Skip to content

A World Worth Protecting 138

บทที่ 138 เจ้าเด็กใหม่ ยังอ่อนหัดนัก

หวังเป่าเล่อยืนอยู่บนเรือบินที่แล่นฉิวข้ามท้องฟ้า ลอยละลิ่วไปพร้อมสายลมเพื่อมุ่งหน้าไปยังเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง เขามีความสุขเป็นอย่างยิ่ง โจวเสี่ยวหยาไม่ได้แค่ผ่านการทดสอบเข้าเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงเท่านั้น นางยังได้เป็นศิษย์เอกของผู้อาวุโสประจำตำหนักหลอมโอสถอีกด้วย เรื่องนี้ถือว่าจบลงด้วยดีทีเดียว

หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอพลางคิดกับตนเอง ตัวข้ามีความสำคัญกับ            เรื่องทั้งหมดนี้อย่างมาก เพราะความกล้าหาญและปราศจากความกลัวต่อหน้า    ความเลวร้าย ทำให้ข้ากล้าสร้างความวุ่นวายและได้โอกาสในการลงมือกับเกาเฉวียน นับว่าได้รับชัยชนะ นอกจากนั้นยังเป็นการกรุยทางให้กระต่ายน้อยประสบความสำเร็จได้โดยง่ายอีกด้วย

เจ้าอ้วนผู้น่าหมั่นไส้นี่ไม่มีวันยอมรับว่าถึงแม้เขาไม่ได้ปรากฏตัว รอบนี้ผลลัพธ์การสอบของกระต่ายน้อยก็คงไม่เปลี่ยนแปลง ขณะนี้เขาอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง       เขาหยิบถุงขนมออกมาเคี้ยวด้วยเสียงอันดังขณะที่ขับเรือบิน

ความสามารถในการกินขนมไปพลางขับเรือบินไปพลาง…ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้!   หวังเป่าเล่อหัวเราะเสียงดัง ไม่นานนัก เรือบินก็พุ่งทะยานผ่านเมฆและมาถึง        เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง

ตู้หมินก็อยู่ในตำหนักหลอมโอสถเช่นกัน แม้ว่าข้าจะไม่ได้พบนางบ่อยนักตั้งแต่มาที่เกาะนี้ ข้าก็เชื่อว่านางจะต้องทำได้ดีแน่นอน เพราะนางเป็นคนที่เก่งวิชาหลอมโอสถมาแต่ไหนแต่ไร ไหนจะเจ้าเฉินจื่อเหิงที่อยู่ในตำหนักการยุทธ์ ที่เดียวกับจั่วอี้ฟาน…    ข้าจะต้องฝึกหนัก จะยอมให้พวกเขาแซงหน้าข้าไปไม่ได้เป็นอันขาด

คิดได้ดังนั้นแล้ว หวังเป่าเล่อจึงสูดลมหายใจเข้าลึก เขาตัดสินใจไม่กลับไปยังถ้ำที่พัก สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ยอดเขากลาง เขาจ้องมองไปทางทิศเหนือ ที่ตั้งของ     ภูเขาตำหนักอาวุธเวท

หวังเป่าเล่อได้อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับการสอบเลื่อนขั้นเป็นศิษย์เอกอาวุธเวทมาแล้วบนเครือข่ายวิญญาณ เขาเข้ารู้ดีว่าการสอบชิงตำแหน่งศิษย์เอกนั้นจะจัดขึ้นที่เทือกเขาเขตเหนือ จะมีตัวแทนจากฝ่ายกองทัพสำนักมาตรวจตราขั้นตอนการสอบของศิษย์เอกอาวุธเวทด้วย อย่างไรก็ดี หากศิษย์สามารถหลอมวัตถุเวทระดับหนึ่ง    ได้หนึ่งร้อยชิ้น ก็สามารถเลือกส่งวัตถุเวทเหล่านั้นเพื่อขอรับสถานะศิษย์เอกอาวุธเวทได้เช่นกัน

ข้าต้องการจะก้าวขึ้นเป็นศิษย์เอกอาวุธเวท จากนั้นข้าจะได้เลือกไปเข้ารับหน้าที่ในแผนกที่ต้องการได้! นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน เมื่อเขาหันเหทิศทางของเรือบินไปในทางเทือกเขาเขตเหนือ ระหว่างทางเขาบินผ่าน        ยอดเขากลาง เขาเห็นว่ากลางจัตุรัสบนยอดเขาแห่งนั้นมีกลองรบขนาดยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่ กลองนั้นมีสีแดงหม่นและดูสะดุดตาเพราะสีเหมือนสนิมที่ปกคลุมอยู่

นี่สินะคือ กลองรบที่คนพูดถึงกันบนเครือข่ายวิญญาณ

หวังเป่าเล่อจ้องมองกลองรบยักษ์อยู่ชั่วขณะหนึ่ง เขาอ่านบทความที่กล่าวถึงกลองนี้บนเครือข่ายวิญญาณมามาก กล่าวกันว่านี่เป็นกลองรบที่องครักษ์อาวุธเวทเท่านั้นจะตีได้ และจะตีเพื่อจุดหมายเดียวเท่านั้น คืออัญเชิญผู้อาวุโสออกมา!

ไม่ว่าจะมีปัญหาใดที่เกี่ยวข้องกับวัตถุเวท องครักษ์อาวุธเวทสามารถตีกลองรบเพื่อจะส่งเสียงไปอัญเชิญผู้อาวุโสมาเพื่อขอคำปรึกษาได้

อย่างไรก็ดี แม้ว่ากลองรบนี้ถูกนำออกมาตั้งไว้หลายปีแล้ว ยังไม่ค่อยมีคนตีเท่าใดนัก เพราะว่าหากไม่ใช่ปัญหาคอขาดบาดตายก็ไม่มีใครกล้าตีกลองรบไปรบกวนผู้อาวุโสสุ่มสี่สุ่มห้า นอกจากนั้นที่กลองรบก็ไม่มีไม้กลองไว้ให้ ผู้ที่ต้องการจะตีกลองรบจะต้องใช้วัตถุดิบที่ได้จากกลองรบเพื่อหลอมไม้กลองขึ้นมาเอง ไม้กลองแต่ละอันจะสามารถใช้ได้ครั้งเดียวเท่านั้นด้วย

เมื่อองครักษ์อาวุธเวทมีไม้กลองที่หลอมขึ้นด้วยตนเองเท่านั้น จึงจะสามารถ       ตีกลองรบนี้ได้

แม้ว่าวิธีการหลอมไม้กลองจะเขียนอยู่อย่างชัดเจนบริเวณด้านข้างตัวกลองรบ วิธีการหลอมนั้นก็ซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง ไม้กลองไม่นับว่าเป็นสมบัติเวท นอกจากนั้นองครักษ์อาวุธเวททุกคนมีโอกาสหลอมไม้กลองได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากล้มเหลวก็จะไม่มีสิทธิ์อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้จึงไม่ค่อยมีใครกล้าทิ้งโอกาสไปเปล่าๆ

หวังเป่าเล่อได้ข้อมูลจากเครือข่ายวิญญาณมาอีกว่า ศิษย์ที่ตีกลองรบนี้ได้มากครั้งที่สุด เคยตีไปทั้งสิ้นห้าครั้งด้วยกัน มากกว่าคนทั่วไปแบบไม่เห็นฝุ่น เพราะเหตุนั้น ผู้อาวุโสที่เขาอัญเชิญมาช่วยแก้ไขปัญหาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากผู้อาวุโสชั้นสูงแห่งตำหนักอาวุธเวท!

ผู้อาวุโสชั้นสูงทุกคนมีสถานะสูงส่งยิ่งในตำหนักของตน มีเพียงแค่ประมุขสำนักและรองประมุขสำนักเท่านั้นที่มีตำแหน่งสูงกว่า และผู้อาวุโสสูงสุดที่ดำรงตำแหน่งเหนือผู้ใด!

แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะได้ใช้เวลาในการฝึกตนอย่างสันโดษไปมากโขหลังจากที่ได้เข้ามาบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง ความเข้าใจในโครงสร้างของสำนักศึกษา             เต๋าศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็เติบโตขึ้นอย่างมากจากตอนที่อยู่ในเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง

เขารู้อยู่แล้วว่าผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็คือผู้อาวุโสสูงสุดปริศนา ไม่มีใครเคยเห็นผู้อาวุโสท่านนี้ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ แต่การมีอยู่ของเขาเปรียบได้กับสมอเรือ ที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของทุกคนในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์และกระทั่งสถานะของสหพันธรัฐโดยรวม!

ลูกน้องโดยตรงของผู้อาวุโสสูงสุดได้แก่ประมุขสำนักของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์และสามรองประมุขสำนัก รองลงมาคือตำหนักทั้งสิบและสำนักศึกษา ตำหนักทั้งสิบ    ก็คือตำหนักบนเกาะทั้งสิบของเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง ซึ่งรวมไปถึงตำหนักอาวุธเวทด้วย ส่วนสำนักศึกษานั้นหมายถึงเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองนั่นเอง!

ในแต่ละตำหนักนั้นเป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าเจ้าตำหนักเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด อย่างไรก็ดี ในความเป็นจริงแล้วนั้น ยังมีผู้อาวุโสที่อยู่เหนือเจ้าตำหนักขึ้นไปอีกนอกเหนือจากผู้อาวุโสชั้นสูงของแต่ละตำหนัก

ผู้อาวุโสเหล่านี้ไม่มีส่วนร่วมในงานบริหารตำหนัก แต่ทว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของสภาผู้อาวุโสซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจแต่งตั้งรองเจ้าตำหนักและเจ้าตำหนัก

รูปแบบลำดับชั้นนี้เป็นโครงสร้างอำนาจภายในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์         เมื่อหวังเป่าเล่อเข้าใจทั้งหมดดีแล้ว เขาจึงเข้าใจว่าจำเป็นต้องใช้เวลาก่อนจะสามารถขึ้นเป็นคนสำคัญได้ ในเวลาเดียวกัน ความปรารถนาที่จะเป็นองครักษ์อาวุธเวทของเขาก็เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ

เขาละสายตาจากกลองรบและพยายามจะข่มความคิดไม่ให้ว่อกแว่ก พลางจับบังเหียนบังคับเรือบินให้มุ่งหน้าต่อไปยังเทือกเขาเขตเหนือ ไม่นานนัก เขาก็ลอยมาอยู่เหนือหมู่เมฆที่ปกคลุมฝ่ายกองทัพสำนัก เขาเริ่มลดระดับเครื่องเพื่อลงจอด

มีศิษย์เอกเพียงไม่กี่คนเท่านั้นในบริเวณของฝ่ายกองทัพสำนัก ผู้ที่มีแววว่าจะได้เป็นศิษย์เอกอาวุธเวทมีเพียงหยิบมือเท่านั้นจากศิษย์เอกจำนวนมาก เพราะฉะนั้น หลังจากที่ผ่านขั้นตอนการลงทะเบียนแล้ว หวังเป่าเล่อก็เดินทางมาถึงเขตทดสอบพิเศษ ซึ่งเป็นจัตุรัสกว้างที่มีแท่นศิลาขนาดยักษ์จำนวนนับสิบตั้งอยู่ นอกจาก        หวังเป่าเล่อแล้ว ก็มีแค่ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงอีกคนที่นั่งนิ่งอยู่บนแท่นศิลา           เขานั่งขัดสมาธิหลับตานิ่งเพื่อเตรียมตัว ท่าทีดูจริงจังและลึกลับ

เมื่อรู้สึกได้ว่ามีคนมา ชายหนุ่มร่างผอมลืมตาและเงยหน้าขึ้น เขามองดู          หวังเป่าเล่ออย่างเงียบงัน อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อกำลังจะเริ่มทำการทดสอบโดยไม่เตรียมตัว เขาถึงกับเลิกคิ้วและหัวเราะออกมา

“เจ้าเป็นศิษย์ใหม่หรือ”

หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงเขาจึงหันหลังไปมอง

“การทดสอบศิษย์เอกอาวุธเวทเป็นจุดหมายสำคัญสำหรับบรรดาศิษย์ทุกคน ศิษย์น้องเอ๋ย ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกนะที่เจ้าไม่คิดแม้แต่จะแต่งตัวให้เรียบร้อย          แต่การไม่เตรียมตัวมาเลยนั้นแสดงถึงการขาดความเคารพต่อการทดสอบเป็น       ศิษย์เอกอาวุธเวทเป็นอย่างมาก ข้าขอแนะว่าให้เจ้ากลับมาสอบใหม่เมื่อเตรียมตัว    มาดีกว่านี้ หาไม่แล้วล่ะก็ เจ้าจะต้องสอบตกอย่างแน่นอน!” ชายหนุ่มพูดอย่างใจเย็น ราวกับว่ากำลังเล่าประสบการณ์ของตนให้ฟัง

“มันจะยากขนาดนั้นเชียวหรือ” หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งทำตัวสบายๆ มาโดยตลอด ตอนนี้ หลังจากที่ได้ยินคำพูดของชายหนุ่มร่างผอม สัญชาตญาณเขาบอกว่าชายหนุ่มนี่     ไม่ได้โกหก เขาเริ่มรู้สึกกังวลอย่างอดไม่ได้

“ในทุกๆ ปี มีแค่ศิษย์ราวสิบคนเท่านั้นที่ผ่านการทดสอบได้เป็นศิษย์เอกอาวุธเวทแห่งตำหนักอาวุธเวท ยิ่งกว่านั้น ศิษย์เหล่านั้นทุกคนต่างใช้เวลาร่วมสองปีหลังจาก      การขึ้นมาสู่เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงในการสอบให้ผ่าน เจ้าคิดว่ามันยากไหมเล่า”

“การหลอมวัตถุเวทระดับหนึ่งจำนวนร้อยชิ้นให้สำเร็จในขั้นแรกกลายเป็น     เรื่องง่ายไปเลยทีเดียว เพราะหากแค่เพียงมีเวลาใครๆ ก็สามารถทำสำเร็จได้      อย่างไรก็ดี ในการทดสอบในมิติเวท วัตถุเวทสิบชิ้นจะถูกเลือกมาแบบสุ่ม ศิษย์จะต้องแสดงการหลอมวัตถุเวทเหล่านั้นอีกครั้ง ภายในเวลาจำกัดโดยไม่มีข้อผิดพลาด       หากทำพลาดแม้แต่จุดเดียวก็จะสอบตก! แบบนี้ยากพอไหม

“ในบรรดาศิษย์ทุกคนที่ก้าวเข้ามาสู่เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงแห่งนี้ มีใครบ้างเล่า  ที่ไร้น้ำยา ศิษย์เช่นเจ้าที่คิดว่าการทดสอบเป็นเรื่องง่ายราวกับปอกกล้วยมีอยู่ดาษดื่น ตัวข้าเองทดสอบไปเก้าครั้งและดูคนทดสอบมาอีกนับไม่ถ้วน ข้าไม่เคยเห็นใคร        ทำสำเร็จเลยสักครั้งเดียว” ชายหนุ่มไม่รู้ว่าหวังเป่าเล่อเป็นใครจึงพูดจาด้วยน้ำเสียงอวดดี

หวังเป่าเล่อจ้องมองชายหนุ่มด้วยสีหน้ายากจะบรรยาย หวังเป่าเล่อคิดว่าชายหนุ่มนี่น่าเชื่อถือเพราะเขาฟังดูเหมือนมีประสบการณ์มามากเพราะได้ทดสอบมาหลายครั้ง เพราะฉะนั้น ทั้งความน่าเชื่อถือและความลังเลใจก็พากันทำให้หวังเป่าเล่อกังวล      จนสุดท้ายต้องทรุดตัวลงนั่งสมาธิเพื่อเตรียมตัวเหมือนกับชายหนุ่มร่างผอม

เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อเป็นคนที่ยอมรับฟังคำแนะนำ ชายหนุ่มหัวเราะอย่างอิ่มใจ ดูราวกับว่าเขามองเห็นเงาแห่งความผิดพลาดของตัวเองในหวังเป่าเล่อ หลังจากนั้น     ครู่หนึ่ง เมื่อเขาเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย เขายกมือขวาขึ้นและหยิบเอาวัตถุเวทชิ้นหนึ่งออกมาแล้วส่งมันเข้าไปในแท่นศิลา

หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นเข้าพอดีและหยิบวัตถุเวทออกมาเช่นกัน เขาส่งวัตถุเวทของเขาตามเข้าไปติดๆ

“กระบี่เมฆาเยือกแข็งอย่างนั้นหรือ” หลังจากที่สังเกตเห็นวัตถุเวทที่หวังเป่าเล่อหยิบออกมา ชายหนุ่มก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ เขาจ้องมองหวังเป่าเล่ออีกหลายครั้งก่อนจะหันไปหยิบเอาวัตถุเวทอีกชิ้นขึ้นมาโยนเข้าไปในแท่นศิลา หวังเป่าเล่อทำตามและหยิบวัตถุเวทขึ้นมาอีก

“โล่หมอกวิญญาณรึ” ชายหนุ่มจ้องมองตาแทบถลน กระบี่เมฆาเยือกแข็งเป็นหนึ่งในวัตถุเวทระดับหนึ่งที่หลอมยากที่สุด เขาตกตะลึงตั้งแต่ได้เห็นวัตถุเวทชิ้นแรก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ทว่าเมื่อหวังเป่าเล่อหยิบเอาวัตถุเวทที่หลอมยากเป็น    อย่างยิ่งออกมาอีกชิ้น ชายหนุ่มถึงกับตะลึงงันไป ชายหนุ่มร่างผอมรู้สึกไม่พอใจและถอนหายใจอยู่เงียบๆ

เจ้านี่คิดจะโอ้อวดหรืออย่างไร วางแผนจะแข่งกับข้าอย่างนั้นหรือ เจ้าเด็กใหม่    ยังอ่อนหัดนัก แม้ว่าข้าจะล้มเหลวมาหลายครั้ง แต่ในความเป็นจริง ความล้มเหลวนั้นก็ถือเป็นแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่และการเรียนรู้สำหรับข้า หากไม่มีความล้มเหลวเหล่านั้นแล้วล่ะก็ ข้าก็คงไม่ได้มาเป็นตัวข้าในวันนี้!”

ชายหนุ่มหรี่ตามอง ด้วยความริษยา เขาจึงสะบัดแขนเสื้อและหยิบเอาวัตถุเวทอีก   เก้าสิบแปดชิ้นออกมา มีราวๆ เก้าชิ้นที่มีระดับความยากเทียบเท่าโล่หมอกวิญญาณ ด้วยความกระหยิ่มใจ เขามองหวังเป่าเล่อด้วยหางตา แต่วินาทีนั้นสติเขาก็สั่นสะเทือนไปหมดด้วยเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้า

หวังเป่าเล่อทำตามชายหนุ่มร่างผอมโดยการหยิบเอาวัตถุเวทของเขาเองอีก     เก้าสิบแปดชิ้นออกมา ทั้งหมดเป็นระดับเดียวกันกับโล่หมอกวิญญาณ วัตถุเวททั้งหมดรวมกันส่องแสงจ้าราวกับดวงตะวัน ความน่าดึงดูดของทุกชิ้นทำให้ชายหนุ่มร่างซูบนัยน์ตาแทบถลนออกมาจากเบ้า เขาเริ่มสบถหยาบคายแบบไม่ออกเสียงด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองใจ

ไอ้บัดซบนี่มันมาเข้าร่วมการทดสอบเพื่อจะอวดเบ่งหรืออย่างไร สวรรค์ มันจะเอาวัตถุเวทหลอมยากๆ มาใช้ในการทดสอบศิษย์เอกอาวุธเวททำไมกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version