บทที่ 159 หรือข้าจะเป็นนิ่วในไต
ในถ้ำที่พัก ณ ตำหนักอาวุธเวท วัตถุเวทกำลังทำงานด้วยความเร็วชนิดที่ฉุดไม่อยู่ เพื่อลวงสมองของหวังเป่าเล่อด้วยคำสั่งที่ได้ผลชะงัด ไขมันวิญญาณระเบิดออกจากร่างที่หมดสติของเขา และสลายลงจนเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า
ร่างกายของชายหนุ่มค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น การลดน้ำหนักครั้งนี้เกิดขึ้นด้วยอัตรา ที่รวดเร็วกว่าปกติมาก จนร่างกระตุกต่อเนื่องอย่างควบคุมไม่ได้
หากมีคนอื่นมาพบเข้าคงรู้สึกสยองพอสมควร แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากทึ่งกับความทุ่มเทที่ชายร่างอ้วนมอบให้การลดน้ำหนักครั้งนี้
บนยอดเขาตำหนักปรัชญาเต๋าประจำเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง มีบริเวณหนึ่งที่ห้ามผู้ใดย่างกรายเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต
หากมองจากระยะไกล ยอดเขาแห่งนั้นมีแอ่งหน้าตาคล้ายทะเลสาบอยู่ ข้างทะเลสาบนั้นมีกระท่อมไม้หลังหนึ่ง ผู้อาวุโสสูงสุดนั่งอยู่ที่ริมตลิ่ง ดวงตามอง จ้องนิ่งไปยังผิวน้ำเบื้องหน้า
ปลายสายตาของเขามีภาพการประลองจากตำหนักการยุทธ์ปรากฏอยู่ที่ผิวน้ำ หากมองจากจุดที่เขายืนอยู่นั้น ช่างดูราวกับว่าการต่อสู้นัดนั้นเกิดขึ้นใต้ทะเลสาบ ก็ไม่ปาน
ขณะที่ท่านผู้อาวุโสสูงสุดกำลังรับชมการประลอง หลี่อู๋เฉินศิษย์เอกก็ปรากฎกายขึ้นด้วยสีหน้าบูดเบี้ยวเหยเก ชายหนุ่มเดินมาถึง ก่อนสูดหายใจเข้าลึกเพื่อควบคุมตนเองให้เย็นลง เขาเดินไปหยุดอยู่ข้างท่านผู้อาวุโส และทำความเคารพท่าน อย่างเงียบๆ
“ท่านอาจารย์ขอรับ”
“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง” ท่านผู้อาวุโสสูงสุดถาม ดวงตายังคงจับจ้องไปที่ภาพในทะเลสาบโดยไม่หันกลับมามอง การต่อสู้รอบผู้พิชิตยอดเขาได้จบลงแล้ว และการต่อสู้รอบสุดท้ายกำลังจะเริ่มขึ้น
เมื่อได้ยินคำถามไถ่จากท่านอาจารย์ หลี่อู๋เฉินก็แทบเก็บความโกรธเกรี้ยวเอาไว้ไม่อยู่ เขาพยายามอย่างมากที่จะระงับความเดือดดาลของตน โดยการสูดหายใจเข้าลึก สองถึงสามครั้ง ชายหนุ่มกัดฟันกรอด
“เจ้าหวังเป่าเล่อนั่นช่างหน้าไม่อายเหลือเกินขอรับ! ข้าเพียงแต่ต้องการทดสอบเขาดูเท่านั้น แต่หมอนั่นกลับกินอาวุธมายาของข้าเข้าไป แถมยังย่อยมันจน แทบไม่เหลือซาก…ท่านอาจารย์ขอรับ ข้าสงสัยว่าหมอนั่นจะเป็นอสูรร้าย กลายร่างมา!” หลี่อู๋เฉินกลับทวีความโกรธมากยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อได้ยินคำกล่าวจากลูกศิษย์ตน สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดก็เปลี่ยนไปในทันที ท่านระลึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้และระเบิดเสียงหัวเราะดังก้อง ก่อนหันมามองหลี่อู๋เฉินที่ยังคงหัวเสีย
“อู๋เฉิน รับหวังเป่าเล่อเป็นศิษย์รุ่นน้องของเจ้าเสียสิ” ผู้อาวุโสสูงสุดเอ่ยด้วยดวงตาเป็นประกาย
“อะไรนะขอรับ” หลี่อู๋เฉินไม่คาดคิดว่าท่านอาจารย์ของตนจะเอ่ยประโยคนี้ออกมา จิตใจของเขาว้าวุ่น เพียงแค่คิดว่าต้องรับหวังเป่าเล่อเข้าเป็นศิษย์น้องของตน ชายหนุ่มก็รู้สึกถึงลางร้ายเสียแล้ว หลี่อู๋เฉินเริ่มกระสับกระส่าย แต่ก็รู้ดีว่าเปลี่ยนใจท่านไม่ได้อย่างแน่นอน จึงทำได้เพียงพูดอย่างดื้อดึง
“ท่านอาจารย์ขอรับ ข้าอยากให้ท่านตัดสินใจให้ดีก่อน ข้าเกรงว่าท่านจะเสียใจในภายหลัง…”
ผู้อาวุโสสูงสุดยิ้มบางให้เขาและเบือนหน้ากลับไปมองผืนน้ำอย่างเงียบๆ แต่ดวงตาของท่านกลับชัดด้วยประกายแหลมคมยิ่งกว่าเคย รอยยิ้มที่มุมปากของท่านคงอยู่เป็นเวลานาน
เมื่อเห็นว่าท่านอาจารย์ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว หลี่อู๋เฉินก็รู้สึกหดหู่ใจเหลือเกิน เขาทำได้เพียงจ้องมองหยดน้ำอาวุธมายาของตน เมื่อนึกภาพไปถึงตอนที่หวังเป่าเล่อสำรอกมันออกมา ความโกรธก็พุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ อีกครั้ง สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไป เขาสูดหายใจเข้าลึกเพื่อข่มอารมณ์
เวลาเดินหน้าผ่านสามวันไป ในที่สุดศึกแห่งตำหนักการยุทธ์ก็เดินทางมาถึงบทสรุป แม้ลู่จื่อหาวจะทะลุเข้าไปถึงรอบท้ายๆ สำหรับผู้มีปราณระดับแรกของ ลมหายใจเที่ยงแท้ เขาก็ไม่ได้ตำแหน่งผู้ชนะมาครอบครอง หากแต่ติดอับดับสิบคนสุดท้ายแทน
ผู้ชนะของการแข่งขันในครั้งนี้คือ จั่วอี้ฟาน!
เฉินจื่อเหิงได้ลำดับสาม ส่วนลำดับสองนั้นคือแม่นางที่มีนามว่าอู๋ฮุ้ย แม่นางผู้นี้ ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ผู้ช่วยในการประลองครึ่งแรกของเธอคือ เจ้าเยี่ยเหมิง แม่นางอู๋ฮุ้ยบุกตะลุยมาถึงศึกผู้พิชิตยอดเขาด้วยความช่วยเหลือจากเจ้าเยี่ยเหมิง วงแหวนปราณอันทรงพลังของนาง ยังช่วยอู๋ฮุ้ยให้ฝ่าด่านเข้าไปถึงรอบสุดท้าย จนกลายเป็นม้ามืดนำที่สองไปครอง
เมื่อการประลองประจำตำหนักการยุทธ์ปิดฉากลงเป็นที่เรียบร้อย กองทัพและเจ้าพนักงานระดับสูงจากสหพันธรัฐที่มาร่วมรับชมก็จากไป ผู้ชนะสิบคนแรกจาก ทุกขั้นปราณกลายเป็นคนดังชั่วข้ามคืน ชื่อของพวกเขาเป็นที่รู้จักไปทั่ว เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง
ในปีก่อนหน้า ชื่อเสียงเรียงนามของผู้ช่วยในการประลองนัดแรกอาจมีคนพูดถึงบ้าง แต่ก็ไม่เป็นที่โจษจันมากเท่ารายชื่อของผู้ชนะ เพราะถึงอย่างไรนี่เป็นการประลองของตำหนักการยุทธ์
แต่ในปีนี้กลับ…ไม่เหมือนเดิม เพราะการปรากฏตัวอย่างเหนือความคาดหมายของหวังเป่าเล่อ ทั้งโฆษณาขายวัตถุเวทโดยการจุดพลุเรียกความสนใจ การประลองเหนือชั้นกับหลี่อู๋เฉิน ไปจนถึงเขาบรรลุขั้นปราณหลังจากกินหยดน้ำเข้าไปจนอ้วนฉุเป็นหมูตอน เรื่องราวแปลกประหลาดเหล่านี้กลายเป็นที่กล่าวขานไปทั่วเกาะ
ชื่อของหวังเป่าเล่อถูกพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเป็นที่กล่าวถึงมากกว่าผู้ชนะจากตำหนักการยุทธ์เสียอีก แม้แต่ผู้ชนะเองยังพากันอึ้งเมื่อได้ยินวีรกรรมของเขา
แต่ชายหนุ่มผู้มีชื่อเสียงขจรขจาย บัดนี้กลับนอนนิ่งไม่ได้สติอยู่ในถ้ำที่พักของตน เขาซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้อ้วนตุ้ยนุ้ยเหมือนตอนแรกที่เดินเข้าห้องมาอีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มกำลังค่อยๆ คืนกลับสู่ร่างเดิมของตน
ในยามค่ำสองวันต่อมา ร่างของหวังเป่าเล่อที่ยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ก็สะดุ้งตื่นคืนสติขึ้นมา เขาค่อยๆ เปิดเปลือกตาออก ดูงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อสติกลับมาแจ่มชัดอีกครั้งชายหนุ่มก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง หายใจหนัก ก่อนก้มลงสำรวจร่างกายของตน
เมื่อเห็นว่าพุงเล็กลงมากแล้วและร่างกายกายดูปกติดี หวังเป่าเล่อก็ตื่นเต้นดีใจจนอดเอากระจกมาส่องดูตนเองไม่ได้ ใบหน้าเขากลับมาเป็นอย่างที่เคยจำได้อีกครั้ง ชายหนุ่มจึงหัวเราะร่า
ได้ผล! การลดน้ำหนักสำหรับข้านี้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก! หวังเป่าเล่อ ลุกขึ้นยืนหัวเราะเสียงดังลั่น เขาค่อยๆ หันซ้ายหันขวาสำรวจตนเองอยู่หน้ากระจก และมีสีหน้าตื่นเต้นยินดีมากขึ้นเรื่อยๆ
ข้ายังผอมเพรียวและหล่อเหลาเอาการอยู่! ชายหนุ่มยกมือขึ้นตบพุงอย่างอารมณ์ดี เขาเกือบถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่ก็พลันชะงักเมื่อคลำไปพบบางอย่างที่ น่าสงสัยเข้าเสียก่อน
เมื่อกี้ข้าจับไปโดนอะไรแปลกๆ หรือเปล่านะ หวังเป่าเล่อจับพุงตนเองอีกครั้ง สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นเหยเก
ไอ้ก้อนกลมๆ นี่มันอะไรกัน ชายหนุ่มเบิกตาโพลง หายใจสะดุดไปชั่วขณะ หวังเป่าเล่อระลึกได้ว่าตนเองออกชุดคำสั่งใดไปให้วัตถุเวทก่อนที่จะสลบไป
หรือว่า…หวังเป่าเล่อว้าวุ่นใจไปหมด หน้าของเขาซีดเผือดด้วยความกลัว ชายหนุ่มก้มลงสำรวจที่ท้องของตน ก่อนถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ก็ยังอด ฉงนใจไปพักหนึ่งไม่ได้
ที่จุดตันเถียน บนพิกัดที่เมล็ดแห่งการดูดกลืนของเขาตั้งอยู่ มีก้อนศิลาขนาดเท่ากำปั้นฝังอยู่ในนั้น ศิลานี้มีหน้าตาคล้ายศิลาวิญญาณแต่มีสีแดงฉานเหมือนโลหิต และมีพลังปราณอัดแน่นอยู่ภายใน หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงพลังอันแก่กล้าจากศิลานั้น เขาสูดหายใจลึกด้วยความทึ่ง สัญชาตญาณบอกว่าเจ้าก้อนศิลาสีเลือดนี้เปรียบเสมือนระเบิดเวลา
หากมันระเบิดขึ้นมาพลังปราณอันแก่กล้าจะทำให้ร่างของเขาถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ในทันที
นี่มันอะไรกัน หรือว่าข้าจะเป็นนิ่ว นิ่วที่กำเนิดมาจากพลังปราณเช่นนั้นหรือ หวังเป่าเล่อกระสับกระส่าย เขาตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อเพ่งมองใกล้ๆ
แม้ไขมันวิญญาณกว่าเก้าส่วนสิบในร่างกายจะสลายหายไปแล้ว และพลังปราณของเขาพัฒนาขึ้นนิดหน่อย แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างมากมายขนาดนั้น เมื่อรวมเข้ากับคำสั่งที่เขาส่งไปยังสมองก่อนจะหมดสติไปแล้ว ที่มาของศิลาสีเลือดนี้ ก็แจ่มชัดขึ้นในใจ
“ข้าลวงสมองตนเองว่าข้าท้องอยู่ ไขมันวิญญาณจึงสลายกลายเป็นพลังงานเพื่อไปหล่อเลี้ยงท้องของข้า จนสะสมกันกลายเป็นเจ้าสิ่งนี้” หวังเป่าเล่อพึมพำ บอกตนเอง และยิ้มอย่างขมขื่นอยู่พักใหญ่
แต่ก็ยังดีที่เขาตระหนักได้ว่า เส้นปราณของเขาไม่ได้เป็นเพียงเส้นด้ายวิญญาณอย่างเมื่อก่อนแล้ว ดูเหมือนว่าเส้นด้ายปราณนั้นจะรวมตัวกัน กลายเป็นสายธารแห่งปราณที่ไหลวนอยู่ภายในเส้นปราณของเขา ทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
“ขั้นที่สองของระดับลมหายใจเที่ยงแท้!” หลังจากที่สัมผัสได้ถึงขั้นปราณ ที่รุดหน้าของตน หวังเป่าเล่อก็ดูใจชื้นขึ้นมา เขาเดาเอาว่าศิลาที่หน้าท้องนี้ต้อง ทรงพลังมาก หากเขาค่อยๆ ดูดซึมมันทีละน้อย คงเทียบได้กับการกินโอสถเพื่อ เสริมพลังปราณ
หวังเป่าเล่อตื่นเต้นเมื่อนึกได้ถึงทฤษฎีนี้ จึงรีบทดสอบดู เขารู้สึกได้ว่าทันทีที่ปลดปล่อยพลังปราณของตน กระแสปราณก็เริ่มไหลวนรอบเส้นปราณ และเจ้าศิลาก้อนนั้นก็ปล่อยพลังปราณออกมาเล็กน้อยเช่นกัน หลังจากที่กระแสปราณจากศิลานั้นรวมเข้ากับกระแสปราณในกายเขา หวังเป่าเล่อก็มีพลังเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
นี่มันโชคของข้าชัดๆ! ชายหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความสุขใจล้นปรี่ เขาดีใจมากเมื่อพบว่าตนเองก้าวเข้าสู่ระดับสองของขั้นลมหายใจเที่ยงแท้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพยายามควบคุมพลังปราณในร่างให้ไปรวมอยู่ที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง ตามเคล็ดวิชาเมฆาศักดิ์สิทธิ์ เขายกมือขึ้นกำหมัด ลูกไฟขนาดเท่ากำปั้นปรากฏขึ้นพร้อมเสียง ดังกระหึ่ม
ไม่จำเป็นต้องใช้ยันต์เสียด้วยซ้ำ! ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกาย เขาโบกมือเพื่อดับลูกไฟ ก่อนลองอีกครั้งแต่คราวนี้เปลี่ยนเป็นสร้างใบพัดแทน หวังเป่าเล่อ ลองใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความตื่นเต้น แต่พลังปราณในเส้นปราณของเขามีอยู่อย่างจำกัด สุดท้ายก็ร่อยหรอลงจนไม่เหลือให้ร่ายเวทต่อ
หวังเป่าเล่อเลิกพยายาม หลังทำสมาธิอยู่สักพักระดับพลังในเส้นปราณของเขา ก็ฟื้นคืนกลับมาเหมือนเดิม ชายหนุ่มลืมตาขึ้น แววตาเอ่อล้นไปด้วยความตื่นเต้น