Skip to content
Home » Blog » A World Worth Protecting 137

A World Worth Protecting 137

บทที่ 137 โอสถแห่งความเมตตา

เกาเฉวียนทั้งเกรี้ยวกราดและโศกเศร้า หลังจากได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อเขากลับรู้สึกว่า คนที่ทำให้การสอบไม่ยุติธรรมคือหวังเป่าเล่อต่างหาก เกาเฉวียนโศกเศร้ายิ่งนัก ความรู้สึกเศร้าใจของเขาทับถมจนเขารู้สึกเหมือนร่างจะแหลกเป็นเสี่ยง       เขาพยายามจะเอ่ยปากพูด

แต่สายตาโหดเหี้ยมของหวังเป่าเล่อที่จ้องเขม็งมาทำให้เกาเฉวียนตัวสั่นไปหมด ได้แต่ปล่อยให้ความเศร้าเกาะกุมในใจ

ใครกันแน่ที่เป็นตัวร้าย เจ้าหวังเป่าเล่อนั่นแหละเลวที่สุด!

เมื่อบรรดาศิษย์จากเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองเห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาต่างก็จ้องมอง ปากอ้ากว้างค้างด้วยความตะลึง พวกเขาจ้องมองไปที่หวังเป่าเล่อราวกับว่าชายผู้นี้เป็นโอรสสวรรค์ บ้างคนถึงกับโค้งคำนับด้วยความนับถือ พวกเขาเมื่อเห็นเกาเฉวียนถูกทำร้าย ความโกรธเกรี้ยวของเหล่าศิษย์ก็ค่อยจางหายไป เกาเฉวียนไม่ค่อยเป็นที่รักในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์สักเท่าใดมาตั้งแต่แรกแล้ว

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในบรรดาศิษย์นั้นส่วนมากเป็นศิษย์ใหม่ ผู้ซึ่งรู้จักหวังเป่าเล่อจากคำบอกเล่าที่ได้ยินมา เมื่อพวกเขาได้เห็นหวังเป่าเล่อตัวเป็นๆ ก็ต่างพากัน        ตื่นตะลึง แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะขึ้นไปสู่เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงแล้ว เรื่องเล่าวีรกรรมของเขาก็ยังเป็นที่เล่าขานในเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง แทบจะสามารถเห็นภาพได้ว่าเรื่องราวของเขาจะเป็นที่กล่าวขวัญกันไปอีกนาน หวังเป่าเล่อจะต้องกลายเป็น  ตำนานของทุกๆ สาขาวิชาไปเพราะวีรกรรมนานัปการที่เขาได้ก่อเอาไว้ใน            เกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง อาจกระทั่งกล่าวได้ว่า ศิษย์ใหม่รุ่นต่อๆ ไปที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามาสู่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จะต้องได้ยินตำนานของหวังเป่าเล่อทันทีที่ก้าวเข้าสู่เกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาสอบผ่านขึ้นมาอยู่ที่         เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง พวกเขาจะต้องไปสืบค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหวังเป่าเล่อทันทีที่ทำได้

ในหัวใจของศิษย์ในเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองทุกคน หวังเป่าเล่อถือว่าเป็นตำนานที่ไร้เทียมทานจากในบรรดาศิษย์ทุกคน

เจ้าสำนักผู้ซึ่งตอนนี้ยืนอยู่ทางด้ายซ้ายของจัตุรัสกำลังปวดหัวอย่างหนัก แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะยอดเยี่ยมเพียงใด พลังในการสร้างปัญหาของเขาก็สุดยอดไม่แพ้กัน ความขัดแย้งระหว่างหวังเป่าเล่อและเกาเฉวียนนั้นฝังรากลึก และแม้หวังเป่าเล่อ     ได้ออกจากเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองมาแล้ว แต่กระนั้น เขาก็ยังกลับมาทำร้าย        เกาเฉวียนอีก เจ้าสำนักไม่รู้จะตัดสินใจเช่นไร

ขณะที่เจ้าสำนักกำลังขบคิดปัญหาอยู่นั้นเอง เสียงอ่อนหวานของโจวเสี่ยวหยาก็ดังขึ้นมา ก้องไปทั่วทั้งจัตุรัสกลาง

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ…ไม่จำเป็นต้องสอบใหม่หรอกเจ้าค่ะ อย่างไรเสียผลลัพธ์ก็จะเหมือนเดิมอยู่ดี” ขาดคำ นางก็เข้าไปข้างกายหวังเป่าเล่อ จับมือเขาแล้วส่ายหน้าอย่างแผ่วเบา

“จะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไรกัน!” หวังเป่าเล่อกำลังจะพูดต่อ พอดีกับที่ผู้อาวุโสตำหนักหลอมโอสถผู้ซึ่งตอนนี้นั่งอยู่ข้างๆ เจ้าสำนักหัวเราะขึ้นมาดังลั่น

“ชายหนุ่ม เจ้าต้องการจะสอบใหม่แน่อย่างนั้นหรือ”

หวังเป่าเล่อผู้เฝ้ามองผู้อาวุโสมาตลอดระยะเวลานี้ เมื่อได้ยินเข้าเขาก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล เขาจ้องมองโจวเสี่ยวหยาและก็หันไปมองผู้อาวุโส อันที่จริงแล้ว    หวังเป่าเล่อรู้สึกตงิดๆ ตั้งแต่เมื่อเขาเริ่มลงมือกับเกาเฉวียนแล้วไม่มีการห้ามปรามจากผู้อาวุโสแม้สักนิด

เมื่อมองเห็นสีหน้าของหวังเป่าเล่อ ผู้อาวุโสตำหนักหลอมโอสถก็ยิ้ม เขาละสายตามามองที่โจวเสี่ยวหยาแทน ด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น เขาถาม “โจวเสี่ยวหยา บอกข้าหน่อยสิ เจ้าใส่หญ้าแสงสายัณห์ลงไปในวินาทีสุดท้ายนั้นเพื่ออะไรกัน”

โจวเสี่ยวหยาสูดลมหายใจลึก โดยไม่ปล่อยมือจากหวังเป่าเล่อ นางตอบอย่างแผ่วเบา

“เพราะว่า ตามสูตรโอสถลมหายใจเมฆา ความเป็นพิษจะเพิ่มขึ้นตามระดับ  ความบริสุทธิ์ หญ้าแสงสายัณห์นั้นสามารถต้านพิษของโอสถได้ นั่นคือสาเหตุ…       ที่ข้าใส่มันลงไปเจ้าค่ะ”

เมื่อโจวเสี่ยวหยาพูด ฝูงชนรอบข้างถึงกับนิ่งงันไป แม้กระทั่งเฉินเฟยก็ยังชะงักและจ้องมองมา หวังเป่าเล่อกะพริบตาและก้มหน้าลงมองเกาเฉวียนอย่างเงียบงัน

“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าแม้หญ้าแสงสายัณห์จะต้านพิษได้ แต่มันจะไปลดทอน     ความบริสุทธิ์ของโอสถด้วย” สายตาของผู้อาวุโสแหลมคมขึ้น ราวกับว่าเขากำลังพยายามจะมองให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของโจวเสี่ยวหยา

โจวเสี่ยวหยากลัวเล็กน้อย นางบีบมือของหวังเป่าเล่อแน่นขึ้น นางกระซิบตอบ “ข้าทราบเจ้าค่ะ”

“เจ้ารู้อย่างนั้นหรือ ฉะนั้นเจ้าก็ต้องรู้ด้วยสินะว่าเกณฑ์การให้คะแนนนั้นขึ้นอยู่กับระดับความบริสุทธิ์ของโอสถลมหายใจเมฆาที่เจ้าทำได้ ทำไมเจ้าจึงยังทำ         แบบนั้นอีก เจ้าไม่ต้องการได้รับตำแหน่งศิษย์เอกอย่างนั้นหรือ” ผู้อาวุโสตำหนักหลอมโอสถพูดช้าๆ ในขณะที่แววตาของเขาก็ยังคงแหลมคมขึ้นไปอีก มีกระทั่ง     พลังกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างกายเขา แรงกดดันนี้รุนแรงเสียจนกระทั่งหวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกกลัว

โจวเสี่ยวหยาหายใจไม่ทั่วท้อง ร่างกายของนางสั่นเทิ้ม แต่นางพลันรู้สึกได้ถึงมือของหวังเป่าเล่อที่บีบมือนางแรงขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง นางจึงเงยหน้าขึ้นมองผู้อาวุโสตำหนักหลอมโอสถ สายตาของนางมั่นคงไม่สั่นคลอน นางตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานตามเดิม

“เหตุผลก็เพราะว่าเส้นทางของการหลอมโอสถนั้นเชื่อมโยงกับชีวิตผู้คน        หากข้าเองสนใจเพียงความบริสุทธิ์ของโอสถและไม่สนใจความเป็นพิษ โอสถที่ข้าหลอมก็จะไม่ใช่โอสถแห่งความเมตตาที่ใช้เพื่อรักษาความเจ็บไข้และช่วยในการฝึกตน แต่จะเป็นโอสถแห่งความเลวทรามที่ใช้เพื่อทำร้ายผู้อื่นเท่านั้น”

“แม้ว่าข้าจะพลิกแพลงและชนะรางวัลได้เพราะหลอมโอสถที่มีความบริสุทธิ์สูงได้สำเร็จ ข้าอาจหลอกผู้อื่นได้ แต่ข้าหลอกตัวเองไม่ได้เจ้าค่ะ บางอย่างนั้น หากมี      ครั้งแรกก็จะต้องทำอีกอย่างแน่นอน ข้าไม่ต้องการจะทำร้ายใคร ข้าต้องการรับผิดชอบโอสถที่ข้าหลอมขึ้น ข้าต้องการรับผิดชอบความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวเอง และข้าต้องการรับผิดชอบชีวิตผู้คนที่ใช้โอสถที่ข้าหลอมขึ้นเจ้าค่ะ!”

“โอสถของข้าอาจจะไม่บริสุทธิ์มากนัก…แต่ไม่มีพิษนะเจ้าคะ” เมื่อโจวเสี่ยวหยา     เริ่มพูด เสียงของนางแผ่วเบา แต่ตอนนี้กลับดังขึ้นตามลำดับ

นางเป็นคนขี้อายมาตลอด แต่วันนั้น ขณะที่ทุกสายตากำลังจับจ้องและหวังเป่าเล่อยืนอยู่ข้างกายนาง นางแสดงความเชื่อมั่นในหลักการ และเป้าหมายที่นางหวังจะไปให้ถึงในเส้นทางการหลอมโอสถ

ลึกลงไปในใจของนาง นางบอกตนเองว่า ข้าต้องการจะหลอมโอสถให้ศิษย์พี่เป่าเล่ออย่างนี้เรื่อยไป…

เมื่อได้ยินคำพูดของนางแล้ว ฝูงชนรอบข้างก็ตกตะลึงอีกครั้ง โดยเฉพาะ        ศิษย์สาขาหลอมโอสถที่ถึงกับพูดอะไรไม่ออก

เฉินเฟยตัวสั่นเทิ้มไปหมด เมื่อมองไปที่ใบหน้าเคร่งขรึมของผู้อาวุโสตำหนักหลอมโอสถนางก็ค่อยๆ ใคร่ครวญถึงรางวัลที่นางจะได้รับ นางคิดถึงผลดีและผลเสียที่จะเกิดกับตัวนางเองและเริ่มกังวล

หวังเป่าเล่อเองก็ตกใจมาก เขาก้มศีรษะลงมองโจวเสี่ยวหยา เขารู้สึกราวกับว่าเพิ่งเคยรู้จักนางวันนี้

บรรยากาศโดยรอบเงียบเป็นป่าช้า แม้กระทั่งรองเจ้าสำนักเกาเฉวียนก็ดูราวกับจะลืมความเจ็บปวดไป สีหน้าเขาดูยุ่งยากใจเมื่อเขามองมาที่โจวเสี่ยวหยา เจ้าสำนักนิ่งเงียบ แต่มีรอยยิ้มบางๆ ปรากฎขึ้นที่มุมปาก ชายชราจ้องมองโจวเสี่ยวหยาด้วยความชื่นชม

ผู้อาวุโสตำหนักหลอมโอสถนิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน คำพูดของโจวเสี่ยวหยาเตือนให้เขานึกถึงใครคนหนึ่ง ผ่านไปอึดใจหนึ่ง ผู้อาวุโสจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ ใบหน้าเขากลับมาใจดีอีกครั้ง เขาจ้องมองโจวเสี่ยวหยาและเอ่ยปากว่า

“เจ้าเชื่อมั่นในโอสถแห่งความเมตตา ช่างเป็นความตั้งใจที่หายากและน่าชื่นชม…โจวเสี่ยวหยา เจ้าไม่ใช่ศิษย์ธรรมดาอีกต่อไปแล้ว หากเจ้าเต็มใจ จงมาแสดงตนเป็นศิษย์เอกต่อหน้าข้าคนนี้!”

ขาดคำ ผู้ชมต่างก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก หวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน ขณะนั้นเฉินเฟยรู้สึกเหมือนโลกมืดมิดลงนางถึงกับเซ หน้าซีดขาวราวกับกระดาษ

บัดนั้นเอง ผู้อาวุโสตำหนักหลอมโอสถลุกยืนขึ้นและหัวเราะ พลางยิ้มให้         เจ้าสำนักที่นั่งอยู่ข้างกัน

“ท่านลู่ ข้าจะรับตัวสาวน้อยคนนี้ไปเป็นศิษย์เอกของข้า ท่านจะอนุญาตหรือไม่”

เจ้าสำนักกลั้วหัวเราะอยู่ในลำคอ พลางลุกขึ้นยืนเช่นกัน ชายชรารู้ฐานันดรศักดิ์ของผู้อาวุโสตรงหน้าดี เขาเป็นถึงหนึ่งในสี่ผู้อาวุโสตำหนักหลอมโอสถ ในเส้นทางสายการหลอมโอสถนั้น เขาเป็นผู้มีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วสหพันธรัฐ

คิดได้ดังนั้นแล้ว เจ้าสำนักก็หันไปมองโจวเสี่ยวหยาอย่างให้กำลังใจ “โจวเสี่ยวหยา ทักทายอาจารย์ของเจ้าเสีย!”

หวังเป่าเล่อก็เอาไหล่ดุนโจวเสี่ยวหยาอย่างสุดลิงโลดใจ เมื่อนั้นเองนางจึงขยับตัว แม้ว่านางจะตกใจอยู่ไม่น้อย นางก็ไม่ใช่คนไร้สติปัญญา นางรีบก้าวออกมาข้างหน้าและทำความเคารพผู้อาวุโสทันที

“ท่านอาจารย์ โปรดรับการคารวะจากข้าโจวเสี่ยวหยาในฐานะศิษย์เอกด้วยเถิด!”

ผู้อาวุโสตำหนักหลอมโอสถหัวเราะหึๆ เขาสะบัดข้อมือครั้งเดียวก็พาเอา         โจวเสี่ยวหยาเดินเหยียบอากาศขึ้นไปด้วยกัน มุ่งหน้าไปยังเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ เขาไม่ได้ปรายตามองเฉินเฟยแม้แต่น้อย ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องรางวัลแต่อย่างใดด้วย

ระดับการฝึกตนของผู้อาวุโสอยู่ในขั้นใดกันนะ ถึงได้เดินบนอากาศได้อย่างนั้น ฉากนี้ทำเอาหวังเป่าเล่อถึงกับต้องหรี่ตาครุ่นคิด

ฝูงชนที่ตื่นตะลึงต่างมองตามโจวเสี่ยวหยาเดินขึ้นท้องฟ้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์สาขาหลอมโอสถคนอื่นๆ ที่จ้องมองด้วยความอิจฉา เฉินเฟยนั้นถึงกับ            หน้าซีดเซียวและล้มลงไปกองกับพื้น

ขณะนั้นเอง เสียงตะโกนของโจวเสี่ยวหยาและเสียงหัวเราะของผู้อาวุโสดังลงมาจากท้องฟ้า

“หวังเป่าเล่อ ช่วยเลิกรบกวนโจวเสี่ยวหยาสักระยะหนึ่งนะ นางต้องฝึกตนอยู่อย่างสันโดษ ข้าจะฝึกให้นางได้รากฐานวิญญาณแปดนิ้ว หากเจ้าไม่ขยันล่ะก็        นางอาจจะแซงหน้าเจ้าก็ได้นะ”

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ รอข้าฝึกตนเสร็จก่อนนะ ข้าจะกลับมาหาเจ้าค่ะ…”

หวังเป่าเล่อยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขณะจ้องมองคนทั้งคู่ล่องลอยจากไป เขาดีใจกับ    โจวเสี่ยวหยาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเขากำลังจะไป เขาเห็นว่าเจ้าสำนักกำลังจ้องมองอยู่ ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาศีรษะแล้วปล่อยมือที่จิกผมเกาเฉวียนอยู่

“เจ้าได้รับการเลื่อนขั้นให้ไปอยู่ในเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงแล้ว ทำไมจึงยังหุนหันพลันแล่นเช่นนี้!” เจ้าสำนักจ้องมองหวังเป่าเล่อเขม็ง

หวังเป่าเล่ออึกอัก เขาก้มศีรษะลงมองเกาเฉวียนผู้กำลังโกรธจัด กระแอมหนึ่งครั้งแล้วจึงยกมือขึ้นตบบ่าเกาเฉวียน

“ท่านเกา ได้โปรดลดการทำชั่วลงบ้างและทำดีให้มากขึ้นนะ เข้าใจไหม

“เจ้าสำนักขอรับ ข้าเพิ่งนึกได้ว่าข้ากำลังหลอมวัตถุเวทค้างอยู่ ขอคงต้องขอตัวก่อน…”

ว่าแล้วหวังเป่าเล่อก็สะบัดร่างกระโจนขึ้นเรือบิน ออกจากสาขาหลอมโอสถอย่างรวดเร็วมุ่งหน้าไปยังเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงทันที

ฝูงชนจ้องมองเขาจากไป แล้วก็หันมองตากันอยู่ไปมา เจ้าสำนักเองก็นิ่งงันไป   เขารู้ดีว่าเป็นการเข้าใจผิด เขาก้มลงมองดูเกาเฉวียนผู้โกรธเคืองแล้วถอนหายใจ

“เกาเฉวียน เจ้า…” ชายชราอยากจะปลอบโยนเกาเฉวียนแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ในที่สุดเขาจึงหยิบโอสถขวดหนึ่งยื่นให้เกาเฉวียนแล้วเดินจากไป พลางคิดถึงการเปลี่ยนตัวรองเจ้าสำนัก

เกาเฉวียนยืนอยู่คนเดียวด้วยความเศร้าใจและเจ็บแค้น เขาอยากจะร้องไห้      แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา ความเศร้าโศกในใจเขาแพร่กระจายไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้า

ข้าถูกกลั่นแกล้ง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version