บทที่ 160 กระบวนท่าดรรชนีเมฆา
เมื่อร่ายเวทครบสามสิบครั้ง พลังปราณก็ลดลงจนหมด ต้องใช้เวลาห้านาทีก่อนเส้นปราณจะกลับมาเหมือนเดิม หวังเป่าเล่อตื่นเต้นถึงขีดสุด จากที่หาอ่านมาในเครือข่ายวิญญาณ เขาทราบว่าระดับสองของลมหายใจเที่ยงแท้จะสามารถร่ายเวทได้ราวสิบกว่าครั้ง
ไม่เคยมีใครร่ายเวทได้มากกว่ายี่สิบครั้งมาก่อน แต่ตัวเขาเองกลับทำได้ถึงสามสิบครั้ง และฟื้นฟูพลังปราณกลับมาได้อย่างรวดเร็วกว่าใคร แปลว่าตัวเขาแข็งแกร่งอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนในระดับเดียวกัน
ความสามารถในการแปรเปลี่ยนรากฐานวิญญาณในกายข้านี่ช่างทรงพลังเหลือเกิน! หวังเป่าเล่อดีใจเป็นล้นพ้น พลังปราณของเขากลับมาเป็นระดับปกติแล้ว เขาระลึกขึ้นมาได้ว่าในระดับสองของเคล็ดวิชาเมฆาศักดิ์สิทธิ์นั้น มีสิ่งที่เรียกว่ากระบวนท่าดรรชนีเมฆาอยู่
กระบวนท่าดรรชนีเมฆานี้เป็นกระบวนท่าเฉพาะของเคล็ดวิชาเมฆาศักดิ์สิทธิ์ และเป็นกระบวนท่าสำหรับศิษย์ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น พลังของมันถือว่าไม่ธรรมดา ผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่หนึ่ง จะยังไม่สามารถฝึกกระบวนท่าดรรชนีเมฆานี้ได้ แต่ต้องรอให้บรรลุขั้นที่สองก่อนเท่านั้น
หัวใจของหวังเป่าเล่อพองโตขึ้น เขาสูดหายใจเข้าลึกและหยิบเอาแผ่นหยกจารึกวิชาเมฆาศักดิ์สิทธิ์ออกมาเพื่อเริ่มศึกษา เขาจ้องมันไม่วางตา ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น ก่อนส่งพลังปราณจากทั่วร่างกายไปตามวิธีที่เคล็ดวิชาเมฆาศักดิ์สิทธิ์ระบุไว้ ไม่นานนัก ไอหมอกก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น และไหลออกจากปลายนิ้วชี้ขวาของหวังเป่าเล่อ
หมอกนั้นมีสีเทา แม้จะดูเป็นเพียงหมอกธรรมดา มันก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะสลายหายไปในอากาศ สายหมอกนั้นกระจุกตัวอยู่ที่นิ้วชี้ของหวังเป่าเล่อ หมุนวนรอบนิ้วราวกับ งูตัวเล็กที่เลื้อยไปมา
“กระบวนท่าดรรชนีเมฆาสลายหายไปในความว่างเปล่าได้ โดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันมันก็กระจายออกเหมือนก้อนเมฆเพื่อช่วยป้องกันศัตรูได้เช่นกัน และยังสามารถยิงออกมาเหมือนกระสุนได้อีกด้วย ความรุนแรงนั้นขึ้นอยู่กับขั้นปราณของผู้ใช้ หากพลังปราณสูงมาก การโจมตีนี้อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้!” หวังเป่าเล่อพึมพำอ่านคำอธิบายของกระบวนท่าดรรชนีเมฆาในแผ่นหยก เขาก้มลองมอง เส้นหมอกที่ปลายนิ้วของตน ยังไม่เห็นแม้แต่น้อยว่ามันจะกลายเป็นการโจมตีที่รุนแรงไปได้อย่างไร ชายหนุ่มจึงยกมือขวาขึ้นและโบกหนึ่งที
เส้นหมอกที่วนรอบนิ้วเข้าอยู่นั้น เด่นชัดจนคล้ายงูตัวจิ๋วมากขึ้นในทันที เจ้างูนั้นเต็มไปด้วยพลังปราณที่อัดแน่น ก่อนยิงออกจากปลายนิ้วของเขาและสลายหายไปในอากาศ จึงมองแทบไม่เห็นเลยว่ามันพุ่งไปทางใด กระสุนหมอกนั้นวิ่งเข้าปะทะกำแพง
แรงปะทะไม่ได้ทำให้เกิดเสียงระเบิด หากเป็นเพียงเสียงกระทบเบาๆ เท่านั้น แต่ดวงตาของหวังเป่าเล่อเบิกโพลงขึ้นในทันที ชายหนุ่มก้าวถอยหลังไปสองสามเก้า หายใจหนัก รูเล็กเกิดขึ้นที่กำแพงตามขนาดกระสุนของเขา แม้กระสุนจะไม่ได้ทะลุผ่านชั้นหินที่อยู่หลังกำแพงถ้ำที่พักออกไป แต่รูนั้นก็ถือว่าลึกเอาการ หวังเป่าเล่อเข้าไปสำรวจดูใกล้ๆ ความลึกจากกระสุนนั้นมากถึงหนึ่งไม้บรรทัด!
นอกจากนั้นกำแพงหินนี้ก็หาได้เป็นกำแพงหินธรรมดาทั่วไป แต่เป็นกำแพงหินที่ลงอาคมวงแหวนปราณเอาไว้ แต่ถึงกระนั้นกระบวนท่าดรรชนีเมฆาก็ยังทะลุทะลวงเข้าไปได้ถึงสามสิบเซนติเมตร แสดงให้เห็นพลานุภาพของมันอย่างชัดเจน หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก
แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกอ่อนแอลงเช่นกัน พลังปราณราวหกในสิบส่วนของเส้นปราณของเขาถูกใช้หมดไปกับการยิงกระสุนหมอกนี้
หากเป็นคนอื่นในระดับปราณขั้นสอง คงใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แม้แต่ตัวข้าเองยังคงทำได้แทบไม่ถึงสองครั้ง…ช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน! หวังเป่าเล่อรู้ในทันทีว่ากระบวนท่าดรรชนีเมฆานี้จะกลายเป็นไพ่ตายใบใหม่ของเขา
หวังเป่าเล่อขยับตัวด้วยความตื่นเต้น เขาตระหนักอีกครั้งว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อน จึงปล่อยหมัดออกไปในอากาศสองสามที เพื่อทดสอบสมรรถภาพร่างกายตนในด้านความว่องไว แค่เพียงแค่ขยับร่างกายเบาๆ นี้ หวังเป่าเล่อก็แทบจะพุ่งเข้าไปชนกำแพงแล้ว ชายหนุ่มตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนชะงักเท้าค้างไว้ เขายกมือขึ้นยันกำแพงเพื่อพยุงตนเอง
เสียงกระแทกดังสะท้อนออกจากกำแพงราวกับได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง หวังเป่าเล่อรีบถอยหนี สีหน้าตกใจจนพูดไม่ออก
ข้าแข็งแกร่งขึ้นมาก! ไม่เห็นมีใครในเครือข่ายวิญญาณเคยบอกเลยว่า เมื่อบรรลุขั้นปราณแล้วร่างกายจะแข็งแกร่งขึ้นถีงเพียงนี้ แต่ทั้งความเร็วและพละกำลังของข้ากลับมากขึ้นเป็นสองเท่า
หรือจะเป็นเพราะเมล็ดแห่งการดูดกลืน และเส้นปราณที่สมบูรณ์เต็มร้อยของข้ากัน
หวังเป่าเล่อมีความสุขมากเมื่อพบว่าตนเองทรงพลังกว่าผู้ฝึกคนทุกคนในระดับปราณเดียวกัน เขาไม่ได้คิดวิเคราะห์อีกว่าเพราะเหตุใด ทว่ายังไม่ทันได้ทดสอบเพิ่มเติมว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นอีกเพียงใด แหวนสื่อสารของเขาก็สั่นขึ้นเสียก่อน หวังเป่าเล่อ มองลงไปและเห็นว่ามีข้อความอยู่หลายร้อยรอให้เขาอ่าน
ทั้งหมดนี้เป็นข้อความที่ส่งมาค้างไว้ขณะเขาหมดสติไป แม้หวังเป่าเล่อจะฟื้นกลับมาแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่ทันสังเกตเห็นข้อความมากมายเหล่านี้ที่กำลังรอคำตอบอยู่ เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็นึกถึงวัตถุเวทที่ตั้งใจจะทำขายขึ้นมาได้ทันที จึงรีบเปิดข้อความเหล่านั้นดูอย่างรวดเร็ว
หลังตรวจดูคร่าวๆ หวังเป่าเล่อก็หัวเราะอย่างมีความสุขล้น
นอกจากจะมีข้อความสั่งซื้อที่เพื่อนๆ ของเขาส่งมาให้แล้ว ยังมีข้อความอีกมากมายจากศิษย์แปลกหน้าที่เขาไม่รู้จัก หวังเป่าเล่อเปิดดูเรื่อยๆ ดวงตาวาววับด้วยความสุขใจ
รวยไม่รู้เรื่องแล้ว!
ส่วนใหญ่เป็นคำสั่งซื้อเกราะระฆังทองคำกับหุบปาก ไม่ค่อยมีคนสนใจสินค้าชิ้นอื่นมากนัก ดูเหมือนวิธีการโฆษณาจะสำคัญเอาเรื่องเลยทีเดียว
หวังเป่าเล่อเปิดดูข้อความด้วยความตื่นเต้น แต่ก็ชะงักไปด้วยความงุนงง
มีคนขอซื้อถังพลุใบน้อยของข้าด้วยเช่นนั้นหรือ จะเอาไปทำอะไรกัน ไปสารภาพรักหรืออย่างไร
หลังจากที่อ่านข้อความสั่งซื้อทั้งหมด หวังเป่าเล่อก็เกาศีรษะตนเองอย่างตะลึงใจ
จำนวนคนที่สั่งซื้อถังพลุใบน้อยของเขา เป็นรองก็แค่เกราะระฆังทองคำกับ หุบปากเท่านั้น
แต่นี่ก็ทำให้ชายหนุ่มมีความสุขมากอยู่ดี
ดูเหมือนว่ายี่ห้อของข้าจะมีฐานลูกค้าแล้ว แต่ถึงอย่างไรข้าก็ต้องทำให้ยี่ห้อของข้าโด่งดังขึ้นไปอีก ข้าต้องติดตราสัญลักษณ์ไว้ที่สินค้าเพื่อป้องกันของลอกเลียนแบบ!
หวังเป่าเล่อหยิบหยิบเอาวัตถุเวทที่ตนหลอมไว้ทั้งหมดออกมาด้วยความเบิกบานใจ แต่ก็เห็นว่ายังมีไม่พอกับจำนวนคำสั่งซื้อที่หลั่งไหลเข้ามา
หวังเป่าเล่อไม่ได้กังวลเรื่องนี้แต่อย่างใด หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ เขาก็ตัดสินใจได้ว่าจะสลักคำว่า ‘ความสุข’ ลงไปบนสินค้าชุดนี้ทั้งหมด
ข้ามีนามว่าหวังเป่าเล่อ หากใช้วิธีนี้ข้าก็จะสามารถแยกระดับวัตถุเวทออกเป็นหลายระดับได้ ข้าจะสลักคำว่า ‘ความสุข’ ลงไปในสินค้าชุดนี้ หลังจากที่ข้าหลอมสมบัติเวทได้สำเร็จแล้ว ข้าจะสลักคำว่า ‘ทรัพย์’ ลงไป และเมื่อข้าหลอมอาวุธเวทได้ ข้าจะสลักคำว่า ‘ราชัน’ ลงไป!
หากวันหนึ่งข้าสามารถหลอมอาวุธเทพได้ เมื่อนั้นจึงจะคู่ควรแก่การสลักชื่อของข้า ลงไปบนนั้น!
แม้หวังเป่าเล่อจะรู้สึกว่าตราสัญลักษณ์ที่ตนคิดได้นั้นดูยิ่งใหญ่น่าประทับใจ แต่ก็ไม่มีใครรอบกายมาคอยยกยอปอปั้นเขา ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกละห้อยขณะคิดถึงหลิวต้าวปิน
หวังว่าหลิวต้าวปินจะรีบศึกษาวิชาให้แก่กล้าขึ้น และตามมาช่วยข้าได้เสียที ขณะนี้ข้าขาดกำลังคนเหลือเกิน
หวังเป่าเล่อถอนใจขณะสลักคำว่า ‘ความสุข’ ลงบนวัตถุเวททุกชิ้นของเขา ก่อนติดต่อสำนักควบคุมเครือข่ายวิญญาณ เขาจะส่งวัตถุเวทของตนไปที่นั่น เพื่อให้ลูกค้ามารับและชำระเงินที่สำนักนั้นแทน
วิธีการซื้อขายแลกเปลี่ยนนี้ เป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง แม้สำนักจะเก็บค่าธรรมเนียมจากการเป็นตัวกลางซื้อขายอยู่บ้าง แต่วิธีการนี้ก็ทำให้ผู้ขายไม่ต้องพบหน้าผู้ซื้อแบบตัวเป็นๆ รวมถึงยังช่วยตรวจกรองด้วยว่าสินค้าที่นำมาวางขายนี้ เป็นของแท้แน่นอนหรือไม่ ทำให้ช่วยกำจัดปัญหาไม่พึงประสงค์ไปได้ มากพอตัว
นี่แปลว่าผู้ขายเองสามารถขายสินค้าได้โดยไม่ต้องแสดงตัวตนด้วย สำนักควบคุมเครือข่ายวิญญาณจะจัดการให้แน่ใจว่าข้อมูลความเป็นส่วนตัวของผู้ขายและผู้ซื้อ ไม่รั่วไหลแน่นอน
ภายในเวลาไม่กี่วัน สินค้าชุดแรกของหวังเป่าเล่อก็ขายหมดเกลี้ยง ศิลาวิญญาณจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้ากระเป๋า ทำให้เขาต้องเริ่มผลิตสินค้าชุดที่สอง ครึ่งเดือน ผ่านไป หวังเป่าเล่อส่งสินค้าให้ลูกค้าจนครบทุกคำสั่งซื้อ เมื่อเห็นว่าตนเองทำเงินได้มากเพียงใด ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย
วิธีนี้รวดเร็วยิ่งกว่าการหลอมศิลาวิญญาณรุ้งเสียอีก แถมยังไม่เหนื่อยเท่าด้วย…หวังเป่าเล่อมีความสุขล้น ก่อนใช้ศิลาวิญญาณทั้งหมดที่หามาได้ จับจ่ายวัตถุดิบ เพื่อนำมาหลอมวัตถุเวทเพิ่ม ชายหนุ่มเปิดคู่มืออาวุธเวทที่ได้รับมาจากตำหนัก หลังจากเลือกอยู่สักพักใหญ่ เขาก็เลือกวัตถุชุดที่หลอมยากที่สุด เริ่มจากการทำตนเองให้คุ้นชินกับกระบวนการหลอมวัตถุเวทระดับสองชั้นเยี่ยมก่อนเป็นอันดับแรก
ในชุดนี้มีทั้งไม้ตบแมลง ลูกประคำเลอค่า ผนึก เชือก แท่นดอกบัว และอื่นๆ อีกมากมาย
แม้เขาจะเคยหลอมวัตถุเวทระดับสองชั้นเยี่ยมสำเร็จมาก่อน แต่ความเป็นได้ที่จะล้มเหลวก็ยังมีอยู่มาก จึงไม่ถือว่ามีความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง ชายหนุ่มเริ่มปลีกวิเวกอีกครั้ง ตั้งใจจดจ่อกับการหลอมทันที
ไม่นานนัก หวังเป่าเล่อก็รู้สึกได้ว่าฝีมือของเขาพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เขาหลอมทุกสิ่งได้อย่างรวดเร็วและเที่ยงตรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสลักอักขราจารึก ไปจนการสร้างแก่นวิญญาณ ราวกับชายหนุ่มสามารถมองเห็นโครงสร้างภายในของแก่นวิญญาณตรงหน้าได้อย่างแจ่มชัดเพียงแค่ปรายตามอง นอกจากนี้ ขณะที่กำลังสลักอักขระนั้น หวังเป่าเล่อยังไพล่นึกไปถึงภายในของแก่นวิญญาณด้วย เขาสลักอักขระลงไปภายในของแก่นวิญญาณบ้างเช่นกัน
อักขราจารึกของหวังเป่าเล่อแปรเปลี่ยนและยืดหยุ่นมากขึ้น ความเชี่ยวชาญในการแปลงสูตรอักขราจารึกนี้ ทำให้วัตถุเวทของหวังเป่าเล่อพัฒนาคุณภาพขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้วัตถุดิบที่ใช้จะยังคงเดิม แต่แก่นวิญญาณภายในนั้นเรียกได้ว่าแทบจะสมบูรณ์แบบ
พื้นฐานของหวังเป่าเล่อแน่นอยู่แล้ว เมื่อได้ฝึกฝนเพิ่มเข้าไป ความรู้ด้านวัตถุเวทของเขาก็เหนือชั้นกว่าเดิม ทำให้ความเป็นไปได้ที่จะเกิดความผิดพลาดจากวัตถุดิบ การผลิต และการขัดเกลาของชายหนุ่มลดน้อยลงไปอีก อัตราความสำเร็จในการหลอมวัตถุเวทของหวังเป่าเล่อพุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน
คงเป็นเพราะความรู้ที่ข้าได้จากหยดน้ำนั่น! ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายด้วยความสุข
อีกไม่ช้าก็จะเข้าสู่การหลอมสมบัติเวทระดับสามแล้ว ใกล้ความจริงที่จะได้เป็นองครักษ์อาวุธเวทเข้าไปทุกที!
หวังเป่าเล่อเต็มเปี่ยมด้วยความหวัง เขาปลีกตัวออกจากโลกภายนอก และทุ่มเทให้กับการหลอมวัตถุเวทอย่างสุดตัว หนึ่งเดือนผ่านไป กระแสจากการประลองประจำตำหนักการยุทธ์ก็เริ่มซาลง หวังเป่าเล่อก็บรรลุศาสตร์การหลอมวัตถุเวทระดับสองชั้นเยี่ยมได้โดยสมบูรณ์
เมื่อมองไปยังวัตถุเวทที่เรียงรายทอประกายระยับแข่งกันนั้น หวังเป่าเล่อก็ลุกขึ้นยืนระเบิดเสียงหัวเราะกึกก้อง
เขาสามารถหลอมวัตถุได้ด้วยอัตราความสำเร็จเต็มร้อย จากวัตถุเวททั้งหมดที่แสดงอยู่ในรายการของตำหนักอาวุธเวท แม้จะเป็นชุดที่หลอมยากที่สุดก็ตาม!
มีคนอยู่เพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นในตำหนักอาวุธเวทที่ทำได้เช่นเขา แม้กระทั่งในบรรดาองครักษ์อาวุธเวทเองยังมีอยู่ไม่มาก
แปลว่าข้าลองหลอมสมบัติเวทได้แล้วกระมัง หวังเป่าเล่อกลั้นหายใจ สำหรับเขาสมบัติเวทนั้นเต็มไปด้วยพลังอันน่าตื่นตะลึง ถือเป็นขั้นที่แตกต่างจากวัตถุเวท อย่างชัดเจน หากเปรียบวัตถุเวทเป็นเหล็กแล้ว สมบัติเวทก็เปรียบเสมือนเหล็กกล้าอันแสนแข็งแกร่ง!