บทที่ 151 ศิษย์แห่งเต๋า จงฟังข้า!
ขณะที่ศิษย์ที่รับชมอยู่บนเกาะกำลังทุ่มเถียงกันอย่างดุเดือดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ชายร่างกำยำจากตำหนักการยุทธ์ ที่เป็นคู่ต่อสู้ของลู่จื่อหาว ก็ยอมจำนนต่อความ พ่ายแพ้ด้วยความหดหู่ใจ เขาคิดมาถี่ถ้วนดีแล้วว่าถึงอย่างไรก็คงไม่มีทางคว้าชัย ไปครองได้แน่ เนื่องจากแค่ต่อกรกับลู่จื่อหาวก็ยากเกินความสามารถของตนไป มากแล้ว ดูไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่เขาจะโค่นชายหนุ่มผู้นั้นลงได้
ไม่ต้องพูดถึงวัตถุเวทแสนประหลาดของหวังเป่าเล่อ ที่ทำให้ขมับเขาเต้นตุบๆ เมื่อได้เห็นคู่หูของตนถูกมัดมือไว้ด้านหลังจนทำอะไรไม่ได้ ชายร่างใหญ่ผู้นั้นก็ได้แค่ฝืนยิ้ม และยอมรับความพ่ายแพ้ไปแต่โดยดี
ผู้ชมบนอัฒจันทร์หลายคนมีสีหน้าสนอกสนใจวัตถุเวทสีเหลืองน่าเกลียดอันนี้ แม้ทุกคนที่นั่งอยู่ที่แห่งนั้นจะโชกโชนด้วยประสบการณ์ แต่ลักษณะเฉพาะตัวที่ ไม่เหมือนใครของวัตถุเวทนี้ ช่างแตกต่างจนน่าสนใจพอตัวเลยทีเดียว
ผู้อาวุโสจากตำหนักการยุทธ์กลับเป็นคนเดียวที่กำลังเดือดปุดด้วยความโกรธ เพราะชื่อเสียงของการประลองอันแสนยิ่งใหญ่ของตำหนักการยุทธ์ บัดนี้ถูกทำลายลงอย่างป่นปี้ด้วยน้ำมือของหวังเป่าเล่อ
หากเป็นศิษย์คนอื่นกระทำการน่าเกลียดเช่นนี้ คงต้องถูกลงโทษอย่างสาสม แต่หวังเป่าเล่อเป็นศิษย์คนโปรดของผู้อาวุโสจากตำหนักอาวุธเวท แถมยังเคยทำความดีความชอบให้สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อย่างมากมาย ประการแรกนี้แน่นอนว่าท่านมองข้ามไม่ได้เป็นอันขาด ส่วนประการหลังก็เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้หวังเป่าเล่อขึ้นแท่นกลายเป็นคนโปรดของหลายต่อหลายคน
หลังจากผู้อาวุโสจากตำหนักการยุทธ์แสดงความไม่พอใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หวังเป่าเล่อก็ได้รับบทลงโทษขนานเบา เป็นเสียงเตือนที่ดังก้องออกมาจากอัฒจันทร์ฝั่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์
“หวังเป่าเล่อ ศิษย์จากตำหนักอาวุธเวท จงมุ่งมั่นทำหน้าที่ในฐานะผู้ช่วยเสีย! หยุดพยายามโฆษณาขายวัตถุเวทของเจ้าต่อหน้าสาธารณชนได้แล้ว!”
คำเตือนนี้ดังกึกก้องไปทั่วทุกสารทิศ จนทุกคนในสนามประลองได้ยินโดยทั่วกัน ศิษย์หลายคนที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดก็ได้ยินคำประกาศนี้เช่นกัน ต่างพากันทำหน้าประหลาดใจ หลายคนที่เห็นพลุที่สว่างไสวอยู่บนฟ้าเมื่อก่อนหน้า ก็พอปะติดปะต่ออะไรขึ้นมาได้
ทุกคนบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงได้ยินคำประกาศก้องนั้น บรรดาพวกที่ตั้งมั่นว่าจะเดินตามรอยเท้าของหวังเป่าเล่อในการประลองครั้งต่อไป ก็รีบพับโครงการเก็บเข้ากระเป๋าทันที
หวังเป่าเล่อหน้าสลด ความยินดีปรีดาเมื่อก่อนหน้าเหือดหายไปหมดสิ้นเมื่อได้ยินคำเตือนนั้น เขาทราบดีว่าตนเปิดท้ายขายของไม่ได้อีกต่อไป ชายหนุ่มได้แต่ทำหน้าหงอยด้วยความผิดหวัง
“น่าเสียดายเป็นบ้า…ข้าหมดสิทธิ์ใช้โอกาสทองนี้ขายของแล้วสินะ…” หวังเป่าเล่อตาละห้อย ความขุ่นเคืองเริ่มปะทุขึ้นมาในจิตใจ เขาไม่ได้โกงหรือแทรกแซงการประลองเลยแม้แต่น้อย แล้วเหตุใดจึงถูกห้ามไม่ให้โฆษณาขายวัตถุเวทเสียได้
ลู่จื่อหาวที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าหากตน เข้าร่วมการประลองนี้ ชื่อเสียงของตนจะเลื่องลือกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วเกาะ แต่หวังเป่าเล่อก็มาแย่งบทเด่นไปจากเขาถึงสองครั้งสองคราด้วยกัน คิดได้ดังนี้ ชายหนุ่มก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอันมาก
เมื่อเห็นว่าสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ได้สั่งห้ามไม่ให้หวังเป่าเล่อเปิดท้ายขายของอีก ลู่จื่อหาวก็รู้สึกว่าทางสำนักตัดสินใจได้ถูกต้องที่สุดแล้ว ถึงความโกรธจะยังคงคุกรุ่นอยู่ในใจ แต่เมื่อเห็นสีหน้าอมทุกข์ของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็หันไปมองทางอื่นพลางพ่นลมออกมาทางจมูก
“ช่างไม่ยุติธรรมเลย! หวังเป่าเล่อ ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะคัดค้านให้ถึงที่สุด! สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จงใจขัดขาเจ้าเห็นๆ ถ้าให้ข้าแนะนำ ข้าว่าเจ้าควรไปท้าดวลกับทางสำนักให้มันรู้ดำรู้แดงไปเสีย ถึงอย่างไรพวกนั้นก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเจ้าไม่ได้ทำผิดกฎอะไรนี่ แล้วเจ้ายังทำคุณงามความดีให้กับสำนักมากมายอีก!” ลู่จื่อหาวกระซิบยุหวังเป่าเล่อ เขาอยากให้หวังเป่าเล่อไปวางมวยกับสำนักศึกษาเข้าจริงๆ
แต่ลู่จื่อหาวนั้นช่างแสนอ่อนด้อยประสบการณ์ในการปลุกปั่นราวกับเด็กอมมือ หวังเป่าเล่อมองเขาด้วยหางตาเมื่อได้ยินคำยุยง
“เจ้าทนไม่ไหวเช่นนั้นหรือ ก็ไปประท้วงเสียเองสิ! เอาเลยสิ กลัวอะไร ลูกชายที่รักของข้า! บิดาเจ้าคนนี้จะช่วยจุดพลุให้ชาวบ้านชาวช่องหันมาดูเจ้าท้าตีกับ สำนักศึกษาเอง! ถ้าเจ้าล้มผู้อาวุโสได้ เจ้าจะลาออกจากการเป็นลูกน้อยของข้าก็ ย่อมได้ ข้าจะไม่ว่าสักคำเดียว!” หวังเป่าเล่อเอ่ย พลางยกมือขึ้นหยิบถังใบเล็กออกมา
“ไอ้งูพิษเอ๊ย อยู่กับเจ้ามีแต่ขายหน้ากับขายหน้า!” ลู่จื่อหาวแผดเสียงด้วยความโกรธ เขาตกใจเมื่อเห็นถังใบจ้อยในมือของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มเลือดร้อนพ่นลมเยาะย้อยเป็นพิธี ก่อนจะถอยหนี เร่งฝีเท้าไปที่จุดตัดที่สาม
“อ้าว ถ้าเจ้ากล้าหาญนักทำไมไม่ทำให้ข้าดูเป็นบุญตาหน่อยเล่า! หยุดยุแยงตะแคงรั่วได้แล้ว!” หวังเป่าเล่อย้อน พลางกลอกตาด้วยความรำคาญใจ ชายหนุ่มเดินไปข้างหน้าด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เมื่อลู่จื่อหาวได้ยินเข้าก็หันกลับมาหาเขาด้วยสีหน้าถมึงทึง
“หวังเป่าเล่อ ฟังให้ดีนะ สองครั้งแรกข้าจะยอมมองผ่านไป แต่หากมีครั้งที่สามอีกล่ะก็…ถ้าเจ้ายังหน้าด้านหน้าทนมาแย่งบทเด่นไปจากข้าอีก ข้าจะอัดเจ้าให้มันน่วมตรงนี้เลย! ไม่ได้พูดเล่น เข้าใจหรือไม่!” ลู่จื่อหาวพูดด้วยเสียงคำรามต่ำ ดวงตาแดงก่ำเป็นสีเลือด
“คราวนี้ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเอาอะไรมาล่อข้า! หยุดพยายามติดสินบนข้าได้แล้ว ข้าลู่จื่อหาวคนนี้ คือ ชายที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมอันสูงส่ง และนี่คือ ก็การประลองของข้า!” ลู่จื่อหาวประกาศก้อง เขาปรายตามองหวังเป่าเล่อ ก่อนจะหมุนตัวกลับและออกวิ่งต่อไปยังจุดตัดที่สาม
“เจ้าจะมาทำเป็นร้อนตัวบ้าบอทำไมกัน สำนักไม่ให้ข้าโฆษณาขายของแล้ว ไม่ต้องห่วงเลย ข้าจะไม่เปิดฉากสู้กับใครแน่นอน!” หวังเป่าเล่อพูดพลางโบกมือไปมาหยอยๆ ในใจยังเต็มไปด้วยความผิดหวังที่ตนขายของไม่ได้อีกต่อไป จึงพาลขี้เกียจ เปิดฉากต่อสู้กับใครไปด้วย
ทั้งสองคนมุ่งหน้าเข้าใกล้จุดตัดที่สามขึ้นทุกที จนเห็นร่างสองร่างยืนเด่นรอ พวกเขาอยู่ที่ปลายทาง
ร่างหนึ่งตัวเล็ก อีกร่างตัวสูงใหญ่ ทั้งสองมีสีหน้าสงบนิ่ง แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา เมื่อพวกเขาเห็นหวังเป่าเล่อและลู่จื่อหาวมุ่งหน้าเข้ามาใกล้ สายตาของทั้งสองก็แข็งกร้าวขึ้น หวังเป่าเล่อและลู่จื่อหาวไม่ได้พุ่งไปเปิดฉากโจมตีแต่อย่างใด พวกเขาแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าใครคือ ผู้เข้าแข่งขันจากตำหนักการยุทธ์ ใครคือผู้ช่วย
เมื่อลู่จื่อหาวเห็นคู่ต่อสู้ทั้งสองที่ปลายทาง ดวงตาของเขาก็เป็นประกายวาบ แม้หวังเป่าเล่อจะสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าจะไม่ทำอะไรอีก แต่ลู่จื่อหาวก็ แอบไม่ไว้ใจ กลัวชายร่างอ้วนจะขโมยความสนใจไปจากเขาอีก ชายหนุ่มจึงรีบพุ่งตรงเข้าไปหาคู่ต่อสู้ด้วยเสียงคำรามในทันที
เมื่อเห็นความกระตือรือร้นของลู่จื่อหาว หวังเป่าเล่อก็หยุดเดิน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในเสี้ยววินาที ชายหนุ่มสังเกตเห็นแล้วว่ามีอะไรผิดปกติในร่างสองร่างที่ยืนอยู่ตรงนั้น
“หยุดก่อน!”
ยิ่งได้ยินเสียงประท้วงจากหวังเป่าเล่อ ลู่จื่อหาวก็ยิ่งเพิ่มความเร็วขึ้นราวกับมีคนวิ่งไล่เหยียบหางเขาอย่างไรอย่างนั้น ชายหนุ่มเลือดร้อนคำรามเสียงดังขณะพุ่งเข้าใส่ศัตรู
ทว่าไม่ทันเสียแล้ว ทันทีที่หวังเป่าเล่อร้องห้าม สายตาของคู่ต่อสู้ทั้งสองก็สว่างวาบ หนึ่งในนั้นหยิบเอาเข็มทิศออกมาและส่องลงไปที่พื้น ก่อนกดปุ่มด้วยความเร็วฉับพลัน ทันใดนั้นพายุหมุนก็บังเกิดขึ้นและหมุนวนด้วยความเร็วกำลังสูงจนกลายเป็นเหมือนกรงขัง พายุนั้นพุ่งเข้าใส่ลู่จื่อหาวในทันที
“บัดซบเอ๊ย!” ลู่จื่อหาวร้องออกมาด้วยอารมณ์ปั่นป่วน ดวงตาเต็มไปด้วย ความเสียใจในการตัดสินใจผิดพลาดของตน เสียงตะโกนของเขาดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่ก็หลบไม่ทันเสียแล้ว ลู่จื่อหาวติดกับเป็นที่เรียบร้อย หากมองจากระยะไกล ดูราวกับว่าเขาติดอยู่ในก้อนพายุหมุนขนาดยักษ์ ที่พัดกรรโชกแรงจนตัดขาดเขาออกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แม้แต่เสียงร้องตะโกนก็เบาลงจนแทบไม่ได้ยิน
“วงแหวนปราณอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อถามด้วยสีหน้าแปลกประหลาด เขาอดรู้สึกแย่ลึกๆ ในใจแทนลู่จื่อหาวไม่ได้ และเข้าใจดีว่าลู่จื่อหาวต้องการที่จะพิสูจน์ตนเองมาก จนตัดสินใจบุ่มบ่ามเข้าไปติดกับดักวงแหวนปราณเข้าเสียได้
“เจ้าเด็กดวงกุดนี่ เหตุใดถึงบุ่มบ่ามขนาดนั้น ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าจะไม่ทำอะไร ดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นทีนี้…” หวังเป่าเล่อถอนหายใจ เขากะพริบตาปริบมองคู่ต่อสู้สองคนที่กำลังเดินดุ่มๆ มาทางเขาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแผนการของสองคนนี้คือ กำจัดผู้ช่วยให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยหันไปจัดการผู้เข้าแข่งขัน
เมื่อเห็นทั้งสองคนนั้นกำลังมุ่งตรงมาทางเขา หวังเป่าเล่อก็ตาวาววับขึ้น เขาเข้าใจในบัดดลว่าโอกาสทองของเขาได้มาถึงแล้ว แม้เขาจะโฆษณาขายของไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้มีใครห้ามไม่ให้จุดพลุเสียหน่อย แล้วจริงๆ แล้วเจ้าถังพลุนี่ก็ถือเป็นวัตถุเวทเหมือนกัน…
ขณะที่คู่ต่อสู้กำลังพุ่งเข้ามาใกล้ หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้น ทันใดนั้นถังไม้ใบเล็กก็พุ่งขึ้นบนฟ้า และระเบิดออกมาเสียงดังตู้ม ประกายแสงสีสดสวยก็พวยพุ่งไปทั่วท้องฟ้า!
เมื่อพลุระเบิดออกมาอีกรอบหนึ่ง ทุกคนบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองตามแสงสีเสียงตรงหน้า
คู่ต่อสู้ทั้งสองดูตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาถึงตัวหวังเป่าเล่อ ดวงตาของชายหนุ่มก็ทอประกายอีกครั้ง คราวนี้เขาวาดมือขวาขึ้น กระบี่เหาะเหินเยือกแข็งสามเล่มพุ่งออกมาจากกำไลคลังเวท
“ศิษย์แห่งเต๋าทั้งสอง จงฟังข้า! พลุระเบิดนั่นเป็นวัตถุเวทระดับหนึ่งของข้าเอง แต่ที่อยู่ในมือข้าตอนนี้คือ วัตถุเวทระดับสองคุณภาพเยี่ยม! กระบี่สามเล่มนี้แข็งแกร่งหาตัวจับยาก และที่พิเศษยิ่งขึ้นไปอีกคือ ศิลาวิญญาณรุ้งที่ข้าใช้เป็นแก่นในการหลอม ทำให้มันกลายเป็นอาวุธที่มีพลังทำลายล้างทะลุทะลวงน่าเกรงขาม!” หวังเป่าเล่อประกาศก้อง ทันทีที่กระบี่สามเล่มนั้นเผยโฉมหน้าสู่สาธารณชน ไอเย็นเยียบก็แผ่ตามออกมาด้วย กระบี่เหาะเหินสามเล่มพุ่งตรงไปที่คู่ต่อสู้ทั้งสองทันที
กระบี่สามเล่มนั้นพุ่งไปด้วยความไวแสง จนราวกับว่าบรรยากาศรอบตัวถูก ตัดขาดสะบั้น ทำเอาคู่ต่อสู้ทั้งสองถึงกับหน้าถอดสี พวกเขาพยายามสกัดกั้นไม่ให้กระบี่เดินทางมาถึงตนได้ แต่ขณะที่กำลังวุ่นวายกับการป้องกันตัวนั้น หวังเป่าเล่อก็หยิบผนึกมือออกมาสามอัน
“ศิษย์แห่งเต๋าทั้งสอง จงฟังข้า! นี่คือ วัตถุเวทระดับสองคุณภาพเยี่ยมอีก อย่างหนึ่งของข้า นามว่าผนึกภูผา ผนึกนี้เรียกลมพายุรุนแรงได้ และมีอักขระแข็งแกร่งสลักอยู่ที่แก่น อักขระนี้ทำให้พายุที่พัดไปที่คู่ต่อสู้รุนแรงราวกับกำลังบดขยี้ด้วยภูเขาอย่างไรอย่างนั้น!”
“ศิษย์แห่งเต๋าทั้งสอง จงระวังวัตถุเวทของข้าให้ดี นี่คือพันธนาการสวรรค์! เจ้าเชือกนี่สามารถรัดหรือคลายได้ด้วยตัวเอง และยังมีอักขระเผาไหม้ที่ทรงพลังสลักอยู่ด้วย!”
“ศิษย์ร่วมสำนักทั้งสอง…นี่คือ คทาทำลายล้าง! แม้แต่หินผายังต้องแหลกเป็นผุยผงเมื่อเจอกับคทานี้เข้าให้ อย่าไปแตะโดนเชียว เพราะมันจะระเบิดใส่หน้าพวกเจ้าแน่นอน!”
“นี่คือ แส้ผ่านภา! เมื่อมันระเบิดออก เลือดจะแดงฉานไปทั่วฟ้า!”
“นี่คือ คันฉ่องสะกดวิญญาณ…เมื่อเจ้ามองมัน วิญญาณของพวกเจ้าจะถูกดูดเข้าไปในกระจกนี้!”
หวังเป่าเล่อพูดไปเรื่อยๆ พลางหยิบเอาวัตถุเวทชิ้นแล้วชิ้นเล่าออกมาตาม คำบรรยาย จนกระทั่งทั่วลานเต็มไปด้วยวัตถุเวทกองอยู่ละลานตา วัตถุเวทปลิวแหวกอากาศไปใส่คู่ต่อสู้ของเขาราวคลื่นยักษ์ที่ถาโถม
ทั้งบริเวณกระจัดกระจายไปด้วยวัตถุเวทหลากสีหนาแน่นจนแทบมองไม่เห็นพื้นดิน วัตถุเวททุกชิ้นบนพื้นดูแปลกแตกต่างกันไป และคำบรรยายสรรพคุณอันชวนขนพองสยองเกล้าของหวังเป่าเล่อ ทำให้ทั้งสองถูกตรึงอยู่กับที่ด้วยความตื่นตะลึง
“หมอนี่พยายามทำอะไรน่ะ ประหลาดเป็นบ้า มันบรรยายคุณสมบัติเสียละเอียดเลย!”
“บ้าบอชะมัด ทำไมมันถึงได้มีวัตถุเวทเยอะขนาดนี้!”
ทั้งสองมีสีหน้าโกรธเคืองปนทุกข์ใจ พวกเขาอยากโต้กลับแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะหวังเป่าเล่อโยนวัตถุเวทออกมาเยอะแยะไปหมดจนแทบไม่เหลือที่ให้เดิน คุณสมบัติทำลายล้างของแต่ละอันก็ทำให้พวกเขาขนลุกขนพอง แถมวัตถุเวทพวกนี้ ยังเคลื่อนที่เร็วมากอีกต่างหาก
ทุกคนบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงและบนอัฒจันทร์สีหน้าเจื่อนเกินหยั่งรู้ เมื่อมองภาพคู่หูคู่ปรับของหวังเป่าเล่อ…จมกองวัตถุเวทหายไป