Skip to content

A World Worth Protecting 161

บทที่ 161 ทรายอาวุธ

เมื่อคิดได้ดังนั้นหวังเป่าเล่อก็อดรู้สึกฮึกเหิมในใจไม่ได้ เขาเปิดแผ่นหยกวิชา    แปรสภาพอาวุธไร้ขอบเขตออกดูทันที หลังจากที่ตรวจทานดูเสร็จ เขาก็หยิบเอาวัตถุดิบและลองหลอมสมบัติเวทดูเป็นครั้งแรก

ข้าขอลองอันง่ายๆ ก่อนแล้วกัน!

ดวงตาหวังเป่าเล่อมีความหมายมั่นอยู่ เขาเปิดดูคู่มือวัตถุเวทที่ได้มาจาก    ตำหนักวัตถุเวทและพบสมบัติเวทชื่อเครื่องสกัดหยดน้ำ ซึ่งถือว่าหลอมง่ายสำหรับสมบัติเวทระดับสาม แม้กระนั้นก็ยังต้องใช้ตัวอักขระถึงหนึ่งแสนตัว

หวังเป่าเล่อถึงกับเงียบงันไปเมื่อเห็นว่าต้องใช้ตัวอักขระมากเพียงใด แต่หลังจากที่ตั้งสมาธิปรับลมหายใจ เขาก็ตัดสินใจจะลองดูสักตั้งหนึ่ง

เวลาผ่านไปห้าวัน หวังเป่าเล่อถอนหายใจออกมายาว เขาต้องยอมแพ้           แก่นวิญญาณของสมบัติเวทนั้นโดยมากแล้วต้องใช้ศิลาวิญญาณอย่างน้อยหนึ่งร้อยชิ้นเพื่อหลอมขึ้น

เนื่องจากต้องใช้ตัวอักขระมากมายเกินไป แถมตัวอักขระเหล่านั้นยังต้องใช้ความรู้ด้านอักขระที่หลากหลาย จึงเป็นการยากเกินไปสำหรับหวังเป่าเล่อ            การทำพลาดแม้เพียงครั้งเดียวอาจส่งผลให้ศิลาวิญญาณสลายไปหมด เท่ากับว่ากระบวนการหลอมล้มเหลวไปโดยปริยาย หลังจากที่ได้ศึกษาสูตรการหลอม          หวังเป่าเล่อก็เห็นว่าขั้นตอนที่สองของการหลอมนั้นยากกว่าวัตถุเวทหลายเท่าตัว

ที่สำคัญที่สุด หวังเป่าเล่อค้นพบว่าแม้ตัวอักขระในสมบัติเวทจะดูคล้ายกับตัวที่ใช้สำหรับวัตถุเวท เขาก็อดรู้สึกตงิดๆ ไม่ได้ว่าพวกมันไม่ใช่ตัวอักขระเดียวกัน             ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่อาจบอกได้ว่าต่างกันเช่นใด

ก่อนหน้านี้ข้าชะล่าใจเกินไป ความรู้ที่ต้องใช้ในการหลอมสมบัติเวทนั้นกว้างใหญ่ไพศาลนัก ข้าจะต้องเรียนรู้และศึกษาเพิ่มอีก!

หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้ว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของเขาไม่ใช่ทักษะการหลอม หากแต่เป็นเพราะว่าเขายังไม่ได้เรียนวิชาของเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงเรื่องสมบัติเวทมากเพียงพอ เพราะฉะนั้นแล้ว ในช่วงวันเวลาต่อจากนั้น หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจเดินทางไปยังโถงต่างๆ ในตำหนักวัตถุเวทเพื่อจะเรียนรู้ทักษะของวิชาแปรสภาพอาวุธไร้ขอบเขตและยังหาวิดีทัศน์และข้อมูลเพิ่มเติมจากในเครือข่ายวิญญาณอีกด้วย      เขายังไปปรึกษาเฉินอวี่ถงบ้างเป็นบางคราว

หวังเป่าเล่อเรียนรู้และซึมซับเอาข้อมูลขั้นสูงของวัตถุเวทเข้าไปราวกับฟองน้ำ ขณะที่เรียนรู้สูตรของสมบัติเวทขั้นที่สามไปในเวลาเดียวกัน

เวลาก็ผ่านไปเช่นนั้น หวังเป่าเล่อเริ่มเข้าใจความแตกต่างระหว่างวัตถุเวทและสมบัติเวทมากขึ้นอย่างช้าๆ

ไม่ว่าจะศิษย์ปีสูงจากโถงต่างๆ หรือเฉินอวี่ถงต่างก็บอกข้าว่าส่วนสำคัญที่สุดของการหลอมสมบัติเวทคืออุณหภูมิและความเปลี่ยงแปลงของตัวอักขระ แต่ว่าข้าก็ยังคงต้องเรียนรู้รายละเอียดปลีกย่อยเพื่อเข้าใจให้ได้ด้วยตนเองอยู่ดี

การจะหลอมสมบัติเวทได้นั้นต้องมีความช่างสังเกตและความเชี่ยวชาญสูงมาก หลักการส่วนมากที่ผู้คนพูดกันเป็นเพียงพื้นฐานเท่านั้น หากข้าต้องการจะทำได้คล่องแคล่วแล้วคงจะต้องเข้าใจวิชาอย่างลึกซึ้งเสียก่อน

หลังจากได้ลองแล้ว หวังเป่าเล่อก็เข้าใจว่าแม้เขาจะรู้หลักการ เมื่อมาปฏิบัติจริง ก็แทบจะทำให้สำเร็จไม่ได้เลยเพราะเขายังไม่เข้าใจได้ถ่องแท้จริงๆ

ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกกังวลแต่ก็รู้ดีว่าจะเร่งรีบไม่ได้ หากไม่มีทางลัดอื่นใด             เขาก็จำเป็นจะต้องค่อยๆ สั่งสมวิชาความรู้อย่างอดทนและเฝ้ารอกระทั่งผลแห่งความสำเร็จนั้นสุกงอมด้วยตัวเองเมื่อถึงเวลา เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อจึงยกให้การหลอมสมบัติเวทระดับสามเป็นเป้าหมายระยะกลางถึงระยะยาวของตนเอง

แต่ข้าจะปล่อยเวลาเสียเปล่าไปไม่ได้ ข้าจะลองหลอมเลยโดยใช้สูตรของแม่นางน้อยได้รึเปล่าหนอ หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้สึกว่าการหลอมวัตถุเวทชักจะยากขึ้นทุกที กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่ถอดใจ เขากลับรู้สึกมีพลังและพรั่งพร้อมกว่าเคย

หลายวันต่อมา หวังเป่าเล่อเรียนศึกษาสูตรการหลอมสมบัติเวทไปพร้อมๆ กับการหลอมฝักกระบี่

เพราะว่าหวังเป่าเล่อเคยชินกับการหลอมวัตถุเวทระดับสองเป็นอย่างดีแล้ว    การหลอมฝักกระบี่ที่เคยยากเย็นสำหรับเขาก็กลายเป็นง่ายเสียเต็มประดา ไม่ว่าจะเป็นศิลาวิญญาณรูปกระบี่หรือจะเป็นตัวอักขระสุดพิสดารที่จะนำไปหลอมเป็นแก่นวิญญาณก็ตาม แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก แต่หลังจากลองผิดลองถูกอยู่หลายหนเขาก็ทำได้

สิบวันผ่านไป หวังเป่าเล่อหลอมแก่นวิญญาณฝักกระบี่ได้สำเร็จ

ยิ่งไปกว่านั้น คุณภาพที่ได้ก็ถือว่าสมบูรณ์แบบ!

เมื่อชายหนุ่มจ้องมองไปยังแก่นวิญญาณรูปร่างเหมือนฝักกระบี่นั้น ดูราวกับว่าถูกห้อมล้อมด้วยแสงสว่าง หวังเป่าเล่อตื่นเต้นเล็กน้อย เขาได้สูตรหลอมฝักกระบี่มาเป็นเวลาสักพักหนึ่งแล้ว แต่ว่าเขาเพิ่งจะมาทำขั้นแรกสำเร็จเอาก็วันนี้

การหลอมฝักกระบี่นี้ยากมาก เป็นรองก็แค่เพียงสมบัติเวทเท่านั้น หวังเป่าเล่อถอนหายใจแล้วตั้งสติ เขาเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบ โดยการผสานรวม    แก่นวิญญาณเข้าไปในวัตถุดิบต่างๆ จะทำให้นำวัตถุเหล่านั้นมาหลอมวัตถุเวทได้

แต่เมื่อถึงขั้นตอนนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้ว่าระดับความยากก็เพิ่มขึ้นอีกขั้น หากเขา  ไม่สามารถทำได้การหลอมวัตถุดิบเองก็อาจล้มเหลว

“ข้าต้องใช้ทรายอาวุธหนึ่งร้อยเม็ด!” หวังเป่าเล่อพึมพำ เขาเห็นวัตถุดิบนี้ตอนที่เขาอ่านสูตรอยู่เมื่อครู่และได้เข้าไปค้นคว้าในเครือข่ายวิญญาณ แต่ทว่าเขาหาข้อมูลเกี่ยวกับทรายอาวุธไม่เจอเลย ไม่ว่าจะในเครือข่ายวิญญาณหรือในรายชื่อวัตถุดิบของตำหนักวัตถุเวท

หวังเป่าเล่อถึงกับไปถามเซี่ยไห่หยาง กระนั้นแม้แต่เขาก็ไม่เคยได้ยินชื่อของสิ่งนี้ ขณะนี้หวังเป่าเล่อจึงสรุปเองว่าทรายอาวุธนี้เป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่ไม่เคยมีการค้นพบในสหพันธรัฐมาก่อน หากต้องการจะได้มามีวิธีเดียวคือต้องถามแม่นางน้อย

เมื่อสรุปได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อจึงหยิบเอาหมอนเวทมายาออกมา แล้วกระโจนเข้าไปในความฝันของตนเพื่อถามนาง

ในครั้งนี้ แม่นางน้อยในหน้ากากนิลไม่ได้ขัดขวางหวังเป่าเล่อแต่อย่างใด หวังเป่าเล่อถามนางก็ตอบทันที ราวกับว่านางรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องมาถาม

ทว่าหลังจากที่ได้คำตอบ สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจ

“สูตรทรายอาวุธหรือ เจ้าทรายอาวุธนี่เป็นวัตถุเวทไม่ใช่วัตถุดิบอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อคิดใคร่ครวญ แม้จะยังสงสัยไม่หายแต่เขาก็ค่อยๆ กระจ่างขึ้นเองทีละน้อย ทรายอาวุธนี้เป็นวัตถุดิบประเภทที่ต้องหลอมขึ้นมาเอง วัตถุดิบที่ใช้หลอมนั้นส่วนมากแล้วก็ไม่มีอะไรมาก วัตถุดิบหลักยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่…ศิลาวิญญาณรุ้งนั่นเอง

“ทำไมข้าถึงรู้สึกราวกับว่าทุกอย่างนี้ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับข้าเรียบร้อยแล้ว  อย่างนี้เล่า” หวังเป่าเล่อหยุดคิดอยู่ชั่วครู่ขณะที่เขาเพ่งมองไปที่หน้ากากนิลอย่าง  ฉงนสงสัย จากนั้นเขาจึงก้มหน้าศึกษาสูตรหลอมทรายอาวุธต่อ

หากว่ากันตามสูตร ทรายอาวุธเป็นวัตถุดิบเวทชนิดพิเศษ หากหลอมได้สำเร็จทรายอาวุธจะมีพลังเวทมากมาย

พลังของมันคือการดึงเอาพลังแฝงที่อยู่ในวัตถุเวทออกมา สามารถแม้กระทั่งเปลี่ยนแปลงวัตถุเก่าๆ ให้มีพลังเวทได้ อย่างไรก็ตาม ทรายอาวุธมีความเสี่ยงสูงในการใช้และต้องควบคุมอย่างเคร่งครัดระหว่างหลอม

ในการหลอมทรายอาวุธจำเป็นต้องหลอมวัตถุดิบทั้งหมดให้อยู่ในสถานะของเหลว หลังจากนั้นต้องใส่ศิลาวิญญาณรุ้งลงไปทันที เพื่อให้วัตถุดิบต่างๆ ซึมเข้าไปและเย็นตัวลง จากนั้นจึงค่อยสลักเอาตัวอักขระที่ปรากฎอยู่ในสูตรลงไปบน          ศิลาวิญญาณ ตัวอักขระเหล่านี้แปลกใหม่มาก หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นมาก่อน

สูตรกล่าวไว้อีกด้วยว่า ตัวอักขระจะทำให้ศิลาวิญญาณจมลงไปแล้วจึงสลายกลายเป็นทรายในที่สุด

ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ทรายอาวุธนั่นเอง

แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะยังไม่ปักใจเชื่อ เขาก็ยังตัดสินใจจะลองทำตามดู หลังจากที่ออกจากมิติเวทมาแล้ว เขาก็รีบซื้อวัตถุดิบตามสูตรการหลอมทรายอาวุธมา       จำนวนมาก แล้วก็เริ่มต้นกระบวนการหลอมทันที

สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว หากไม่คิดถึงปริมาณวัตถุดิบที่ใช้ การหลอมทรายอาวุธถือว่าไม่ยากเท่าใดนัก ทั้งการละลายวัตถุดิบและการสลักอักขระก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี จากนั้นในเวลาเพียงอึดใจหวังเป่าเล่อก็ได้ทรายอาวุธเม็ดแรกของเขามาเป็นที่สำเร็จ

หวังเป่าเล่อวางทรายอาวุธลงบนมือตน พลางยกขึ้นมามองใกล้ๆ เพื่อเพ่งพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอยู่เป็นนาน ทรายอาวุธเม็ดนี้มีสีดำสนิทและไม่โดดเด่น           เอาเสียเลย คนทั่วไปคงเห็นเป็นเพียงทรายธรรมดาเท่านั้น

“เจ้าสิ่งนี้มีพลังเวทอย่างที่แม่นางน้อยพูดจริงๆ หรือ” หวังเป่าเล่อพึมพำ เขาเก็บทรายอาวุธเม็ดนั้นก่อนจะเริ่มหลอมต่อไป

เมื่อเขาหลอมทรายอาวุธทั้งร้อยเม็ดเสร็จสมบูรณ์ หวังเป่าเล่อถึงกับตะลึงไปกับปริมาณของวัตถุดิบที่ใช้ไปทั้งหมด ศิลาวิญญาณเหล่านี้เป็นศิลาวิญญาณรุ้ง หากเป็นใครคนอื่นมาหลอมทรายอาวุธเหล่านี้ ปริมาณวัตถุดิบที่ใช้จะต้องมากมายเกินจินตนาการ แม้กระทั่งตัวหวังเป่าเล่อเอง การหลอมทั้งศิลาวิญญาณและทรายอาวุธใช้พลังของเขาไปอย่างมากจนกระทั่งเขาไม่มีเวลาทำอะไรอย่างอื่นอีก

ข้าหมดศิลาวิญญาณรุ้งไปเป็นร้อยก้อน หวังว่าทรายพวกนี้จะมีพลังจริงๆ นะ

เมื่อเห็นว่าการหลอมทรายอาวุธเกือบจะเสร็จสมบูรณ์ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็วาวโรจน์ขึ้น เขาหยิบเอาแก่นวิญญาณฝักกระบี่ออกมาและเริ่มที่จะผสานรวมเข้ากับวัตถุดิบตามคำอธิบายในสูตร

หวังเป่าเล่อหลอมวัตถุดิบราคาแพงระยับเข้าด้วยกันชิ้นแล้วชิ้นเล่า ในเวลาไม่นานนัก ฝักกระบี่สีน้ำเงินก็เริ่มปรากฎขึ้นจากเปลวไฟตรงหน้าเขา

สิ่งที่น่าตื่นตะลึงก็คือ พลันบังเกิดแรงกดดันขนาดยิ่งใหญ่กว่าวัตถุเวทระดับหนึ่งมาก แผ่ขยายออกมาจากฝักกระบี่ในมือของชายหนุ่ม เมื่อรู้สึกได้เช่นนั้น ตาของ           หวังเป่าเล่อก็เป็นประกาย

ยังไม่เป็นวัตถุเวทเต็มชิ้น พลังวิญญาณก็รุนแรงถึงเพียงนี้แล้ว!

ด้วยความตื่นเต้น หวังเป่าเล่อก็รวบรวมสมาธิจดจ่อกับการหลอมวัตถุดิบอื่นนอกจากทรายอาวุธเข้าไป ในชั่วพริบตา ฝักกระบี่ก็ปรากฎขึ้นมาเป็นชิ้น หวังเป่าเล่อโบกมือขวาของเขา ผสมเอาทรายอาวุธทั้งร้อยเม็ดเข้ากับฝักกระบี่นั้น

ในชั่ววินาทีที่สัมผัสกับฝักกระบี่ ทรายอาวุธก็ละลายกลายเป็นเส้นสีดำแล้วไหลรวมเข้ากับฝักกระบี่ทันที

หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม เขาปลดปล่อยเอาปราณของเขาออกไป ร่างกายและจิตใจของเขาผสานรวมเข้ากับกระบวนการหลอม เขาควบคุมเส้นสีดำเหล่าที่ปรากฎขึ้นจากทรายอาวุธ ค่อยๆ ปล่อยให้มันผสานรวมเข้ากับฝักกระบี่ทีละเล็กทีละน้อย             แม้กระบวนการจะเชื่องช้า แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่กล้าจะละสมาธิออกมา

หกชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว หน้าผากของหวังเป่าเล่อเปียกแฉะไปด้วยเหงื่อ ด้วยความระมัดระวังของเขา เส้นสีดำได้ผสานรวมเข้ากับฝักกระบี่โดยสมบูรณ์       อันที่จริงแล้ว จากการสังเกตของเขา เส้นสีดำชำแรกผ่านวัตถุดิบที่ครอบคลุมฝักกระบี่อยู่เข้าไปสัมผัสกับแก่นวิญญาณภายใน

ขณะที่เส้นสัมผัสเข้ากับแก่นวิญญาณ อักขระที่เขาสลักเอาไว้ก็เรืองแสงจ้าขึ้นและพุ่งขึ้นมาจากแก่นวิญญาณด้วยตัวมันเองราวกับมีชีวิต อักขระทั้งหมดมุ่งตรงมา   สู่พื้นผิว ราวกับว่าอยากจะสัมผัสกับเส้นสีดำทั้งร้อยเส้นนั้น

ตัวอักขระเริ่มแข่งขันกันเอง ค่อยๆ กลืนกินและผสานเข้าด้วยกัน!

เหตุการณ์นี้ทำเอาหวังเป่าเล่อนัยน์ตาเบิกโพลงและร้องตะโกนด้วยความตกใจ

“เกิดอะไรขึ้น”

ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้มด้วยความตกตะลึงเพราะเหตุการณ์ตรงหน้า เส้นสีดำทั้งหนึ่งร้อยแตกละเอียดออกพร้อมกันและผสานเข้ากับฝักกระบี่

หวังเป่าเล่อสะดุ้งลุกขึ้นยืนและขยี้ตา เขาถึงกับต้องเรียกความทรงจำหลายอย่างขึ้นมาเพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้ตาฝาดไป แล้วในที่สุด พร้อมด้วยเสียงหายใจอันหนักหน่วง นัยน์ตาของเขาก็ลุกโชน

ได้ผล!

หวังเป่าเล่อสุดแสนจะลิงโลดใจและเริ่มหลอมแก่นวิญญาณฝักกระบี่และ      ทรายอาวุธเพิ่มทันที หลังจากทำงานไม่หยุดพักติดต่อกันกว่าสิบวัน หวังเป่าเล่อก็เริ่มกระบวนการหลอมรวมซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่ฝักกระบี่จะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา       หวังเป่าเล่อโยนทรายอาวุธเข้าไป โดยใช้พลังทั้งหมดในการควบคุมกระบวนการหลอมรวมนี้

ครั้งนี้เขาเตรียมใจมาพร้อม เมื่อเห็นว่าตัวอักขระเริ่มจะมีชีวิตและเริ่มแย่งกันผสานเข้ากับเส้นสีดำนั้น เขานิ่งกว่าครั้งก่อนแม้ว่าภายในใจจะสั่นไหวอยู่บ้างก็ตาม หวังเป่าเล่อเฝ้าดูภาพตรงหน้าอย่างใกล้ชิดขณะที่ตัวอักขระผสานรวมและกลืนกินกันและกัน กลายมาเป็นตัวอักขระร้อยแบบที่หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นมาก่อน

อักขระเหล่านั้นโจนทะยานและกลืนกินเอาเส้สีดำทั้งร้อยสายเข้าไป ทันใดนั้น   ฝักกระบี่ก็ส่องแสงเจิดจ้า สั่นสะเทือนไปทั้งเตาหลอม หวังเป่าเล่อตกใจถึงขนาดก้าวถอยหลังไปหลายก้าว เขายกมือขวาขึ้นคว้าอากาศ

ฉับพลันแสงสีน้ำเงินก็ทอประกายสว่างวาบ ฝักกระบี่นั้นลอยละล่องจาก         เตาหลอมออกมาลอยอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ ลำฝักสั่นไหวอยู่ไปมา แถมยังปลดปล่อยเอาแรงกดดันอันรุนแรงกว่าวัตถุเวทระดับหนึ่งออกมา ดีไม่ดีอาจจะรุนแรงกว่าวัตถุเวทระดับสองที่สมบูรณ์แบบเสียด้วยซ้ำ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version