Skip to content

A World Worth Protecting 1329

บทที่ 1329 ผู้เหมาะสม

เมืองปรารถนารสที่เหมือนกับสำนักแห่งหนึ่งเช่นนี้ ทั้งยังไม่มีกฎสำนักเป็นกรอบเป็นเกณฑ์อะไร ช่างเป็นสถานที่ที่เหมาะจะให้ตนซ่อนตัวอย่างยิ่ง นอกจากนี้ หวังเป่าเล่อยังมองออกว่า เมืองปรารถนารสคล้ายไม่มีใครถูกมองว่าเป็นศัตรูเลย

ตามหลักการแล้วทุกคนจากข้างนอกสามารถเข้ามาในเมืองได้หลังจากได้รับสิทธิ จึงทำให้คนดีเลวปะปน

สิ่งที่พวกเขาต้องการคือความเปิดกว้างและต้องการให้คนมากมายหลั่งไหล เข้าสู่ที่นี่ ส่วนอาหารเลิศรสก็เป็นเพียงวิธีการและรูปแบบการฝึกตนอย่างหนึ่ง ยิ่งมีคนมากมายอุทิศความกระหายอยากให้พวกมัน ก็จะยิ่งทำให้ผู้ฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนารสภายในเมืองได้ประโยชน์มากมาย

บางทีอาจเป็นเพราะเงื่อนไขเหล่านี้จึงทำให้ภายในเมืองปรารถนารสดูคล้ายจะสับสนวุ่นวาย แต่ที่จริงกลับมีรูปแบบของกฎบางอย่าง

ที่นี่ชีวิตคนไม่มีความหมายอะไรนัก

สิ่งที่มีความหมายอย่างแท้จริงคือต้องสามารถปกป้องตนเองได้

“น่าสนใจ” เมื่อคิดเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว ใบหน้าของหวังเป่าเล่อก็ยิ้มออกมา เขาพบว่าตนค่อนข้างจะชอบเมืองปรารถนารสแห่งนี้ ที่สำคัญที่สุดคือ ที่นี่เขามีกิจการอยู่หนึ่งแห่ง

“แล้วคำแนะนำของร้านแห่งนี้อยู่ไหน” หวังเป่าเล่อหรี่ตา มองไปยังผู้จัดการร้านหญิงที่ตอนแรกยังงดงามเปี่ยมเสน่ห์ แต่ตอนนี้กลับจำเค้าลางเดิมไม่ได้

ผู้จัดการร้านหญิงจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร เมื่อได้ยินแล้วก็รีบตบอกของตนทันที ตอนนั้นเองแสงสีแดงก็เปล่งออกมาจากภายในร่าง แล้วลอยมารวมตัวกันอยู่ตรงหน้านางช้าๆ จนเกิดเป็นป้ายคำสั่งเลือนรางป้ายหนึ่ง

บนป้ายคำสั่งแผ่นนี้มีอักขระโบราณจำนวนมากสอดประสานกันอยู่ ทำให้ชั่วพริบตาที่ผู้คนปราดมองไปก็คล้ายจะมองเห็นอาหารโอชะของโลก จนความอยากอาหารพุ่งขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

แม้แต่เจ้าอ้วนน้อยกับคนแคระและพ่อครัวผู้นั้น ตอนนี้ล้วนแล้วแต่มีสภาพ น่าเวทนาอย่างยิ่ง แต่หลังจากเห็นป้ายคำสั่งนี้แล้ว ลมหายใจก็หอบถี่ขึ้นมาราวกับควบคุมเอาไว้สุดกำลัง

แต่เห็นได้ชัดว่าการควบคุมเช่นนี้ไม่อาจทำได้นานนัก หากแสดงป้ายคำสั่งออกมานานๆ เกรงว่าทั้งสามคนคงอดไม่ได้ที่จะพุ่งไปแย่งชิงโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้นแน่

เขากวาดมองสีหน้าของทุกคน หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ยกมือขวาขึ้นคว้า ทันใดนั้นป้ายคำสั่งเลือนรางก็พุ่งมาหาหวังเป่าเล่อ เมื่อถูกเขาจับเอาไว้ในมือแล้ว สายตาของทุกคนในที่นี้ก็ถูกดึงดูดให้มองไปโดยสัญชาตญาณ

หวังเป่าเล่อถือป้ายคำสั่งไว้พลางสัมผัสตระหนักรู้ครู่หนึ่ง นัยน์ตามีประกายแสงวาบผ่าน คำแนะนำนี้…ในความคิดของเขา ความจริงมันก็คือเมล็ดพันธุ์เต๋าที่มี ขนาดเล็กและเปราะบางอย่างยิ่งเท่านั้น

และเมื่อเทียบกับเมล็ดพันธุ์เต๋าของจริง ของสิ่งนี้นับว่าเป็นแค่กิ่งย่อยที่เล็กจ้อยอย่างยิ่ง ไม่เหมือนแม้แต่หนึ่งในหมื่นส่วน ใช้คำว่า ‘เส้นเต๋า’ มาบรรยาย บางที อาจเหมาะยิ่งกว่า

แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ มันก็ยังทำให้ผู้คนสามารถเชื่อมต่อกับกฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสหลังจากตระหนักรู้ได้ แต่เรื่องการตระหนักรู้การฝึกตนนั้น ถ้าหากเปรียบเทียบกฎเกณฑ์ปรารถนารสเป็นแม่น้ำสายหนึ่ง เช่นนั้นตอนนี้เส้นเต๋าเส้นนี้ก็เหมือนกับ ต้นกล้าเล็กๆ ที่มีรากเชื่อมต่อกับแม่น้ำสายนี้นั่นเอง

แต่เนื่องจากต้นกล้าอ่อนแอและมีข้อจำกัด ดังนั้นระดับการดูดซับจึงไม่สูง

ส่วนผู้จัดการร้านหญิงในเวลานี้นั้น เป็นเพราะส่งคำแนะนำออกไป ตัวนาง จึงอ่อนแอลงไม่น้อย แต่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ชัดเจนว่า ถึงแม้ภายในร่างของอีกฝ่าย จะไม่มีคำแนะนำอยู่แล้ว ทว่าบางทีอาจเป็นเพราะเคยตระหนักรู้อยู่หลายปี ตัวของนางจึงยังสามารถตระหนักรู้กฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสได้อยู่

แค่ความเร็วและประสิทธิภาพลดลงไปมาก

“ดูท่าการฝึกตนของโลกใบนี้จะใช้เมล็ดพันธุ์เต๋าเป็นพื้นฐาน รูปแบบการตระหนักรู้กฎเกณฑ์ก็เช่นเดียวกัน” หวังเป่าเล่อนึกถึงกฎเกณฑ์แห่งสุขและกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียง ซึ่งล้วนเป็นเช่นเดียวกับกฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสตรงหน้า

หลังจากเงียบงันไปพักหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็โบกมือขวาทันที ทันใดนั้นป้ายคำสั่งของกฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสที่อยู่กลางฝ่ามือก็แทรกซึมเข้าไปในฝ่ามือของเขาเหมือนกับละลาย หลังจากเคลื่อนตัวอยู่ในร่าง มันก็กลายเป็นวังน้ำวนขนาดเท่า เล็บมืออยู่ที่บริเวณตันเถียน

เมื่อวังน้ำวนปรากฏ ความรู้สึกหิวโหยขั้นรุนแรงก็เกิดขึ้นในร่างของหวังเป่าเล่อ ราวกับตอนนี้แม้จะมีอาหารเลิศรสมากมายเหมือนภูเขาทะเลกองไว้ตรงหน้า เขาก็สามารถกลืนลงไปได้หมด

และถ้าไม่มีอาหารมาจัดการกับความหิวโหยนี้ ความหิวก็จะถูกกักไว้ข้างในแล้วดูดซับพลังชีวิตของผู้ฝึกตนไปเอง

ความรู้สึกนี้ยากจะข่มกลั้นอย่างยิ่ง เพียงพอจะทำให้คนธรรมดาเป็นบ้าได้เลย แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว มันยังอยู่ในขอบเขตที่ทนรับไหว ดังนั้นหลังจากลูบท้องของตน เขาก็สยบความรู้สึกนี้ไว้ได้ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น ปราดมองไปยังผู้จัดการหญิงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

พอเขาปราดมองมา ผู้จัดการหญิงก็ตัวสั่นรุนแรงยิ่งกว่าเดิม แววตาเผยความ ไม่อยากเชื่อ นางรีบคำนับลงอย่างรวดเร็ว โขกศีรษะไม่หยุด พูดอะไรไม่ออก เพราะหวาดกลัวและประหม่าเกินไป

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะก่อนหน้านี้ ตอนส่งคำแนะนำออกไป ในใจนางก็เกิดความเพ้อฝันอย่างหนึ่ง นางจงใจไม่พูดถึงผลข้างเคียงหลังจากหลอมรวมคำแนะนำ เดิมทีคิดว่าสามารถอาศัยเรื่องนี้มาพลิกสถานการณ์ได้

ถึงอย่างไรก็เป็นเพราะคนอื่นไม่เคยหลอมรวมกับคำแนะนำมาก่อน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าทันทีที่ผสานเข้าไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้ในเมืองปรารถนารสเดิมก็เป็นความลับในระดับหนึ่งอยู่แล้ว

ปีนั้นตอนที่นางผสานรวมเข้าไป แม้จะถูกเตือน แต่ก็เป็นเพราะไม่ได้เตรียมตัวอย่างเหมาะสม จึงเกือบถูกคำแนะนำสะท้อนกลับใส่ทั้งตัวแล้ว ดังนั้นนางจึงเข้าใจว่า ต่อให้คนตรงหน้าจะแข็งแกร่งปานใดก็ยากจะปลอดภัยไร้เรื่องราว ทันทีที่เขา ถูกสะท้อนกลับ ก็จะเป็นโอกาสดีที่สุดที่นางจะพลิกกระดานตอบโต้

แต่อย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่าการสะท้อนกลับที่นางคิดว่าน่ากลัวอย่างยิ่ง เมื่ออยู่บนตัวของอีกฝ่าย มันกลับไม่ปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย สิ่งนี้ทำให้ความหวังเส้นสุดท้ายในใจของนางพังทลาย ขณะนี้หลังจากถูกหวังเป่าเล่อกวาดมองมา ความอยากอยู่รอดจึงรุนแรงถึงขีดสุด

“ทำความสะอาดที่นี่ให้เรียบร้อย พรุ่งนี้เปิดทำการตามปกติ”

หวังเป่าเล่อถอนสายตากลับไป เมื่อลุกขึ้นโบกมือ พันธนาการสี่สายก็แผ่ออกมาแล้วบินเข้าไปในร่างของคนทั้งสี่ ติดตรึงดวงวิญญาณเทพของพวกเขาเอาไว้ โดยสมบูรณ์ จากนั้นเขาจึงบิดตัวอย่างเกียจคร้านแล้วเดินขึ้นไปชั้นสอง

ชั้นที่หนึ่งของร้านค้าคือร้านอาหาร ชั้นที่สองจึงจะเป็นที่พัก ตอนนี้เขาเดินขึ้นบันไดและผลักประตูห้องพักหลักออกแล้ว แต่จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็เอ่ยขึ้นว่า

“ข้าชอบฟังดนตรี คืนนี้ให้เจ้าร้องเพลงถึงเช้า” กล่าวจบหวังเป่าเล่อก็ผลักประตูเดินเข้าไป

จนกระทั่งเงาร่างของเขาหายลับไปแล้ว คนทั้งสี่ที่ชั้นล่างก็ตัวสั่นเทา มองหน้า กันและกัน ล้วนแต่มองเห็นความจนใจของแต่ละคนได้ จากนั้นคนแคระผู้นั้น ก็กระโดดโหยงขึ้นมาไปอยู่ตรงหน้าเจ้าอ้วนน้อยทันที ก่อนตบหน้าเขาไปฉาดหนึ่ง

ตบจนร่างของเจ้าอ้วนน้อยกระเด็นไปกระแทกกับผนังตรงๆ ยังไม่จบ พ่อครัว ชายฉกรรจ์ก็ทำเช่นเดียวกัน เขาเดินเข้าไปเตะอย่างแรง เตะจนเจ้าอ้วนน้อย กระอักเลือดออกมาแล้วล้มลงไปอีกด้าน

“เจ้าตาบอดหรือไง กลับพาดาวมรณะเช่นนี้เข้าร้านได้!”

สภาพของเจ้าอ้วนน้อยอนาถอย่างยิ่ง รู้สึกเสียใจเช่นกัน แต่กลับไม่อาจคัดค้านได้ ถึงอย่างไร…ก็เป็นเขาเองจริงๆ ที่บังคับให้หวังเป่าเล่อเข้ามาในร้าน

“พ่อครัวพูดได้ไม่ผิด ตาของเจ้ามืดบอดแล้วจริงๆ” ขณะที่เจ้าอ้วนน้อยพยายามคลานขึ้นมา เสียงแผ่วเบาก็ดังมาจากตรงหน้าของเขา เจ้าอ้วนน้อยหน้าเปลี่ยนสี หลบหลีกไม่ทันการ ผู้จัดการร้านหญิงปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขา นางยกนิ้วมือ ของมือขวาขึ้นแทงลงไปที่ตาขวาของเจ้าอ้วนน้อยแล้วควักออกมาเต็มแรง

เจ้าอ้วนน้อยกำลังจะกรีดร้อง คนแคระผู้นั้นก็มาอยู่ข้างหลังแล้วอุดปากเอาไว้แน่น ทำให้เจ้าอ้วนน้อยไม่อาจส่งเสียงร้องออกมาได้ ทำได้เพียงตัวสั่นเทิ้มรุนแรง ปล่อยให้ผู้จัดการร้านหญิงควักลูกตาของเขาออกมา แล้วป้อนให้คนแคระที่อยู่ข้าง ตัวเขา

“ลากออกไปซะ สั่งสอนให้ดี” จากนั้น ท่ามกลางความโหดเหี้ยมของคนแคระและพ่อครัว ผู้จัดการร้านหญิงก็เอ่ยเสียงเบาแล้วไม่ดูต่อ แต่นั่งอยู่ข้างๆ ถอนหายใจออกมา ก่อนเริ่มร้องเพลง

เสียงเพลงแสนคับแค้นใจพร้อมกับความอับจนปัญญาและเสียงที่สั่นระรัว ก็สะท้อนก้องอยู่ในร้านเนิ่นนาน

ในห้องพัก สีหน้าของหวังเป่าเล่อเยือกเย็น ไม่ยินดียินร้าย นั่งทำสมาธิอยู่

ในโลกวิปริตที่เต็มไปด้วยความปรารถนา สิ่งที่จำเป็นคือเจ้าต้องโหดเหี้ยมยิ่งกว่าผู้อื่น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version