บทที่ 1330 น้ำเป็นสุข
เสียงเพลงดังอยู่ทั้งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อประตูใหญ่ของร้านเปิดออกและแสงแดดส่องเข้ามา พื้นร้านค้า ก็สะอาดสะอ้านไร้ไรฝุ่น โต๊ะเก้าอี้ก็เช่นกัน ไม่มีร่องรอยเสียหายแม้แต่นิด
มีเพียงพนักงานดูแลลูกค้าสองคน คนหนึ่งสีหน้าซีดขาวเดินกะโผลกกะเผลก แต่ในปากเคี้ยวอะไรบางอย่างอยู่ตลอด เคี้ยวไม่หยุด ไม่กลืนลงไปสักที ส่วนอีกคนจากอ้วนก็ผอมลง ทั้งยังตาบอดหนึ่งข้าง สีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง
ส่วนพ่อครัวนั้น เนื่องจากไม่ได้เผยตัวออกมาจึงมองไม่เห็น แต่ก็ได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ มาจากครัวด้านหลังอย่างเลือนราง และยังมีเสียงคล้ายสับเนื้อดังฉับๆ
นอกจากนั้น ผู้จัดการร้านหญิงผู้งามล้ำเปี่ยมเสน่ห์ก็ยังมีสีหน้าห่อเหี่ยว เสียงแหบแห้งเล็กน้อย รอยยิ้มก็ดูฝืนใจอย่างยิ่ง สิ่งเหล่านี้ทำให้ลูกค้าประจำของร้านที่มาเยือนในวันธรรมดาประหลาดใจมาก
แต่พวกเขาก็ไม่ได้คิดอะไรนัก มีคนเข้ามาอยู่เนืองๆ กินอาหารตามปกติ ขณะพูดคุยกัน แล้วจากไปทีละคน จนกระทั่งยามเที่ยงตรง ลูกค้าในร้านก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น แม้จะไม่เต็มร้าน แต่ก็มีอยู่เจ็ดแปดส่วน
ในจำนวนนั้นมีทั้งชาวเมืองปรารถนารสและมีคนจากภายนอก ดูท่าทางปกติมาก เหมือนกับว่าหากไม่ใช่วันเทศกาล ความโกลาหลวุ่นวายของเมืองปรารถนารสก็จะถูกเก็บซ่อนเอาไว้ ไม่ปรากฏออกมาง่ายๆ
ส่วนความผิดปกติของพนักงานและผู้จัดการในร้านก็ไม่มีใครสนใจ กระทั่ง… เมื่อมีคนจากภายนอกสองสามคนซึ่งไม่ใช่ชาวเมืองเมืองนี้ก้าวเข้ามาในร้าน อย่างระมัดระวัง สายตาของพวกเขากวาดมองรอบๆ เป็นพักๆ จดจ้องพิจารณาอยู่ที่คนแคระกับเจ้าอ้วนน้อยอยู่บ่อยๆ
หากเป็นในยามปกติ คนแคระกับเจ้าอ้วนน้อยคงไม่ยอมแล้ว แต่วันนี้พวกเขาคล้ายจะเปลี่ยนนิสัย ปล่อยให้ตนถูกประเมิน พลางยกอาหารไปให้ด้วยท่าทีเศร้าซึม ก่อนจะจากไปเงียบๆ
ภาพนี้ทำให้คนนอกไม่กี่คนนั้นพากันตกใจ เมื่อวานพวกเขาเห็นกับตาว่า หวังเป่าเล่อถูกบีบบังคับให้เข้าร้าน ที่มาวันนี้ก็เพราะความแปลกประหลาดของ เมื่อวาน ทำให้เกิดความสงสัยใคร่รู้ จึงมาดูสถานการณ์สักหน่อย
ถึงอย่างไรหลังจากเทศกาลผ่านไป ความอันตรายจากร้านค้าของเมืองปรารถนารส ก็ลดลงไปมาก
ตอนนี้เมื่อเห็นทั้งหมดนี้แล้ว คลื่นยักษ์ในใจคนนอกสองสามคนนี้ก็โหมซัด รับรู้ได้ว่าชายหนุ่มที่เข้ามาในร้านเมื่อวานผู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดา แต่ดูแล้วแม้ว่าพนักงานในร้านกับผู้จัดการร้านจะบาดเจ็บ ทว่ากลับยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นในใจของคนสองสามคนนี้ จึงเริ่มคาดเดาว่า สุดท้ายชายหนุ่มผู้นั้นจะน้ำน้อยแพ้ไฟและกลายเป็นวัตถุดิบอาหารไปแล้วหรือไม่?
แต่ขณะที่คนนอกเหล่านี้กำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ ประตูห้องพักที่ชั้นสองก็เปิดออก หวังเป่าเล่อค่อยๆ ก้าวมายืนอยู่บนระเบียงแล้วก้มหน้ามองลงไปข้างล่าง
การปรากฏตัวของเขาดึงดูดความสนใจของลูกค้าชั้นล่างได้ทันที ต่างก็พากัน เงยหน้าขึ้นไปมอง คนนอกสองสามคนนั้นก็เช่นกัน หลังจากเห็นหวังเป่าเล่อแล้ว พวกเขาก็รีบเก็บสายตากลับไปอย่างว่องไว
ขณะเดียวกันนั้น คนแคระตัวสั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด เขาส่งอาหารอย่าง ขยันขันแข็งมากกว่าเดิม ส่วนเจ้าอ้วนน้อยก็กระตือรือร้นสุดใจ เช็ดโต๊ะที่เดิม สะอาดเอี่ยมอ่องทั้งไม่มีคนใช้เต็มกำลัง และยังมีผู้จัดการร้านผู้นั้นก็คล้ายคึกคักขึ้น ก้มหน้าทำบัญชีเร็วรี่ ท่าทางจริงจังเหนือใคร
แม้แต่เสียงฉึบฉับที่ครัวด้านหลัง ตอนนี้ก็ยังดังชัดเจนยิ่งกว่าเดิม…
หวังเป่าเล่อทอดมองทั้งหมดนี้แล้วสูดหายใจลึก สัมผัสได้ถึงกลิ่นอาย ความกระหายอยากจางๆ มันแพร่กระจายไปทั่วร้านแล้วลอยเข้ามาหาเขา หลังถูกเขาสูบเข้าปากแล้วก็ผสานเข้ากับวังน้ำวนที่ตันเถียน
ความพึงพอใจแรงกล้าทำให้จิตใจของหวังเป่าเล่อกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาไม่น้อย เขาเริ่มรู้สึกสนใจการฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนารสยิ่งกว่าเดิม
การฝึกตนเช่นนี้ มันแปลกพิสดาร แต่ขณะเดียวกันเขาก็ชอบมาก
ทว่าน่าเสียดายที่กลิ่นอายความกระหายอยากของที่นี่ไม่เข้มข้น แค่หวังเป่าเล่อสูบเข้าไปไม่กี่คำก็สูบจนกลิ่นอายเหล่านี้หมดสิ้นแล้ว สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเสียดายอยู่ในใจ เมื่อคิดถึงวันเทศกาลเมื่อวาน คนทั้งเมืองต่างมารวมตัวกันที่แท่นบูชา กลิ่นอายแห่งความกระหายอยากเข้มข้นเสียจนไม่อาจจินตนาการได้เลย
“กฎเกณฑ์ปรารถนารสเช่นนี้ หากฝึกฝนได้จนถึงขีดสุด หมื่นชีวิตทุกสรรพสิ่งก็จะถูกควบคุม…เพราะความปรารถนาเช่นนี้ เดิมก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตอยู่แล้ว”
“เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาเดิมก็ล้วนเป็นเช่นนี้…” หวังเป่าเล่อสัมผัสรสชาติ วังน้ำวนแห่งความปรารถนาภายในร่าง จากนั้นก็หันกายเดินกลับเข้าห้องพัก ขณะครุ่นคิด
การจากไปของเขาทำให้คนแคระและเจ้าอ้วนน้อยในร้าน รวมไปถึงผู้จัดการหญิงลอบโล่งอก เช่นนี้เอง เวลาก็เคลื่อนผ่านไปช้าๆ ไม่นานก็มาถึงยามเย็น เวลานี้ หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง หลังดูดซับกลิ่นอายแล้วก็กลับห้องพักอีกรอบ
จนกระทั่งยามค่ำ หลังจากปิดร้านแล้ว ค่ำคืนไร้สุ้มเสียง พร้อมกับความประหม่าวิตกของพวกพนักงาน
เวลาผ่านไปแต่ละวัน ในไม่ช้า หวังเป่าเล่อก็เป็นเจ้าของร้านมาแล้วแปดวัน ในแปดวันนี้ ทุกครั้งที่เขาโผล่หน้าออกมาล้วนเป็นการดูดซับกลิ่นอายแห่ง ปรารถนารส ช่วงเวลาอื่นล้วนไม่หือไม่อือ ทำให้พวกคนแคระเริ่มจะผ่อนคลายขึ้นบ้าง
แต่ในคืนวันที่เก้าที่พวกเขาคิดว่าจะเงียบงันไร้เรื่องราวเหมือนเดิม หลังปิดร้าน เงาร่างของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏขึ้นที่ชั้นหนึ่ง เมื่อเขานั่งลงบนเก้าอี้ คนแคระและ เจ้าอ้วนน้อย รวมถึงผู้จัดการร้านกับพ่อครัวที่อยู่ชั้นหนึ่งก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา โดยสัญชาตญาณ
“ข้าไม่พอใจมาก” หวังเป่าเล่อนั่งอยู่บนเก้าอี้และเอ่ยเสียงราบเรียบ
“กิจการของร้านนี้แย่เกินไป”
เมื่อหวังเป่าเล่อเอ่ยออกมา คนแคระก็หยุดเคี้ยว เจ้าอ้วนน้อยก้มหน้า พ่อครัว หันไปมองผู้จัดการร้านหญิง ส่วนใบหน้าผู้จัดการร้านหญิงก็เผยท่าทางไม่ได้รับ ความเป็นธรรม นางก้มหน้าตอบคำ
“นายท่าน สถานการณ์ช่วงสองสามวันมานี้นับว่าดีแล้ว…”
เขาไม่ได้สนใจคำพูดของผู้จัดการร้านหญิง หวังเป่าเล่อยกมือขึ้น หยิบกระเป๋า คลังเก็บออกมาโยนไว้บนโต๊ะ
“พรุ่งนี้ให้เปิดขายของสิ่งนี้” กล่าวจบ หวังเป่าเล่อก็ลุกขึ้นเดินกลับห้องพัก
หลังจากเขาเดินไปแล้ว พวกคนแคระก็มองหน้ากันแล้วเข้าไปใกล้โต๊ะทันที ก่อนจะหยิบกระเป๋าคลังเก็บขึ้นมาด้วยความสงสัย พอเปิดออกก็เห็นทันทีว่าข้างใน มีขวดขนาดเล็กอยู่หลายร้อยขวด
ในขวดทุกใบล้วนมีน้ำอยู่ครึ่งขวด
“นี่คือ…” พ่อครัวสงสัย ยกขึ้นเปิดออก หลังดมอยู่ครู่หนึ่งก็ดื่มเข้าไปหนึ่งอึก จากนั้นดวงตาพลันเบิกโพลง ชั่วพริบตาใบหน้าอัปลักษณ์ก็แย้มยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว แววตาเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม
เมื่อคนแคระและเจ้าอ้วนน้อยเห็นภาพนี้เข้าก็รีบหยิบสองขวดขึ้นดื่มโดยเร็ว ไม่นานร่างกายก็สั่นสะท้าน เผยท่าทางแบบเดียวกันออกมา จนทำให้ดวงตาของผู้จัดการร้านหญิงเปล่งประกาย นางหยิบขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง พริบตาต่อมาก็หายใจ หอบถี่ทันที
“หวานอมเปรี้ยว มีฟองอากาศเล็กน้อย ที่สำคัญที่สุดคือในนั้นมีกลิ่นอายแห่งสุข!”
นี่ก็คือ…น้ำเย็นหล่อวิญญาณ!
ที่มือของหวังเป่าเล่อในห้องพักก็มีอยู่หนึ่งขวดเช่นกัน หลังดื่มลงไปหนึ่งอึก แววตาของเขาก็มีประกายแปลกประหลาดวาบผ่าน เดิมทีเขาคิดจะทำตัวค้อมต่ำ อ เก็บงำอยู่ในเมืองปรารถนาเสียงสักหน่อย แต่เมื่อเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แห่ง ปรารถนารสแล้ว หวังเป่าเล่อก็คิดว่าการทำตัวค้อมต่ำนั้นแก้ไขปัญหาไม่ได้
หากสามารถปักหลักอยู่ในเมืองปรารถนารสและได้กฎเกณฑ์แห่งปราถรถนารสมามากกว่านี้ มันจะมีประโยชน์ต่อตัวเขามากยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงผสานกลิ่นอายแห่งกฎเกณฑ์สุขในร่างเข้าไปในน้ำเย็นหล่อวิญญาณ จนเกิดเป็นเครื่องดื่มชนิดนี้
การใช้เจ็ดอารมณ์เป็นวัตถุดิบไม่ใช่เรื่องหายากในเมืองปรารถนารส แต่นอกจากร้านค้าชั้นยอดสามถึงห้าแห่งที่สามารถจัดหาส่วนผสมที่เป็นหนึ่งในเจ็ดอารมณ์ได้ ทั้งปีแล้ว บางครั้งส่วนใหญ่ร้านค้าอื่นจะจัดหามาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ถึงอย่างไร สายเลือดของเจ็ดอารมณ์ส่วนใหญ่ล้วนซ่อนตัว หาเจอยากอย่างยิ่ง และเนื่องจากกฎเกณฑ์แห่งสุขถูกผู้ร่ำร้องแห่งปรารถนาเสียงเพ่งเล็ง หลายปีมานี้ จึงถูกทำลายไปอย่างต่อเนื่อง เหลือเพียงพวกไม่สมบูรณ์
ซึ่งแทบจะถูกทำลายจนสิ้นอยู่แล้ว ดังนั้นจึงยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่ ต่อให้บางครั้ง ถูกจับมาได้ แต่ก็ไม่เหมือนกับหวังเป่าเล่อที่อาศัยการตระหนักรู้ของตนก็สามารถ สร้างเต๋าออกมาได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด
ดังนั้น แทบจะเดาได้เลยว่าเมื่อเปิดขายน้ำเย็นหล่อวิญญาณ ร้านค้าแห่งนี้จะต้องค่อยๆ มีชื่อเสียงขึ้นแน่นอน
สิ่งนี้ทำให้ดวงตาของพวกผู้จัดการร้านหญิงกับคนแคระสว่างไสวในทันที