Skip to content
Home » Blog » A World Worth Protecting 157

A World Worth Protecting 157

บทที่ 157 ระเบิดโลหิตวิญญาณ

ชายหัวโล้นนิ่งอึ้งหมดซึ่งคำพูด ทำได้เพียงตัวแข็งนิ่งอยู่กับที่ เขาทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ดวงตาว่างเปล่าพลางพูดพึมพำเสียงแผ่วกับตนเอง “หมอนั่น…มันกินอาวุธมายาของข้าเข้าไปเช่นนั้นหรือ”

“ใช่สิ ข้ากินเข้าไปเมื่อครู่นี้อย่างไรเล่า ถ้าไม่แน่ใจลองดูก็ได้นะว่าจริงหรือไม่” หวังเป่าเล่อพูด เขาอ้าปากกว้างเพื่อพิสูจน์ให้ชายหัวโล้นเห็นว่ากินเข้าไปจริงๆ

แม้แต่ลู่จื่อหาวที่ตั้งใจติดตามการต่อสู้อย่างไม่กะพริบตา ยังมีสีหน้าประหลาดเมื่อเห็นดังนั้น เขามองหน้าชายหัวโล้นและต่อด้วยหวังเป่าเล่อ แม้เขาจะไม่ชอบ    ชายหัวโล้นเพียงใด แต่ก็อดสาปส่งหวังเป่าเล่อไม่ได้

“ไอ้เวรนี่ ทำตัวถ่อยสถุลนัก! ตกลงมันเรียนสาขาอะไรกันแน่ ตำหนักอาวุธเวทหรือตำหนักคนตะกละ ไม่กลัวตายหรืออย่างไรกัน”

ขณะที่ลู่จื่อหาวพึมพำด่าอยู่นั้น ชายในชุดเกราะม่วงก็พลันตกตะลึงหวาดกลัว เมื่อเห็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อกระทำ

ชายหัวโล้นตกใจจนแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง เขาทำใจยอมรับไม่ได้เด็ดขาด เขามองปากที่อ้ากว้างของหวังเป่าเล่อและเริ่มตัวสั่น

“เจ้า…เจ้ากินเข้าไปจริงด้วย” ชายหนุ่มพึมพำพลางหายใจหอบถี่ ดูเหมือนว่า   เขาจะค่อยๆ ทำใจยอมรับได้ แม้ในสมองจะยังสับสนตีกันยุ่ง

ในสมองของชายหนุ่มยุ่งเหยิงเหมือนมีสายฟ้านับพันกำลังระเบิดอย่างต่อเนื่องราวประทัด ระเบิดเหล่านั้นทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สะท้านไปทั้งจิตใจและวิญญาณจนทำให้เขาตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ชายหัวโล้นเงยหน้าขึ้นในฉับพลันและตะโกนออกมา ดวงตาเป็นสีแดงฉานด้วยเส้นเลือดเข้ม

“หวังเป่าเล่อ!” เขาตะโกนขึ้นไปบนฟ้า สีหน้าเสียสติไปแล้วโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มหายใจถี่ ความรู้สึกบ้าคลั่งและความไร้สาระของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้เส้นเลือดของเขาปูดโปนเหมือนจะแตกออก ชายหนุ่มกระอักเลือดด้วยความเคียดแค้น

“เจ้า…เจ้ากินมันเข้าไปจริงๆ ด้วย” ชายหนุ่มตะโกนโหยหวน เขาอยากจะฆ่า  หวังเป่าเล่อเสียเพื่อให้หายแค้น แต่ความตกใจทำให้ดวงตาพร่ามัว จนถึงกับสะดุดถอยหลังไปสองสามก้าว โลกของเขาหมุนจนทำให้เวียนหัว

โชคดีที่ชายในชุดเกราะม่วงจับตัวเขาไว้ได้ทันจึงไม่ล้มลงฟาดพื้น ดวงตาของ   ชายหัวโล้นกลายเป็นสีแดงฉานเมื่อจ้องไปที่หวังเป่าเล่อ หากสายตาใช้เป็นอาวุธได้ หวังเป่าเล่อเองคงไม่ต่างจากฟองน้ำที่โดนแทงเป็นรูพรุน เลือดไหลกระฉูดเหมือน    ถังรั่วจนตายไปแล้ว

“หวังเป่าเล่อ คายมันออกมาเดี๋ยวนี้นะ อาวุธมายาของข้า มันเป็นของข้า…       ข้าสร้างมันมากับมือด้วยหยาดเหงื่อและสายเลือด เจ้ากินมันเข้าไปได้อย่างไรกัน”    เขากรีดร้อง มือเกาะชายชุดม่วงเพื่อพยุงตัวไว้ แต่แทบจะยืนไม่ไหว เขารู้สึกสิ้นหวังจนต้องร้องไห้ตีอกชกหัวตนเอง

เมื่อเห็นชายหัวโล้นมีที่ท่าเกินจริงเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็ถอยหนีไปสองสามก้าว  ตามสัญชาตญาณ เขากะพริบตาปริบๆ แล้วกระแอมไอ รู้สึกราวกับว่าตนเองรังแกชายหัวโล้นจนร้องไห้ เขาวาดมือเพื่อเรียกเอาเกราะระฆังทองคำออกมา โยนไปให้ชายหัวโล้นพร้อมเอ่ยว่า “แค่หยดน้ำเอง ข้าขอแลกด้วยเจ้านี่แล้วกัน”

“เจ้าตั้งใจหยามให้ข้าอับอายหรือ นี่มันบ้าอะไรกัน ข้าใช้โลหิตวิญญาณหลอมอาวุธมายานั่นขึ้นมา โลหิตวิญญาณเชียวนะ เจ้าเข้าใจความยิ่งใหญ่ของมันหรือไม่” เสียงตะโกนของชายหนุ่มดังขึ้นกว่าเดิม เขาปัดเกราะระฆังทองคำออกไปให้พ้นตัว

“เจ้าพยายามจะต้มหรือข่มขู่เอาเงินข้าเช่นนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อมองหน้าคู่ต่อสู้ตน แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนกะทันหัน ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าหยดน้ำในตัวเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าประหลาด

เหตุที่ทำให้หวังเป่าเล่อกล้ากินมันเข้าไปนั้น เป็นเพราะเขาหลอมมันขึ้นมาจากความว่างเปล่าและเปลี่ยนให้เป็นแก่นวิญญาณด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังมีผนึกของเขาผสมรวมอยู่ในนั้นด้วย ชายหนุ่มจึงคิดว่าเลือดของเขาคงผสมเข้ากับหยดน้ำนี้ได้       ไม่น่ามีปัญหาอะไร

ดังนั้นเขาจึงกลืนมันลงท้องไปเสีย ในตอนแรกท้องไส้เขาไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่ตอนนี้กลับมีก้อนโลหิตไหลออกมาจากหยดน้ำนั้น!

ก้อนโลหิตนั้นเป็นสิ่งเดียวกันกับที่หวังเป่าเล่อเห็นขณะที่โดนขังอยู่ในโลกมายาแห่งหยดน้ำ ทันทีที่มันปรากฏขึ้น ก็แผ่มวลพลังวิญญาณออกมาทวีความเข้มข้นขึ้นอย่างรวดเร็ว มันพยายามห่อหุ้มตนเองรอบหยดน้ำนั้น และตะกายหนีออกจาก      ร่างของหวังเป่าเล่อ

ในตอนนั้นเอง ชายหัวโล้นที่กำลังโกรธเกรี้ยวอยู่ก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไป นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ

“มันยังอยู่!” เขาพูดและนั่งขัดสมาธิลงในทันที เขาปลุกผนึกมือและเล็งไปที่     คิ้วของตนเอง ร่างของชายหัวโล้นสั่นเทา คาถาเวทที่ไม่มีใครรู้จักทำให้ก้อนโลหิตนั้นขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อเริ่มตกใจกลัวและอยากคายหยดน้ำนั้น      ออกเสีย

ทันใดนั้น วังวนของเมล็ดแห่งการดูดกลืนที่จุดตันเถียนในตัวของหวังเป่าเล่อก็เริ่มหมุนวน แรงดูดมหาศาลทะลักออกมาจากกายเขา และหายวับไปอย่างรวดเร็ว

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในฉับพลัน แรงดึงดูดนั้นกวาดเอาก้อนโลหิตให้อันตรธานหายไปในบัดดล

ก้อนโลหิตนั้นถูกคว้าเอาไว้ด้วยมือที่มองไม่เห็น จะต่อต้านอย่างไรก็ไร้ผล มันหายเข้าไปในเมล็ดแห่งการดูดกลืน ราวกับโดนบนขยี้กลายเป็นธุลีก่อนขย้อนเข้าไป

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เมล็ดแห่งการดูดกลืนของหวังเป่าเล่อจัดการกับ        ก้อนโลหิตนั้นก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรเสียอีก ส่วนหยดน้ำก็ถูกปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น ราวกับเมล็ดของเขารังเกียจมันเสียยิ่งกว่าอะไรดี

หวังเป่าเล่อตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เมล็ดแห่งการดูดกลืนของเขาเขมือบก้อนโลหิตก้อนนั้นเข้าไป แล้วย่อยสลายมันเสียเสร็จสรรพ พลังปราณเข้มข้นรุนแรงพลันระเบิดออกมาจากจุดตันเถียนของเขา!

พลังปราณนั้นแก่กล้าและเข้มข้นอย่างยิ่งยวด ทรงพลังกว่าพลังปราณทั้งหมดที่หวังเป่าเล่อเคยดูดเข้าร่างกาย หลังจากที่เมล็ดแห่งการดูดกลืนระเบิดออก           พลังปราณก็ไหลหลากออกจากร่างของเขาราวหิมะถล่ม!

พลังปราณแก่กล้านั้นกระจายตัวแทรกซึมไปทั่วร่าง ราวลูกโป่งที่โป่งพองออกอย่างรวดเร็วต่อเนื่องไม่หยุด เมื่อหวังเป่าเล่อมองเห็นร่างกายของตนที่ดูเหมือนจะแตกออก เขาก็ร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง

“เกิดอะไรขึ้นกันนี่ อย่าสิ ข้าตั้งตัวไม่ทัน!” หวังเป่าเล่อกลั้นหายใจและใช้เคล็ดวิชาเมฆาศักดิ์สิทธิ์ เพื่อดูดซับพลังปราณตามสัญชาตญาณในทันที

พลังของเคล็ดวิชาเมฆาศักดิ์สิทธิ์หมุนวนและดูดเอาพลังปราณเข้มข้นนั้นเข้าไปที่เส้นปราณของเขา หลังจากที่พลังนั้นแพร่กระจายอยู่ในร่างของเขาสักพัก ขั้นปราณ   ก็รุดหน้าขึ้น ในพริบตาเดียวพลังปราณของหวังเป่าเล่อพุ่งขึ้นไปถึงขั้นกลางของ      ลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่หนึ่ง!

แต่เขาก็ไม่มีเวลามาชื่นชมความสำเร็จข้อนี้ สถานการณ์คลุมเครือและคับขันยิ่ง จนหวังเป่าเล่อไม่สนใจสิ่งอื่นอีก เขาปลดปล่อยวิชาเมฆาศักดิ์สิทธิ์อย่างบ้าคลั่ง       ไม่นานพลังปราณของเขาก็ขึ้นสู่จุดสูงสุดของลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่หนึ่ง!

ความรวดเร็วของพัฒนาการนี้ไวเหนือความคาดหมาย ราวกับว่าเขาได้กิน     โอสถอมตะเข้าไป!

หวังเป่าเล่อร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อพบว่าพลังปราณในร่างของเขานั้นเข้มข้นเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ แม้เขาจะใช้วิชาเมฆาศักดิ์สิทธิ์เพื่อกระจายพลังปราณ และใช้เส้นปราณอันสมบูรณ์แบบในการดูดซับ แต่ก็พอแค่รักษาให้ร่างของเขา         ไม่ระเบิดออกเสียก่อนเท่านั้น

พลังปราณที่หวังเป่าเล่อดูดซับเข้าร่างไม่ทันสะสมขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น เข้าไปจับตามอวัยวะ กล้ามเนื้อ และโลหิตของเขา ก่อนแปรเปลี่ยนกลายเป็น       ไขมันวิญญาณ แม้ตัวหวังเป่าเล่อเองจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะหยุดมันก็ไม่สำเร็จ

ไขมันวิญญาณนั้นพอกหนาขึ้นเรื่อยๆ ร่างของหวังเป่าเล่อบวมใหญ่อย่างต่อเนื่อง ภายในพริบตาหวังเป่าเล่อก็กลายสภาพเป็นก้อนลูกชิ้นยักษ์ ที่ทำให้ทุกคนต้อง         อ้าปากค้าง

“ข้า…ข้า…” หวังเป่าเล่อพูดตะกุกตะกักด้วยความโกรธ เขาพยายามก้มลงมองร่างตนเอง แต่ก็ทำไม่ได้ด้วยไขมันที่หนาเป็นชั้นๆ ความรู้สึกที่คุ้นเคยนี้ทำให้เขาอยากร้องไห้ด้วยความสิ้นหวัง

ข้ากลับมาอ้วนได้อย่างไรกัน ข้าทำทุกวิถีทางเพื่อลดน้ำหนัก ร่างกายที่ผอมเพรียว ใบหน้าอันหล่อเหลาของข้า ไม่นะ…

อย่าอ้วนไปมากกว่านี้เลยนะ ข้าทำผิดเอง ข้าตะกละเกินไป ยังไม่ทันได้เป็น     ผู้นำสหพันธรัฐเลย ข้าจะเป็นโรคอ้วนตายไม่ได้!

หวังเป่าเล่อโกรธเกรี้ยวจนไม่สนด้วยซ้ำ ว่าพลังปราณของเขาพุ่งผ่านลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่หนึ่งขึ้นไปยังขั้นที่สองเป็นที่เรียบร้อย เสียงร้องด้วยความสิ้นหวังอัดแน่นไปด้วยความโกรธและความทุกข์ กระจายไปทั่วทุกสารทิศ…

จิตใจของศิษย์ที่รับชมอยู่ทางบ้านสั่นราวแผ่นดินไหวทันทีที่ได้เห็นฉากนี้         ทุกคนตกใจจนไม่อยากเชื่อสายตาตนเองและสูดหายใจเข้าลึก

หลายคนเฝ้าดูการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อกับชายหัวโล้นมาตั้งแต่แรก แม้ว่าจะ      ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ความองอาจของหวังเป่าเล่อในตอนสุดท้ายก็ทำให้พวกเขาประทับใจ แต่หลังจากนั้นสถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว   พวกเข้ารับได้กับการที่หวังเป่าเล่อกินหยดน้ำเข้าไป และไม่ว่าอะไรกับการที่          จู่ๆ ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็อ้วนอืดออกมาเป็น ‘หมูตอน’ แต่สิ่งที่เหล่าผู้ชมทั้งหลายยอมรับไม่ได้คือ การที่หวังเป่าเล่อบรรลุขั้นปราณต่อหน้าต่อตาพวกเขา

“นี่มันศึกใหญ่ของตำหนักการยุทธ์ แต่หมอนี่…กลับบรรลุขั้นปราณเสียได้!”

“หมอนั่นมันมากับดวงชัดๆ! ข้าก็อยากบรรลุขั้นปราณเหมือนกัน ต่อให้ข้าอ้วนเป็น ‘หมูตอน’ ข้าก็ไม่สนใจหรอก!”

“โลหิตวิญญาณนั้นมันอะไรกันหนอ”

ขณะที่เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงกำลังอื้ออึงด้วยเสียงวิจารณ์ เหล่าผู้ยิ่งใหญ่จากทั้งกองทัพ สหพันธรัฐ และสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ต่างตกตะลึงดวงตาเบิกกว้าง        ทุกคนจ้องมาที่ลูกชิ้นหวังเป่าเล่อเป็นตาเดียว

“ข้าคิดมาตลอดว่าเจ้าหวังเป่าเล่อนี่เป็นคนมุทะลุมาก แต่ไม่คิดว่าว่าจะกล้าถึงขนาดกินอาวุธมายาเข้าไป…”

“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลี่อู๋เฉินถึงมีอาวุธมายาไว้ในครอบครอง ทั้งที่เพิ่งจะบรรลุปราณขั้นลมหายใจเที่ยงแท้ คงเป็นเพราะเขาใช้โลหิตวิญญาณหลอมมันขึ้นมานั่นเอง โลหิตวิญญาณนี้สกัดมาจากสัตว์หายากจากนอกโลก ที่พบได้ในชิ้นส่วนของกระบี่สำริดโบราณเท่านั้น ช่างเป็นของล้ำค่ายากหาสิ่งใดเหมือน ท่านหลี่ซิงเหวิน   ช่างดูแลลูกศิษย์ของตนเองดีเหลือเกิน!”

ขณะที่ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริดอยู่นั้น แม่ทัพโจวกลับดูสนใจใคร่รู้ยิ่งกว่าเดิม ท่านคลี่ยิ้มออกมาราวกับพึงพอใจในตัวหวังเป่าเล่อมาก ทางฝั่งอัฒจันทร์ของ       สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ดูมีสีหน้าอ่านยาก ไม่นานนักก็มีคนผู้หนึ่งกระซิบขึ้น

“เอ่อ…ท่านผู้อาวุโสสูงสุดยังไม่กลับมาใช่หรือไม่”

“ท่านค่อนข้างอารมณ์ร้ายทีเดียว…”

ขณะที่เหล่าผู้อาวุโสประจำสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์กำลังปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่นั้น ชายวัยกลางคนในชุดคลุมแดงก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ณ จุดสูงสุดของโลก    ที่ไม่มีผู้ใดรู้สึกหรือสัมผัสได้นั้น มีแผ่นน้ำแผ่นหนึ่งลอยคว้างอยู่ บนพื้นผิวของ      แผ่นน้ำนั้น ผู้อาวุโสผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางปุยเมฆสีขาวและทะเลท้องฟ้าคราม

เรือนผมของเขาเป็นสีขาวโพลน แลดูเหมือนนักปราชญ์ที่ปราดเปรื่อง ผู้อาวุโสผู้นี้    คือ ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ อาจารย์ของชายหัวโล้นผู้นั้นนั่นเอง

ท่านผู้อาวุโสสูงสุดก้มหน้าลงมองร่างอ้วนกลมของหวังเป่าเล่อ ที่อยู่บน          ลานประลองแห่งหุบเขา ไม่นานนักเขาก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนด้วยความทุกข์ใจของ   ชายร่างอ้วน สีหน้าของท่านเปลี่ยนเป็นตกใจ และอดหัวเราะออกมาไม่ได้

“เจ้าหนุ่มอ้วนนี่ ไม่กลัวตายเพราะกินมากไปหรืออย่างไร”

ขณะพูดนั้น ท่านผู้อาวุโสสูงสุดก็ยกแขนขึ้นชี้ลงไปยังผืนปฐพีเบื้องล่าง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version