Skip to content
Home » Blog » A World Worth Protecting 135

A World Worth Protecting 135

บทที่ 135 เลือดขึ้นหน้า

หวังเป่าเล่อแผ่รังสีชวนขนพองสยองเกล้าออกมา ขณะเงยหน้าขึ้นมองเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง ช่วงที่อยู่บนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงนั้น เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการทะเลาะกับหลินเทียนหาว และมุ่งมั่นเรื่องความก้าวหน้าเพื่อเป็นศิษย์เอกอาวุธเวท จึงมิได้สนใจเรื่องราวในเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองนัก

ทำให้ไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับโจวเสี่ยวหยาเลย และนางไม่เคยเล่าให้เขาฟังด้วย   ข่าวคราวพวกนี้น้อยคนนักจะรู้ เว้นแต่คนที่เข้าถึงแหล่งข่าวสารง่ายดายอย่าง        เซี่ยไห่หยางเท่านั้น

หลังจากเงียบไปชั่วครู่ หวังเป่าเล่อส่งเสียงผ่านแหวนสื่อสารไปหาโจวเสี่ยวหยาซึ่งกำลังอยู่ในห้องหลอมโอสถ ดวงตาหญิงสาวแดงก่ำขณะพยายามกลั้นน้ำตาอย่างหนัก หลังจากรับข้อความ นางไม่ตอบอะไรมาก แต่เมื่อถูกถามถึงโอสถลมหายใจเมฆา น้ำตาจึงพรั่งพรูออกมาอย่างน่าสงสาร

“ท่านพี่เป่าเล่อ ข้ามิได้คิดค้นสูตรโอสถลมหายใจเมฆาเองเสียทีเดียว เมื่อยี่สิบปีก่อน ข้ารับมาจากท่านปู่ผู้รอบรู้ เจ้าของปราณขั้นบำรุงชีพจรของข้าเอง ทำให้มันยัง        ไม่สมบูรณ์นัก

“เมื่อข้าเข้ามาในสาขาหลอมโอสถ จึงค้นคว้าต่อด้วยการศึกษาจากชั้นเรียน      ทำให้ตัวโอสถสมบูรณ์ขึ้น ท่านจำโอสถที่ข้าเคยให้ดูตอนมายังสาขาหลอมโอสถ      เมื่อครั้งก่อนได้ไหม จริงๆ แล้ว มันคือต้นแบบของโอสถลมหายใจเมฆา ข้ายังเคยอยากนำเสนอตัวสูตรโอสถนี้ต่อสำนักศึกษาเต๋าเพื่อเข้าสู่เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงเลย

“ในการปะติดปะต่อสูตรนั้น ข้ามิได้ปิดบังเฉินเฟยเลย และปรึกษาพูดคุยกับนางเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ มากมาย”

หวังเป่าเล่อเชื่อคำของโจวเสี่ยวหยา เพราะรู้จักหญิงสาวดี ด้วยความที่นางยังเด็กและไม่เคยสัมผัสโลกความเป็นจริง ไม่เคยอยู่ในสถานการณ์ชี้เป็นชี้ตายอย่างที่เขาเคยเผชิญมาเมื่อปีก่อน ทำให้นางเลือกไว้ใจเพื่อนรัก ชายหนุ่มปลอบใจหญิงสาวก่อนทำให้นางเชื่อมั่น

“อย่าร้องไห้เลย ข้าอยู่นี่แล้ว!”

จากนั้น จึงปิดเสียงสื่อสารลง ก่อนหรี่ตาขณะประเมินสถานการณ์คร่าวๆ

หากตัดเรื่องสูตรดั้งเดิมอันไม่สมบูรณ์ของโอสถลมหายใจเมฆาออกไป ก็เห็นชัดได้ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับเศษชิ้นส่วนจากกระบี่สำริดเขียวโบราณแน่นอนแทบไม่ต้องคิด และตำหนักหลอมโอสถเองก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าทั้งคู่ไม่ได้คิดค้นสูตรโอสถนั้นเอง

ดังนั้น แม้จะมีการมอบรางวัล แต่การตัดสินผลก็ยากนัก ในเมื่อมีศิษย์สองคนส่งสูตรโอสถ แม้จะเป็นการขโมยมา แต่ตำหนักหลอมโอสถไม่ได้เสียผลประโยชน์    เพราะถึงอย่างไร ตำหนักนั้นก็ได้รับสูตรคำนวณโอสถอยู่ดี

จากมุมมองของคนนอก ตำหนักหลอมโอสถทำเกินควรก็จริง แต่ในมุมของตำหนักหลอมโอสถ มันคือการแลกเปลี่ยนอย่างหนึ่ง ซึ่งสิ่งตอบแทนก็คือรางวัลรากฐานวิญญาณเจ็ดนิ้วนั่นเอง ฉะนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะลงโทษให้ลูกศิษย์        หมดกำลังใจในการคิดค้นสูตรใหม่ๆ ขึ้นมา

ในสถานการณ์เช่นนี้ คำตัดสินของตำหนักหลอมโอสถ ว่าจะมอบรางวัลให้         ผู้หลอมโอสถลมหายใจเมฆาได้บริสุทธิ์ที่สุดนั้น อาจจะยุติธรรมดีแล้วระดับหนึ่ง

กระนั้นหากศิษย์สาขาเป็นคนคิดค้นสูตรขึ้นมาเองได้ เรื่องนี้จะแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เพราะตำหนักหลอมโอสถจะถือว่าสูตรนั้นเป็นสูตรที่คิดค้นมาใหม่        ใครก็ตามที่เป็นเจ้าของสูตรควรจะได้รับรากฐานวิญญาณแปดนิ้วเป็นของรางวัล    ด้วยซ้ำ

แถมทางตำหนักคงจะมีการสอบสวนกันอย่างจริงจัง และต้องลงโทษศิษย์ที่   ขโมยสูตรดังกล่าวอย่างร้ายแรง ไม่ยอมปล่อยปละละเลยเป็นอันขาด เพื่อไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

เรื่องคอขาดบาดตายที่เซี่ยไห่หยางกล่าวถึงอยู่ตรงนี้เอง อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อมูลที่ได้มาไม่ครบถ้วน อีกทั้งเซี่ยไห่หยางเองก็ยังไม่เคยได้ฟังความจากฝั่งโจวเสี่ยวหยา   จึงอาจทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิดพลาดไปได้

ในเรื่องของหลินเทียนหาวนั้น ไม่ได้ซับซ้อนอย่างเซี่ยไห่หยางคิด หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าชายผู้นั้นทำอะไรเขาไม่ได้ จึงต้องคว้าโอกาสกลั่นแกล้งโจวเสี่ยวหยานี้ เพื่อให้เขารู้สึกเจ็บปวดไปด้วย

หลังจากทำความเข้าใจเรื่องราวเบื้องต้น ชายอ้วนรู้สึกรังเกียจหญิงสาวนาม    เฉินเฟยมาก ก่อนถอนหายใจอย่างเยือกเย็น แล้วหยิบแผ่นหยกส่งให้เซี่ยไห่หยาง

“นี่เป็นแผ่นหยกเปล่า เจ้าต้องการเท่าไรก็กรอกตัวเลขลงไปได้เลย!

“เมื่อกลับไปแล้ว จงตามหาโจวเสี่ยวหยา ซื้อสมุนไพรทุกตัวที่นางต้องการสำหรับการหลอมโอสถลมหายใจเมฆามาเยอะๆ ต้องมั่นใจว่านางจะไม่ขาดแคลนวัตถุดิบอีก เพื่อว่าในหนึ่งเดือนข้างหน้านี้ นางต้องเป็นฝ่ายชนะ และรับรางวัลจากการ         หลอมโอสถลมหายใจเมฆาให้ได้!

“สำหรับค่าใช้จ่าย ข้าไม่มีอะไรจะให้เจ้านอกจากศิลาวิญญาณ ซึ่งแม้แต่ข้าเองก็ยังนับไม่ถ้วนเลยว่ามีจำนวนเท่าไร!” หวังเป่าเล่อพูดอย่างใจเย็นแต่คำพูดนั้นอวดความมั่งคั่งของตน เซี่ยไห่หยางหายใจลึก ดวงตาส่องประกาย

หัวใจของชายหนุ่มสั่นไหวเมื่อรู้เหตุผลที่อีกฝ่ายยื่นแผ่นหยกเปล่าให้ เพราะไว้ใจว่าตนจะไม่โกหกหรือหักหลัง มันแสดงให้เห็นถึงความเชื่อใจ! และชายผู้นี้ยังมองว่า  ตนนั้นเป็นคนสำคัญอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น มันยังหมายความว่าเขาได้นำข่าวนี้มาบอกถูกคนแล้ว

เซี่ยไห่หยางหายใจและมองหวังเป่าเล่ออย่างลึกซึ้ง ก่อนประสานมือโค้งคำนับ

“ไว้ใจเถิดศิษย์พี่หวัง! เมื่อท่านยินดีมอบแผ่นหยกเปล่าให้ ข้าเองจะขอพิสูจน์ตัวกับท่านเช่นกัน ว่าเซี่ยไห่หยางผู้นี้เป็นนักธุรกิจที่น่าเชื่อถือ เปี่ยมด้วยอุดมการณ์    และไม่มีวันโกงท่านแม้แต่ศิลาวิญญาณเดียว!”

หวังเป่าเล่อพยักหน้า ในความเป็นจริงแล้ว จากการที่เซี่ยไห่หยางคาบข่าวมาบอก   ทำให้ชายหนุ่มเชื่อมั่นและไว้ใจอีกฝ่าย จนไม่กลัวว่าคนๆ นี้จะตลบหลังตัวตน         เขามาจากเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง อีกฝ่ายอยู่เกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ อีกฝ่ายเป็นเพียงผู้ใช้ปราณระดับการฝึกตนโบราณ      หากเซี่ยไห่หยางกล้าและบ้าพอจะลองดี หวังเป่าเล่อเองก็มีวิธีจัดการให้ต้องชดใช้คืนเป็นร้อยเท่า ให้สาสมกับความละโมบโลภมากแน่นอน

เมื่อเห็นว่าเซี่ยไห่หยางลับสายตาไปอย่างรวดเร็ว เขาจึงหายใจเข้าลึกก่อนกลับไปยังถ้ำที่พักตำหนักอาวุธเวทเพื่อปลีกตัวสันโดษต่อ

สามวันจากนั้น ตำหนักหลอมโอสถประกาศเรื่องรางวัลขึ้น จนเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองเต็มไปด้วยความปั่นป่วนวุ่นวาย แม้ว่าผู้คนจากเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงเองยังถกเถียงกันอย่างดุเดือดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ขณะนั้นเอง มีหลายคน รวมถึง       หลิวเต้าปิน ส่งข้อความเสียงหาหวังเป่าเล่อด้วยความเป็นกังวล

หลังจากขอบคุณทุกคนสำหรับข้อมูล ชายหนุ่มส่งข้อความเสียงไปหาโจวเสี่ยวหยาเพื่อให้กำลังใจ ก่อนจะสงบจิตใจตน เพื่อเริ่มหลอมวัตถุเวทต่อไป

หญิงสาวประทับใจกับคำพูดอันอบอุ่นใจ เมื่อทราบจากเซี่ยไห่หยางว่าท่านพี่เป็นผู้มอบแผ่นหยกเปล่าให้ ขณะเดียวกันนั้น ใบหน้าจิ้มลิ้มของนางเผยให้เห็นความจริงจังและมุ่งมั่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“ข้าจะไม่ยอมให้ศิลาวิญญาณของท่านพี่หวังต้องศูนย์เปล่า ข้าจะต้องได้รับรางวัล และขึ้นสู่เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง เพื่อในอนาคต จะได้หลอมโอสถให้แก่ท่านพี่หวัง!”

โจวเสี่ยวหยาเริ่มกระบวนการหลอมโอสถลมหายใจเมฆาด้วยแววตาฉายประกายของความตั้งใจ

หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในรุ่งเช้าของวันแห่งโชคชะตานั้น มีเสียงระฆังดังก้องไปทั่วสาขาหลอมโอสถแห่งเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง

เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น สาขาหลอมโอสถนั้นเริ่มวุ่นวายด้วยบรรดาศิษย์ทั้งหลายต่างมุ่งหน้าไปบนยอดเขา เจิ้งเหลียงยืนอยู่ด้านหน้าถ้ำที่พักด้วยดวงตาแห่งความคาดหวังและท่วมท้นด้วยอารมณ์

“สุดท้ายแล้ว ใครจะได้รับรางวัลกันนะ” แม้ชายหนุ่มจะพ่ายแพ้ต่อเจ้าเยี่ยเหมิงในการประเมินผลครั้งก่อน และมิได้เข้าร่วมการประเมินในมิติเวทซึ่งจัดโดย        สำนักศึกษาเต๋าเพราะเหตุผลส่วนตัว แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ที่จะสมัครเข้าการประเมินหลักของสำนักศึกษาเต๋าในปีหน้า

คนอื่นๆ มากมาย แม้แต่ศิษย์จากคนละสาขา ต่างอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน เหตุการณ์นี้กลายเป็นข่าวสำคัญในเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองไปแล้ว

เหล่าศิษย์จากแต่ละสาขา กรูเข้ามารวมตัวกันบนยอดเขาสาขาหลอมโอสถ โดยมีเสียงสั่นระฆังบรรเลงประกอบ พวกเขาต่างอยากเห็นกับตาว่าใครจะเป็นผู้ชนะ     ศิษย์จากสาขาอาวุธเวทนั้นมีจำนวนสูงมาก แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะเข้าสู่เกาะ           มหาปราชญ์ชั้นสูงไปแล้ว แต่อิทธิพลในเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองนั้นไม่ลดน้อยลงเลย ดังนั้นจึงมีศิษย์มากมายคอยลุ้นให้โจวเสี่ยวหยาเป็นผู้คว้าชัยชนะในครั้งนี้

แต่เฉินเฟยนั้นก็ไม่ใช่คนที่จะประมาทได้ เพราะผู้สนับสนุนนางนั้นก็มีจำนวนมากเช่นกัน

เมื่อทุกคนรวมตัวกันบนยอดเขาสาขาหลอมวิญญาณ ฝูงชนราวกับฝูงมดนี้      ต่างพูดคุยกันอย่างต่อเนื่องไม่หยุด จนกระหึ่มไปทุกทิศทางอย่างดุเดือด

สายตาของทุกคนจับจ้องบนพื้นที่ตรงกลางซึ่งเป็นจัตุรัสสาธารณะ มีหญิงสาว  สองนางกำลังนั่งไขว้ขาติดกับหม้อหลอมโอสถ

ทั้งคู่มีความสามารถโดดเด่นเป็นพิเศษแม้ว่าจะยังเยาว์วัย โจวเสี่ยวหยามอง    เฉินเฟยอย่างโกรธแค้น อีกฝ่ายมีร่างกายที่สูงกว่า แม้กำลังนั่งสมาธิด้วยขาไขว้กันอยู่ แต่ยังคงมองเห็นหุ่นเป็นทรงนาฬิกาทราย ความน่าหลงใหลนี้ดึงดูดสายตาหลายคู่ แม้ว่าหญิงสาวจะดูห่างเหินและโอหัง แต่ยิ่งมีความเย็นชาและเข้าถึงยากมากเท่าไหร่ กลับยิ่งเพิ่มเสน่ห์ต่อผู้อื่นเท่านั้น

“โจวเสี่ยวหยาต้องชนะอย่างแน่นอน! สูตรโอสถนั้นเป็นของนางมาตั้งแต่แรก!”

“พูดยากนัก ข้าคิดว่าสูตรนั่นอาจเป็นของเฉินเฟยมากกว่า นางมีประสบการณ์มากมายในฐานะการเป็นศิษย์อาวุโสปีสี่ ยิ่งกว่านั้น รูปร่างและหน้าตาของนางยังงดงามอีกด้วย!”

ท่ามกลางบทสนทนานั้น เจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก และผู้อาวุโสจากตำหนักหลอมโอสถเดินทางมาถึงพอดี ก่อนนั่งตรงแถวหน้า และแล้วเสียงจอแจจากผู้คนค่อยๆ เงียบลง

เจ้าสำนักและผู้อาวุโสจากตำหนักหลอมโอสถสบสายตาก่อนพยักหน้าให้กัน    รองเจ้าสำนักสูดลมหายใจลึก แล้วเดินมามองโจวเสี่ยวหยาและเฉินเฟย ก่อนเหล่มองโจวเสี่ยวหยาเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นอย่างเคร่งขึม

“การประเมินการหลอมโอสถลมหายใจเมฆาเริ่มต้น ณ บัดนี้!”

หญิงสาวทั้งสองลุกขึ้นยืนทันที และเริ่มหลอมโอสถลมหายใจเมฆา โดยมีทุกสายตาจับจ้อง!

ทันใดนั้นหม้อต้มโอสถของทั้งคู่เรืองแสงขึ้น

เวลาค่อยๆ คืบคลาน จนผ่านไปครึ่งชั่วโมง กระบวนการหลอมของหญิงสาวทั้งสองมาถึงครึ่งทาง ฝั่งของหวังเป่าเล่อซึ่งอยู่ในถ้ำที่พักบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงนั้น หลอมวัตถุเวทระดับหนึ่งอันสมบูรณ์ครบร้อยชิ้นพอดี ด้วยเวลาตามที่คาดการณ์ไว้

หวังเป่าเล่อตื่นเต้นเมื่อเห็นเกราะขนาดเท่าฝ่ามือตรงหน้าซึ่งเพิ่งหลอมสำเร็จ   ส่องประกายสดใส ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างดีใจ

ข้าทำสำเร็จแล้ว! เวลาช่างเหมาะเจาะ การประเมินของกระต่ายน้อยน่าจะยังไม่จบ!

หวังเป่าเล่อหายใจขึ้นลึก ก่อนเปิดแผ่นหยกส่งเสียงเพื่อตรวจดูอย่างตื่นเต้น หลังจากได้รับการยืนยันว่ากระประเมินนั้นยังคงดำเนินอยู่ เขาจึงรีบเดินออกจากถ้ำที่พัก    และขับเรือบินไปยังเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองทันที

หากกระต่ายน้อยพ่ายแพ้อย่างสมศักดิ์ศรีก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้ามีใครสร้างปัญหาหลังจากนางชนะล่ะก็ ข้าอยากไปเห็นด้วยตัวเองว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครกัน!

หวังเป่าเล่อโดยสารอยู่บนเรือบิน ที่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า แววตาดูดุดันขณะเร่งความเร็วออกไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version