาน และเงินไปมากขนาดนี้

แต่เพราะเฉินอวี่ถงเคยบอกว่าข้อกำหนดในการประเมินศิษย์เอกอาวุธเวทนั้น    คือการหลอมวัตถุเวทระดับหนึ่งจำนวนหนึ่งร้อยชิ้นให้ออกมาสมบูรณ์แบบ และมีคะแนนแยกสำหรับแต่ละชิ้น หากคนๆ นั้นทำได้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ จะสามารถเข้าสู่การเป็นศิษย์เอกได้เลย โดยไม่สำคัญว่าคะแนนนั้นจะสูงหรือต่ำ

แต่คะแนนเป็นเรื่องสำคัญต่อการเป็นองครักษ์อาวุธเวทในอนาคต เฉินอวี่ถงจึงบอกกับเขาว่าหากเป็นไปได้ ให้หลอมวัตถุเวทระดับหนึ่งระดับหฤโหดจากในบัญชีรายการเลยจะดีกว่า

แม้จะมีค่าใช้จ่ายสูง และรางวัลที่ศิษย์เอกอาวุธเวทจะได้รับจากสำนักศึกษาเต๋า สำหรับการหลอมวัตถุเวทร้อยชิ้นในการประเมินผล มีเพียงเครื่องหมายศิลาวิญญาณ ทำให้ได้ไม่คุ้มเสียก็จริง แต่รากฐานสำหรับหนทางในอนาคตนั้นจะมั่นคงและ   ง่ายดายขึ้น

เมื่อพิจารณาปัจจัยต่างๆ หวังเป่าเล่อจึงเลือกท้าทายตัวเอง และยอมลงทุนมากขึ้น   ถึงอย่างนั้น ค่าตอบแทนที่เขาได้รับจากหมู่บ้านลมปราณวิญญาณก่อนหน้านี้ก็มากโข เพียงต้องรอทางสำนักศึกษาเต๋าทำเรื่องบันทึกผลให้เรียบร้อยก่อนจะมอบรางวัล  ต่างๆ ได้

หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน วัตถุเวทสิบอันต่อไปจากนี้ จำเป็นต้องใช้ทรายกาลดวงดาวเป็นวัสดุสำหรับหลอม ซึ่งหาได้จากทางสำนัก แต่ต้องปฏิบัติภารกิจเฉพาะตามกำหนดเวลาให้สำเร็จก่อนเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์แลกซื้อได้

เมื่อคำนวณเวลาดู หวังเป่าเล่อไม่อาจอดทนรอได้ จึงติดต่อกับเซี่ยไห่หยาง เพราะคิดว่าชายผู้นี้มีอิทธิพลสูงยิ่งในเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง จึงน่าจะมีวิธีหา     ทรายกาลดวงดาวมาให้ตนได้ หรือหากเขาไม่อาจหาได้จริงๆ ก็ค่อยวางแผนไปขอความช่วยเหลือจากเฉินอวี่ถงต่อไป

แม้จะผูกมิตรกับศิษย์พี่เฉินไว้แล้ว แต่รู้จักกันไม่นานจนถึงขั้นสนิทสนม เป็นไปได้เขาจึงพยายามไม่รบกวนเฉินอวี่ถง เว้นแต่ว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ

ขณะเดียวกันนั้น เซี่ยไห่หยางก็กำลังแนะนำตัวกับศิษย์ใหม่จากเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองอย่างตั้งใจ

“น้องสาวเอ๋ย ข้าชื่อเซี่ยไห่หยาง ภายในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเจ้าสำนัก หรือศิษย์ธรรมดาทั่วไป ก็ไม่มีคำขอใดที่ข้าไม่อาจตอบสนองได้”

จังหวะที่เห็นข้อความจากหวังเป่าเล่อ ดวงตาของชายหนุ่มทอประกาย ก่อนส่งยิ้มให้ศิษย์หญิงสาวซึ่งดูจะหวาดกลัวอยู่

“เห็นไหมเล่า เจ้ารู้จักหวังเป่าเล่อหรือเปล่า เขาเป็นลูกค้ารายใหญ่ของข้าเอง   เอาเถอะ ไปคิดดูก่อนตามสบาย ข้าต้องช่วยแก้ปัญหาของศิษย์พี่หวังก่อน”           เซี่ยไห่หยางจากไปอย่างเริงร่า ก่อนส่งเสียงไปยังแหวนสื่อสารเพื่อติดต่อกลับ        ชายหนุ่มให้เกียรติและสุภาพมากขึ้นกับชายอ้วน ต่างกับสมัยที่อีกฝ่ายยังอยู่ใน     เกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง

ในที่สุด เขาก็รับปากจะส่งของตามจำนวนที่ต้องการภายในสามวัน

เซี่ยไห่หยางนี่ไม่เลวเลยทีเดียว แม้ข้าจะอยู่ในเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงแล้ว แต่เขายังคงให้ความช่วยเหลือ ช่างเป็นนักธุรกิจชั้นดีอย่างไม่ต้องสงสัย และเขาคงอยากจะเข้าสู่เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงในเร็ววันนี้แหละมั้ง ชายอ้วนประหลาดใจระคนชื่นชม ก่อนอดทนรออีกสามวัน จากนั้นเซี่ยไห่หยางส่งเสียงสื่อสารมาว่า

“ศิษย์พี่หวัง ข้าเข้าไปยังเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงไม่ได้ เรามาแลกเปลี่ยนกันภายนอกเถิด”

หวังเป่าเล่อรีบออกจากถ้ำที่พัก ไปยังชายแดนหมอกควันของเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงทันที ก่อนเห็นอีกฝ่ายยืนอยู่ด้วยท่าทางเคารพนับถือ

“คารวะ ศิษย์พี่หวัง!” เซี่ยไห่หยางรีบวิ่งเข้าไปหาและโค้งคำนับอย่างอ่อนน้อมเมื่อเห็นชายอ้วน และยื่นถุงส่งให้อย่างสุภาพ โดยอีกฝ่ายยังไม่ทันพูดอะไร

เมื่อสังเกตเห็นท่าทางแปลกไปของชายผู้นี้ หวังเป่าเล่อจึงหัวเราะเบาๆ อย่างรู้ดีว่าเป็นเพราะตนอยู่ในเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงแล้วนั่นเอง ก่อนรับถุงไว้และมองสิ่งของที่บรรจุอยู่อย่างพอใจและมีความสุข

ชายอ้วนมอบศิลาวิญญาณให้เขาหลังจากแลกเปลี่ยนสินค้าเสร็จสิ้น เซี่ยไห่หยางยังคงให้ความเคารพตลอดบทสนทนา หวังเป่าเล่อหัวเราะก่อนจะปลีกตัว แต่ราวกับอีกฝ่ายเพิ่งนึกบางอย่างออก จึงรีบพุ่งตัวเข้ามากระซิบกระซาบ “ศิษย์พี่หวัง เพราะท่านซื้อของมากมายจากข้า และเรานั้นเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่มานาน ข้าจึงอยากจะแจ้งข่าวให้ท่านรู้!”

“หืม” ชายหนุ่มหันมอง

“ศิษย์พี่หวัง สายข่าวพิเศษของข้าแจ้งข้อมูลบางอย่างที่นอกจากผู้เกี่ยวข้องแล้ว น้อยคนนักจะรู้ คือในอีกสามวัน ตำหนักหลอมโอสถในเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงจะมอบรางวัลให้แด่ศิษย์คัดเลือกพิเศษในเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง”

เซี่ยไห่หยางกล่าวพลางสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย

“รางวัลจากตำหนักหลอมโอสถสำหรับศิษย์คัดเลือกพิเศษหรือ” หวังเป่าเล่องุนงง

“กฎข้อหนึ่งในเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงระบุว่าทุกตำหนัก สามารถให้รางวัลศิษย์   ผู้มีฝีมือโดดเด่นในเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง ก้าวเข้ามาสู่เกาะแห่งนี้ได้ โดยไม่ต้องผ่านการประเมินผลใดๆ ซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ครั้งนี้ตำหนักหลอมโอสถจะมอบรางวัลเป็นรากฐานวิญญาณเจ็ดนิ้ว แด่คนๆ หนึ่งให้ขึ้นเป็นศิษย์ระดับลมหายใจเที่ยงแท้!”

หวังเป่าเล่อตกใจกับข่าวนี้ เพราะรู้ถึงคุณค่าของรากฐานวิญญาณเจ็ดนิ้วอย่างดี จึงฉงนใจที่ตำหนักหลอมโอสถมอบมันเป็นของรางวัล

“อย่างไรก็ตาม รางวัลนี้ไม่ได้มาโดยง่าย เมื่อข่าวประกาศออกไปในสามวัน ใครที่หลอมโอสถลมหายใจเมฆาให้สำเร็จก่อนกำหนดเวลาได้ ก็จะได้รับสิทธิ์นั้นไป…”    เซี่ยไห่หยางหยุดพูดกลางคันขณะมองอีกฝ่าย

“ข้าลองค้นหาเกี่ยวกับโอสถลมหายใจเมฆาดู จึงรู้ว่ามันมีประโยชน์ต่อผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ ยิ่งกว่านั้น ยังไม่เคยมีบันทึกใดเอ่ยถึงมันมาก่อน เรียกได้ว่าเป็นโอสถสูตรใหม่ทีเดียว หลังจากประเมินผลแล้ว ตำหนักหลอมโอสถแห่งเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงก็จะประกาศมอบรางวัลให้ศิษย์คัดเลือกพิเศษคนนั้นด้วย แต่ดันมีปัญหาบางอย่าง เพราะมีศิษย์ส่งสูตรหลอมโอสถลมหายใจเมฆาเดียวกันเข้ามาถึงสองคน   แต่รางวัลกลับมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!

“ดังนั้น กรรมการจึงตัดสินว่าก่อนการประกาศรางวัล ซึ่งกำหนดเอาไว้ในอีก    หนึ่งเดือนข้างหน้า ผู้ที่หลอมโอสถลมหายใจเมฆาได้บริสุทธิ์กว่าจะเป็นผู้ชนะไป        แต่อย่างไร การหลอมโอสถนี้ต้องใช้วัตถุดิบมากมาย อีกทั้งค่าใช้จ่ายไม่น้อย…”

เมื่อได้ยินดังนั้น หวังเป่าเล่อจึงเบิกตากว้าง มองไปยังชายผู้นี้

เซี่ยไห่หยางสูดลดหายใจเข้าลึกและพูดต่อเบาๆ ขณะอีกคนกำลังจับจ้องอย่างตั้งใจ

“คนที่ส่งสูตรโอสถนั้นคือโจวเสี่ยวหยา และสหายรักของนางชื่อว่า เฉินเฟย      ซึ่งเพิ่งมารู้จักกันในสาขาหลอมโอสถ ตำหนักหลอมโอสถแห่งเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงนั้นมีข้อมูลว่าใครเป็นผู้คิดค้นสูตรโอสถแล้ว แต่ยังไม่เปิดเผย สิ่งนี้ชี้เป็นชี้ตายคนๆ นั้นได้เลย แว่วมาว่ามีข่าวกระจายทั่วทั้งตำหนักหลอมโอสถประจำเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง ว่าเฉินเฟยคือผู้คิดสูตรขึ้นมา เพราะนางเป็นศิษย์พี่ปีสี่ ดังนั้นนางคงไม่ไป   ขโมยสูตรของผู้อื่น จนต้องเสี่ยงโดนไล่ออกจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว…

“และตามที่ข้าเข้าใจ เฉินเฟยติดต่อกับหลินเทียนหาวอยู่ จึงเป็นไปได้ว่าเขาจะคอยช่วยเหลือแม่นางให้หลอมโอสถลมหายใจเมฆาได้สำเร็จ ดังนั้นต่อให้นางหลอมแล้วผิดพลาด ก็ยังคงทดลองใหม่ได้อีกหลายครั้ง ทว่าสำหรับโจวเสี่ยหยานั้นไม่มีข้อได้เปรียบตรงนี้ หากมีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้นในช่วงหนึ่งเดือนนี้ หลังจากประกาศออกไป โจวเสี่ยวหยามีโอกาสพ่ายแพ้สูงมาก ยิ่งกว่านั้นตำหนักหลอมโอสถจะจัดการกับ    เรื่องนี้อย่างไร ก็ไม่อาจล่วงรู้ได้

“ศิษย์พี่หวัง ในเมื่อตำหนักหลอมโอสถยังไม่ได้ประกาศผลรางวัล และหาก      โจวเสี่ยวหยาไม่ได้คิดสูตรขึ้นเองแล้วล่ะก็ ท่านควรพูดอะไรกับนางสักหน่อยนะ ไม่อย่างนั้น…” เซี่ยไห่หยางเงียบลง ก่อนถอยหลังไปสองสามก้าว ทิ้งให้หวังเป่าเล่อวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ตามลำพัง

สีหน้าของชายอ้วนเปลี่ยนไปอย่างน่ากลัว แววตานั้นดูเชือดเฉือนกว่าทุกครั้ง อารมณ์คุกรุ่นค่อยๆ เล็ดลอดออกจากร่างกายของเขา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version