บทที่ 158 ข้า…ข้าตั้งครรภ์
หลังจากที่ท่านผู้อาวุโสสูงสุดชี้นิ้วลงไปยังพื้นโลก แสงสีฟ้าที่อุบัติขึ้นจากสายหมอกเรืองแสง ก็พวยพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของท่าน เพื่อเดินทางลงไปยังจุดหมาย
ความเร็วของมันนั้นเหนือจินตนาการ เส้นแสงสีฟ้านี้พุ่งผ่านชั้นบรรยากาศของโลก ลงไปยังสนามประลองเบื้องล่างที่เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง ไม่มีเหล่าสานุศิษย์หรือ ผู้เข้าแข่งขันคนใดรับรู้ได้ถึงลำแสงสีฟ้านั้น ในบรรดาผู้ชมบนอัฒจันทร์เอง มีเพียง สองท่านเท่านั้นที่รับรู้ได้ถึงลำแสงจากฟากฟ้าที่ลงมาเยือน!
ผู้หนึ่งคือ ท่านแม่ทัพโจว ผู้มีพลังปราณแก่กล้าแม้ในหมู่ผู้ฝึกตนชั้นสูงของกองทัพ
และอีกท่านหนึ่งคือ ผู้ฝึกตนในชุดคลุมสีแดงแห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ในฐานะรองประมุขสำนัก พลังปราณของท่านก็แก่กล้าไม่แพ้ผู้ใด!
ทั่วทั้งอัฒจันทร์มีเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่ตระหนักถึงการมีอยู่ของลำแสงสีฟ้า แม้แต่กับพวกเขาเอง ลำแสงสีฟ้านั้นก็เบาบางมากจนแทบจับความรู้สึกไม่ได้ สีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปในทันที แม่ทัพโจวและชายวัยกลางคนในชุดแดงเงยหน้าขึ้นมองความว่างเปล่าเหนือพื้นดิน ก่อนก้มลงไปมองหวังเป่าเล่อ
ลำแสงสีฟ้านั่นมุ่งตรงไปที่หวังเป่าเล่อ!
ในชั่วอึดใจ ลำแสงสีฟ้าจากสรวงสวรรค์เดินทางมาถึงพื้นโลก และพุ่งเข้าใส่ ร่างของหวังเป่าเล่อโดยไม่มีใครสังเกตเห็นนอกจากชายทั้งสอง ลำแสงนั้นรวมเป็นหนึ่งเข้ากับร่างกายของหวังเป่าเล่อ ทำให้เขาตัวสั่น เมล็ดแห่งการดูดกลืนแปรเปลี่ยนกลายเป็นรากฐานวิญญาณแปดนิ้วในทันที ราวรู้สึกได้ถึงอันตรายที่คืบเข้ามาใกล้ บางส่วนของเส้นปราณก็พากันปิดซ่อนตนเองเอาไว้ให้พ้นจากลำแสงนั้น
ลำแสงสีฟ้านั้นแทรกซึมเข้าไปในร่างของหวังเป่าเล่อ เดินทางไปทั่วร่างของเขาเพื่อสำรวจเสาะหา แต่ก็ไม่พบอะไรแปลกปลอม ลำแสงนั้นไม่ได้ยึดคืนพลังปราณที่หวังเป่าเล่อดูดซึมเข้าไป แต่มุ่งตรงไปที่หยดน้ำนั้นและเริ่มสั่นสะเทือนทันทีที่ พบเป้าหมาย ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้าง ท้องไส้เริ่มปั่นป่วน เขาร้องอุทานเสียงดัง ก่อนจะขย้อนเอาอาวุธมายาที่กลืนเข้าไปก่อนหน้าออกมา
หยดน้ำนั้นพุ่งเข้าหาชายหัวโล้นในทันที ก่อนหลอมรวมเข้ากับจุดตรงหว่างคิ้วของเขา ชายหนุ่มเจ้าของหยดน้ำไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ว่าสมบัติรักมีน้ำลายและเมือกจากอวัยวะภายในของหวังเป่าเล่อติดอยู่ เขาเพียงแต่รีบดูดกลืนเอาหยดน้ำนั้นเข้าไปในหว่างคิ้วของตนเองอย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเสี้ยววินาที
เมื่อเสร็จภารกิจเรียบร้อย ลำแสงสีฟ้านั้นก็ผละออกจากร่างของหวังเป่าเล่อ และหายไปในความว่างเปล่า
“เกิดอะไรขึ้น” หวังเป่าเล่อเอ่ยดวงตาเบิกโพลง ร่างของเขาบัดนี้ดูเหมือนลูกชิ้นยักษ์ เขาอยากเอามือจับพุงของตัวเองแต่แขนก็ยาวไม่พอ หวังเป่าเล่อทั้งหงุดหงิดและ โกรธเคือง เมื่อเห็นว่าหยดน้ำนั้นถูกคืนกลับไปให้ชายหัวโล้นเสียแล้ว เขาเดือดดาลด้วยความไม่พอใจ
“นี่มันปล้นกันชัดๆ! ข้ากินเข้าไปแล้ว แต่เจ้ายังหน้าด้านมาแย่งกลับคืนไปอีก มีน้ำลายข้าติดอยู่บนนั้นเต็มไปหมด เจ้านี่สกปรกโสโครกจริงๆ!”
ชายหัวโล้นก็งุนงงเช่นกัน แต่เขาก็เหมือนคิดอะไรบางอย่างออกในฉับพลัน ชายหนุ่มไม่สนใจเสียงร้องประณามของหวังเป่าเล่อ แต่หยิบเอาอาวุธมายาของตนออกมาตรวจสอบดู ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นสภาพของสิ่งที่เหลืออยู่
“หวังเป่าเล่อ ไอ้กระเพาะปีศาจ เหตุใดเจ้าจึงย่อยอาวุธมายาของข้าเสียจน อ่อนพลังลงไปได้ถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่กินเข้าไปเพียงครู่เดียวแท้ๆ ” ชายหัวโล้นหัวเสียเป็นอันมาก เขาเงยหน้าขึ้นจ้องหวังเป่าเล่อด้วยความขุ่นเคือง
หลังจากที่ตรวจดูสภาพของหยดน้ำแสนรักเรียบร้อย เขาก็พบว่าหยดน้ำนี้ไม่ได้ทอแสงเรืองรองเจิดจ้าเหมือนเดิมอีกต่อไป
บัดนี้มันดูหม่นหมอง และเต็มไปด้วยรอยปรุและรูพรุน ราวกับโดนกัดกร่อน จนเสียรูป แม้เขาจะกำจัดอักขราจารึกทั้งหมดออกไปแล้ว หลังจากที่หยดน้ำกลับมาเป็นของเขาอีกครั้ง แต่อาวุธมายานี้ก็ดูอ่อนแอจนแทบไม่เหลือชิ้นดี
หวังเป่าเล่อเองก็จ้องชายหัวโล้นอย่างโกรธเคืองเช่นกัน แต่ก็อดสังเหตเห็นสภาพอันแสนร่อแร่ของหยดน้ำในมือคู่อริไม่ได้ หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ รับรู้ได้ในทันทีว่าถึงหยดน้ำจะกลับคืนไปหาหลี่อู๋เฉินแล้ว แต่ตัวเขาเองก็ได้ดูดเอาพลังของมันไปจนแทบจะหมดสิ้น
แม้แต่เมล็ดแห่งการดูดกลืนในกายข้ายังรังเกียจมัน ของล้ำค่าบ้าบออะไรกันเล่า หวังเป่าเล่อหัวเราะเยาะ และแสดงความอวดดีขึ้นในทันที เขานำมือไปไพล่หลัง ตามนิสัย แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะแขนยาวไม่พอ…
“หวังเป่าเล่อ ข้าจะจำประสบการณ์อันเลวร้ายครั้งนี้ไม่มีวันลืม จดจำนามของข้าไว้เสียด้วย ข้าคือหลี่อู๋เฉิน!” ชายหัวโล้นประกาศก้อง เขาสูดหายใจลึกเพื่อควบคุมอารมณ์แต่ก็ไม่เป็นผล ชายหนุ่มมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเกลียดชังจับใจ ก่อนหันหลังกลับและเดินจากไป
ผู้คุ้มกันในเกราะสีม่วงเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ แม้เขาจะหันหลังเดินตามหลี่อู๋เฉินไปด้วย แต่ก็อดหันหลังกลับมามองหวังเป่าเล่อไม่ได้ หัวใจเต็มไปด้วยความทึ่ง หวังเป่าเล่อทำให้เขาตกใจเป็นล้นพ้น ด้วยความสามารถยอดเยี่ยมที่ประทับเข้าไปในจิตของเขา
“หมอนั่นจะมาแนะนำตัวหลังจากประลองจบแล้วทำไมกัน ฟั่นเฟือนเป็นบ้า” หวังเป่าเล่อพึมพำด่า ขณะมองแผ่นหลังของชายหัวโล้นที่กำลังเดินจากไป เขาคิดว่าชายหนุ่มคนนี้โง่เขลาเบาปัญญาตั้งแต่พฤติกรรมลามไปยันชื่อ จึงประกาศออกไป หมายให้คู่อริรู้เสียบ้างว่าชื่อเสียงเรียงนามแบบใดที่ถือว่าเป็นชื่อดี
“เจ้าหน้าโง่หลี่ จำชื่อแซ่ของข้าไว้ด้วย ข้าชื่อหวังเป่าเล่อ!” หวังเป่าเล่อตะโกนเกทับ หลังจากนึกได้ว่าชื่อของตนเองฟังดูดีกว่าเพียงใด
ชายหัวโล้นนามว่าหลี่อู๋เฉินผู้นั้นเซถลา ก่อนจะเดือดปุดไปด้วยความโกรธอีกครั้ง เมื่อได้ยินคำผรุสวาทของหวังเป่าเล่อ เขาพยายามควบคุมอารมณ์ตนเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเดินจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมามอง
หวังเป่าเล่อครวญเพลงเบาๆ อย่างสุขใจ ขณะมองหลี่อู๋เฉินที่กำลังหัวเสียเดินจากไป แต่เมื่อก้มลองมองพุงขนาดมโหฬารของตัวเอง ก็เริ่มร้องเพลงไม่ออก ชายหนุ่มหงุดหงิดใจขึ้นมาอีกครั้ง ร่างกายอันผอมเพรียวและใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา… หวังเป่าเล่อหัวเสียจนแทบคลั่ง
ลู่จื่อหาวหน้าตาเหยเก พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เขาไม่กล้าเดินเข้าไปหาหวังเป่าเล่อ ทำได้แค่มองร่างอ้วนใหญ่โตนั้นจากระยะไกลเท่านั้น ชายหนุ่มเลือดร้อนอยากจะกวนประสาทหวังเป่าเล่อ แต่ก็รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าเขาไม่ควรทำแบบนั้น มิเช่นนั้นจะถูกหยามโดยการเรียกว่า ‘ลูกชาย’ อีก
ดังนั้นเขาจึงพูดออกมาเบาๆ “ศิษย์พี่หวัง เราจะทำอย่างไรต่อไป”
แม้เขาจะเรียกหวังเป่าเล่อว่า ‘ศิษย์พี่’ ด้วยน้ำเสียงสุภาพ ลู่จื่อหาวก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองปฏิบัติตนขัดกับคุณธรรมประจำใจแต่อย่างใด เขาไม่ได้คิดว่าตนเองกำลัง ยอมอ่อนข้อให้หวังเป่าเล่อ แต่เชื่อว่าตนแค่ช่วยเหลือเพื่อนร่วมสำนักเท่านั้น
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า” หวังเป่าเล่อพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย แม้เส้นทาง มุ่งหน้าไปสู่ยอดเขาได้เปิดออกแล้ว เมื่อรูปร่างตนเองกลายเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว เขาก็ไม่ได้รู้สึกกระตือรือร้นอยากขึ้นไปสังเกตการณ์แต่อย่างใด หวังเป่าเล่อทำได้เพียงหันหลังกลับเพื่อเตรียมจากไปเท่านั้น เขาลืมแม้กระทั่งทวงเกราะอาวุธเวทคืนจากลู่จื่อหาว
“เอ่อ…ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปแล้วนะ ศิษย์พี่หวัง ขอบคุณมากสำหรับ ความช่วยเหลือ” ลู่จื่อหาวเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะหันหลังวิ่งตรงไปยังยอดเขาในทันที ราวกับกลัวว่าหวังเป่าเล่อจะขอชุดเกราะและกระบี่เหาะเหินเยือกแข็งคืน
หลังจากที่ลู่จื่อหาวจากไปเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็เดินลงเขาไปด้วยจิตใจหมองหม่น ร่างกายของเขาใหญ่เทอะทะราวกับลูกชิ้นยักษ์เมื่อมองจากระยะไกล กลิ้งหลุนๆ ลงมาไม่นาน ชายหนุ่มก็มาถึงตีนเขา
เมื่อมาถึงเรียบร้อย วงแหวนเคลื่อนย้ายก็ปรากฏขึ้นโดยที่เขาไม่ต้องเอื้อนเอ่ยอะไร หวังเป่าเล่อเดินเข้าไปในวงแหวนปราณด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ก่อนหายตัวออกจาก ลานประลองในที่สุด
ชายหนุ่มกลับมายืนอยู่บนผืนดินของเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงอีกครั้ง เมื่อก้าวเท้าออกมาจากวงแหวนปราณ เสียงพูดคุยต้อนรับก็ดังขึ้นอย่างกึกก้อง
“หวังเป่าเล่อกลับมาแล้ว!”
หากหวังเป่าเล่อไม่ได้อ้วนฉุและกำลังอารมณ์ดีอยู่ เขาคงเข้าไปคุยกับผู้ชมเหล่านั้นอย่างออกรสออกชาติ และมีความสุขกับการเป็นจุดสนใจแล้ว แถมยังน่าจะถือโอกาสขายของไปในตัวด้วย
แต่บัดนี้หวังเป่าเล่อหมดอารมณ์ทำสิ่งใดอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อนึกได้ถึงสาแหรกตระกูลที่บิดาเคยนำให้เขาดู เขารู้สึกว่าเหล่าบรรพบุรุษจ้ำม่ำที่ก่อนหน้านี้ได้หนีหายไปจากชีวิตของเขาแล้วนั้น กำลังโบกมือหยอยๆ เรียกให้เขาไปหาอยู่
เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน ข้าแค่อยากช่วยเหลือผู้อื่น แล้วก็แค่อยากขายวัตถุเวทของข้าเท่านั้น! หวังเป่าเล่อตะโกนก้องในใจด้วยสีหน้าอมทุกข์ เขาเรียกเรือบินส่วนตัวออกมา ก่อนบินกลับไปยังถ้ำที่พักของตนทันที ทิ้งผู้ชมที่ส่งเสียงให้กำลังใจไว้เบื้องหลัง
สีหน้าของเหล่าผู้สังเกตการณ์แตกต่างกันไปหลังจากเห็นภาพนี้ แต่ทุกคนก็ฉลาดพอที่จะไม่เข้าไปกวนหวังเป่าเล่อ ผู้ที่มีสีหน้าราวกับกำลังจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
เรือบินของหวังเป่าเล่อสร้างขึ้นเพื่อรองรับหุ่นของเขาก่อนหน้านี้ จึงทุลักทุเลอยู่พอควรขณะลอยอยู่กลางอากาศ หวังเป่าเล่อยังคงหัวเสีย ส่วนเจ้าเรือบินนั้นก็สั่นไหวไปตลอดทาง จนมาถึงถ้ำที่พัก ณ ตำหนักอาวุธเวท ที่หมายของเขาในที่สุด
เมื่อเดินทางมาถึงถ้ำที่พัก หวังเป่าเล่อก็เดือดจนแทบคลั่งอีกครั้ง เมื่อแทรกตัวเองผ่านประตูเข้าไปไม่ได้ หลังจากพยายามอยู่พักใหญ่ ชายหนุ่มก็เข้าไปในห้อง ของตนเองได้สำเร็จ
หวังเป่าเล่อนั่งอยู่บนเบาะสานจากใบกก ที่เล็กกว่าก้นของเขาอย่างเห็นได้ชัด เขามองไปรอบๆ ห้องพลางร่ำไห้อยู่ในใจ ชายหนุ่มหยิบเอาวัตถุเวทที่เฉินอวี่ถงมอบให้ตนขึ้นมาแล้วใส่มันลงบนศีรษะ แววตาอำมหิตวาวชัด ขณะที่กดปุ่มเปิดให้เครื่อง เริ่มทำงาน
“ข้าไม่ได้กินอะไรมาสิบปีแล้ว!” หวังเป่าเล่อพูดพลางเตรียมตัวรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น แต่ไม่นานเขาก็พบว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จึงเริ่มตระหนกอย่าง เสียมิได้ เขาถอดวัตถุเวทนั้นออกมาพิจารณา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ก็ใส่กลับเข้าไปตามเดิม
“ข้าวิ่งมาล้านก้าวแล้ว!”
เมื่อจบประโยค เสียงเตือนก็ดังออกมาจากวัตถุเวทนั้นอย่างไม่ขาดสาย หวังเป่าเล่อเตรียมตัวยอมรับความเจ็บปวดด้วยความตื่นเต้น แต่ก็ต้องตะลึงงันอีกครั้ง เมื่อพบว่าหลังจากส่งเสียงเตือนกู่ก้องเรียบร้อยแล้ว เจ้าวัตถุเวทที่เป็นเครื่องมือ ชั้นยอดในการลดน้ำหนักนี้ ไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลยแม้แต่น้อย ราวกับสมองของเขา เคยชินกับการไม่กินข้าวมาหลายปี และวิ่งมาหลายล้านก้าวเสียแล้ว
“เป็นไปไม่ได้!” หวังเป่าเล่อเริ่มกังวลใจ
“ข้าอยู่ในห้องหินละลายมาสิบปี!”
“ข้าโดนแทงเป็นร้อยครั้งแต่รอดมาได้ ข้าต้องการสารอาหารในการพักฟื้นร่างกาย!”
“ข้าโดนฟ้าผ่า ไขมันวิญญาณละลายหายไปหมด!”
หวังเป่าเล่อคิดคำสั่งมากมาย แต่วัตถุเวทนั้นก็ยังนิ่งไม่ไหวติง ชายหนุ่มเริ่มหายใจหอบขึ้น รู้สึกแทบใกล้วิกลจริต เขาเริ่มคิดถึงคำสั่งพิสดารหลากหลาย หวังเป็น อย่างยิ่งว่าจะใช้ได้ผลสักอันหนึ่ง ในที่สุดชายหนุ่มก็ก้มลงมองพุงหลามของตนเอง แสงประหลาดสว่างวาบขึ้นในดวงตา
“ข้า…ข้าตั้งครรภ์ ข้าต้องสลายไขมันวิญญาณเหล่านี้ เพื่อนำสารอาหารไปเลี้ยงลูกข้า!”
สิ้นคำสั่งนี้ วัตถุเวทก็สั่นขึ้นมาในทันที คำสั่งของหวังเป่าเล่อกระตุ้นให้มัน เริ่มทำงาน ชายหนุ่มพอใจเป็นอันมาก เขาตะโกนสำทับ “ข้าท้องลูกมากมาย ข้าตั้งท้องเด็กหนึ่งร้อย ไม่สิ หนึ่งพันคน!”
เสียงปึ้งดังออกมาจากวัตถุเวทบนศีรษะเขา ราวกับใกล้ระเบิดออก วัตถุเวทนี้ เริ่มทำงานอย่างบ้าคลั่ง
แต่ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะทันได้ดีใจกับผลลัพธ์ จิตใจของเขาก็ปั่นป่วนจนแทบคลั่ง ชายหนุ่มสิ้นสติลงในตอนนั้นเอง