บทที่ 193 แตกละเอียด…
เสียงกลองครั้งที่หกดังขึ้น แรงสั่นสะท้านในกายหวังเป่าเล่อพุ่งขึ้นจนถึงขีดสุด เขากระอักเลือดออกมา
เลือดนั้นสีดำสนิท ราวกับว่ามีพิษปนอยู่ในร่างกายของเขา หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนร่างตัวเองเหลวราวกับเต้าหู้เมื่อได้กระอักเลือดออกไป จุดดำที่สายตามองเห็นเริ่มขยายใหญ่ขึ้น
ข้าตีกลองจนจะหมดสติไปแล้วหรือนี่…หวังเป่าเล่อมึนหัว สติเริ่มหลุดลอยออกไป หลังจากผุดความคิดเช่นนั้นขึ้นในหัว ขาก็หมดเรี่ยวแรง ล้มลงเข่ากระแทกพื้น ขณะที่รู้สึกเหมือนจะหมดสติ ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงราวกับมีบางอย่างแตกออกภายในกาย
ปราณวิญญาณปริทะลักออกมา โคจรไปทั่วร่างทันทีที่เกิดเสียง ขณะที่ร่างกายยังคงสั่นไหวไม่หยุด ปราณวิญญาณก็หลอมรวมกับเส้นปราณของหวังเป่าเล่อ ระดับการฝึกตนของชายหนุ่มพุ่งขึ้นสูงในทันใด!
ระดับพลังปราณที่เพิ่มขึ้นเหมือนดังแรงกระตุ้น ชายหนุ่มสะบัดตัวเรียกสติ คืน สัมผัสได้ว่าผลึกแก้วในตัวเขาดูดกลืนแรงสั่นสะเทือนจนเกิดรอยแตกทำให้ ปราณวิญญาณทะลักออกมา ในชั่วอึดใจ เขาบรรลุระดับการฝึกตนขั้นที่สาม อย่างรวดเร็ว
แบบนี้ก็ได้หรือ! หวังเป่าเล่อหายใจถี่ด้วยความประหลาดใจ ฝูงชนส่งเสียงฮือฮาขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าหวังเป่าเล่อจะทรหดเกินไปแล้ว ตีกลองเสียจนกระอักเลือด!”
“หกครั้ง ไม่เคยมีใครตีได้มาก่อน แต่ข้ารู้สึกว่าร่างกายของหวังเป่าเล่อแปลกๆ ไปตอนตีสองครั้งสุดท้าย…”
“เขาหลับตา เกือบล้มลงไปคุกเข่ากับพื้น ข้าเห็นเหมือนว่าเขาจะหมดสติไป”
ฝูงชนยังคงส่งเสียงฮือฮาไม่หยุด พอสังเกตเห็นระดับการฝึกตนที่เพิ่มขึ้นของ หวังเป่าเล่อ เสียงฮือฮาก็ดังขึ้นไปอีก ผู้คนถกกันอย่างเร่าร้อนราวกับพายุรุนแรง
“สวรรค์!”
“ระดับการฝึกตนเขาเพิ่มขึ้นอย่างนั้นหรือ พลังของเขาดูต่างออกไป!”
“ข้ารู้สึกได้ เทียบกับก่อนหน้านี้ ระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้น!”
เสียงพูดคุยถกเถียงอย่างประหลาดใจดังไปทั่วพื้นที่ หลินเทียนหาว เจ้าตำหนัก และรองเจ้าตำหนักต่างหายใจเร็วขึ้น หวังเป่าเล่อตาเป็นประกาย เขายืนสังเกต ระดับการฝึกตนที่เพิ่มขึ้น นัยน์ตาลุกโชติช่วง
ตลอดทั้งชีวิต หวังเป่าเล่อผู้นี้เกลียดการคดโกงเหนือสิ่งอื่นใด ทุกสิ่งอย่างในตอนนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งที่ข้าจะตีได้… หวังเป่าเล่อรำพึงกับตัวเอง ตีห้าครั้งสามารถเรียกผู้อาวุโสชั้นสูงได้ ตีหกครั้งจะเรียกใครมาได้กัน หวังเป่าเล่อต้องเอาให้มั่นใจ ชายหนุ่มสูดหายใจลึก เมล็ดดูดกลืนในกายทำงาน ควบคุมร่างกายเขาให้ ยกมือขึ้น ตีกลองศึกอัญเชิญผู้อาวุโสอีกครั้ง!
ครั้งที่เจ็ด!
ตึง! ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แค่นี้ยังไม่พอสินะ…หวังเป่าเล่อสั่นสะท้านทั้งภายในและภายนอก แรงสั่นถูก ผลึกแก้วในกายดูดกลืนเอาไว้ เขายังไม่ค่อยมั่นใจเท่าใด จึงตีกลองไปอีกครั้ง
ครั้งที่แปด!
แค่นี้คงจะพอกระมัง ถ้าข้าตีต่อ อาจจะบรรลุระดับการฝึกตนขั้นต่อไปก็เป็นได้…หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงรอยปริร้าวที่เพิ่มขึ้นของผลึกภายในกาย เขาหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง แววตาฉายแววมุ่งมั่น ไม่สนใจว่าจะเรียกใครมาได้ ชายหนุ่มยกมือตีกลองอีกครั้ง
ครั้งที่เก้า!
ครั้งที่สิบ!
เสียงกลองก้องกังวาน ทุกคนมองดูด้วยความตะลึงงัน ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆ ทั่วทั้งพื้นที่นิ่งอึ้งไป หลินเทียนหาว เจ้าตำหนัก และรองเจ้าตำหนักต่างตื่นตกใจเช่นกัน ในหัวเกิดเสียงอื้ออึง
ไม่มีใครคาดคิดว่าหวังเป่าเล่อจะตีได้จำนวนมากถึงเพียงนี้ ครั้งหลังๆ นั้น เป็นการตีต่อเนื่อง ร่างกายของเขาดูไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แต่เสียงกลองที่ดังสนั่นขึ้นนั้นเป็นที่ประจักษ์ต่อทุกคน
แต่…เขาไม่ได้หยุดแค่เพียงนั้น!
ครั้งที่สิบเอ็ด สิบสอง สิบสาม…
ขณะที่ทุกคนกำลังตะลึงงันกันอยู่ หวังเป่าเล่อก็ตีกลองเข้าครั้งที่สิบเจ็ด เขายังสามารถตีต่อไปได้ แต่ไม้ตีกลองนั้นรับแรงสั่นสะเทือนไม่ไหว แตกละเอียดออกมาเสียก่อน
ภาพเบื้องหน้าทำให้เหล่าฝูงชนพากันพึมพำออกมา
“ไม้กลองแตกหรือ แม้แต่ไม้ยังแตกละเอียดเลยรึนี่”
“เจ้าหวังเป่าเล่อเป็นปีศาจจำแลงกายมาหรืออย่างไร…”
ขณะที่ฝูงชนตื่นตะลึงก็เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้นอีก เมื่อไม้กลองแตกละเอียดไป หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงรอยร้าวขนาดใหญ่บนผิวผลึกภายในกาย คลื่นปราณวิญญาณขนาดใหญ่ทะลักออกมาท่วมท้นไปทั่วร่าง เขาบรรลุระดับการฝึกตนในทันทีที่ปราณวิญญาณโคจรไปรอบกาย บรรลุจากระดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่สาม… ไปสู่ขั้นที่สี่ในที่สุด!
“อะไรกัน เขาบรรลุระดับการฝึกตน!”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!”
“ช่างการบรรลุระดับการฝึกตนของเขาก่อน ข้าอยากรู้ว่าตีสิบเจ็ดครั้งจะเรียกใครมากัน! คนจากนอกโลกหรือ”
ฝูงชนเริ่มรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงกลับมาได้ ความเงียบพลันหายไป เสียงฮือฮาดังขึ้นทันที หลินเทียนหาวหน้าซีดเผือด ภาพเบื้องหน้ามืดดำ เขาต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อทรงตัวไว้ไม่ให้ล้มลงไปเสียก่อน
เจ้าตำหนักและคณะรองเจ้าตำหนักหายใจอย่างลำบาก เจ้าตำหนักจ้อง หวังเป่าเล่อราวกับเห็นผี เขาคาดเดาไม่ได้เลยว่าหวังเป่าเล่อจะไปได้ไกลเพียงใด…
หากเขารู้ว่าเหตุการณ์เบื้องหน้าจะเกิดขึ้น เจ้าตำหนักคงไม่คิดที่จะข่มหวังเป่าเล่อเอาไว้“สิบเจ็ดครั้ง…จะเรียกใครมากัน” เจ้าตำหนักบ่นพึมพำเสียงขมขื่นอย่าง ไม่สบายใจ
ฝูงชนส่งเสียงตื่นตะลึง หวังเป่าเล่อมองไม้กลองแหลกละเอียดอย่างเสียดาย เขาสัมผัสได้ว่าผลึกภายในร่างไม่ได้สลายหายไปหมด ที่แตกออกไปเป็นเพียงผิวนอกสุดเท่านั้น มันแค่มีขนาดเล็กลงไป จากขนาดเท่าไข่ไก่เหลือเพียงไข่นกกระทา
ข้าตีไปสิบเจ็ดครั้ง…คงจะเรียกคนที่มีความสำคัญมากมาได้… หวังเป่าเล่อกะพริบตา มองฝูงชนที่เริ่มคลายความตื่นตกใจ พวกเขาดูตื่นเต้นยิ่งกว่าตนเสียอีก ชายหนุ่มเห็นหลินเทียนหาวและเจ้าตำหนักหน้าซีดเหมือนเห็นผี ก็เริ่มปีติยินดี ใจพองโตด้วยความอิ่มเอม แต่ก็รู้สึกสงสัยไปพร้อมๆ กัน
ทันใดนั้น เมฆบนฟากฟ้าเบื้องบนตำหนักอาวุธเวทก็หมุนวน รัศมีพลังท่วมท้นทะลักออกมาจากสรวงสวรรค์ในชั่วพริบตา
รัศมีพลังรุนแรงปกคลุมไปทั่วเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง แม้ว่าจะไม่ได้รุนแรงขนาดพลิกสวรรค์ได้ แต่ก็มากพอที่จะปกคลุมทั่วทั้งเกาะ เหล่าศิษย์จากทุกตำหนักต่างตัวสั่นไปถึงทรวงเมื่อเงยหน้าขึ้นมองฟ้า
ฝูงชนบนยอดเขากลางแห่งตำหนักอาวุธเวทสูดหายใจเฮือกใหญ่ หันมองไปทางฟากฟ้าในทันใด หลินเทียนหาวอดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้เช่นกัน สีหน้าของเขาดู สิ้นหวังนัก
บางคนเริ่มคาดเดากันไปต่างๆ นานา เฉินอวี่ถงก็เช่นกัน พวกเขาหายใจถี่รัว มองอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง คณะรองเจ้าตำหนักเหมือนจะรู้ว่าใครกันที่ถูกเชิญมา พวกเขาเงยหน้าขึ้น ตัวสั่นเทิ้ม
เจ้าตำหนักรู้ดีว่าใครเป็นผู้ถูกเชิญมา ความรู้สึกต่างๆ ผสมปนเปอยู่ภายใน หน้าซีดเผือดลงอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความตื่นตกใจของผู้คนทั่วเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง เมฆบนฟ้าหมุนรวมก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายใบหน้าขนาดยักษ์!
ใบหน้ากว้างกินพื้นที่ครึ่งฟากฟ้า ใบหน้านั้นดูยิ่งใหญ่ มากล้นไปด้วยพลัง ใครได้เห็นก็ต้องยำเกรง
ใบหน้ายักษ์มองไปรอบๆ และเลื่อนสายตามาหยุดที่ตำหนักอาวุธเวท มองตรงไปยังยอดเขา มองลึกลงมาที่…หวังเป่าเล่อ!
“ขอแสดงความเคารพท่านผู้อาวุโสสูงสุด!” เจ้าตำหนักและคณะรองเจ้าตำหนักขาสั่นขณะคารวะผู้อาวุโสสูงสุด เฉินอวี่ถงและคนอื่นๆ ต่างพยายามเรียกสติและคารวะออกไปเช่นกัน
เหล่าศิษย์ที่อยู่รอบข้างเห็นเฉินอวี่ถงและพรรคพวกว่าดังนั้น ใบหน้าก็เปลี่ยนไปทันที พวกเขาเคยได้ยินเพียงแค่ชื่อ แต่ไม่เคยได้เห็นผู้อาวุโสสูงสุดตัวเป็นๆ เลยสักครั้ง พวกเขารีบแสดงความเคารพด้วยความตื่นตกใจ
นอกจากตำหนักอาวุธเวท เหล่าศิษย์จากตำหนักอื่นๆ ทั่วเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงก็ทยอยแสดงความเคารพตามกันมาราวกับคลื่นยักษ์
เงากลุ่มคนปรากฏขึ้นบนเกาะเส้นทางสวรรค์ พวกเขามองตรงไปยังเกาะ มหาปราชญ์ชั้นสูง หนึ่งในนั้นคือ รองประมุขสำนักในชุดคลุมสีแดง ข้างกายเขาคือชายรุ่นราวคราวเดียวกัน สวมชุดคลุมสีขาว รอบกายแผ่มวลพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมา ชายผู้นั้นผุดรอยยิ้มอ่อน
จากตำแหน่งที่ยืนแล้ว เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนชุดขาวมีตำแหน่งสูงกว่า
“หวังเป่าเล่ออีกแล้วหรือ ช่างโชคดียิ่ง โลหิตวิญญาณที่กระอักออกมาคงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาตีกลองได้หลายครั้ง จนเรียกผู้อาวุโสสูงสุดออกมาได้” ชายวัยกลางคนชุดขาวพูดเคล้าเสียงหัวเราะ รองประมุขสำนักชุดแดงที่ยืนอยู่ข้างๆ พยักหน้ารับ ก่อนจะพูดยิ้มและเอ่ยตอบ
“ท่านประมุขสำนักคาดคะเนได้ถูกต้อง เจ้าอ้วนน้อยนี่ดูน่าสนใจไม่เบา ข้าสนใจเขาอยู่ไม่น้อย”
ชายวัยกลางคนชุดขาวแท้จริงแล้วคือ ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่ ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ทางฝั่งตำหนักอาวุธเวท หวังเป่าเล่อนัยน์ตา เบิกกว้างขณะมองขึ้นบนฟากฟ้า ในใจท่วมท้นไปด้วยความเกรงกลัว
ใบหน้าบนฟากฟ้าทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับได้พบเจอกับเทพสวรรค์ เขาหวาดเกรงและประทับใจในคาถาเวทที่ใช้เสกหน้าขึ้นบนฟ้า ในใจรู้สึกอิจฉาไม่แพ้กัน
ขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกไม่สบายใจพอคิดถึงตอนที่เขาจัดการกับศิษย์เอกของผู้อาวุโสสูงสุดไปก่อนหน้านี้ ความกังวลเริ่มก่อตัวอยู่ภายใน ชายหนุ่มสูดหายใจลึก บังคับตัวเองให้ก้าวออกไปข้างหน้าและประสานมือคำนับ “ศิษย์ผู้นอบน้อมขอแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสสูงสุด!
“นี่คือปืนใหญ่เป่าเล่อที่ศิษย์ผู้นอบน้อมคิดค้นและหลอมขึ้นมา ข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากปืนใหญ่สวรรค์ของปราการกองทัพนักรบ แต่เจ้าตำหนักกลับไม่ให้ค่าสมบัติเวทชิ้นนี้ ถึงกลับพูดเป็นนัยว่ามีค่าไม่ต่างกับเศษขยะ ศิษย์ผู้นอบน้อมยอมรับการตัดสินนี้ไม่ได้…
“ข้าขอความกรุณาให้ท่านผู้อาวุโสสูงสุดช่วยตรวจสอบประเมินปืนใหญ่ของข้าด้วยตัวท่าน!” หวังเป่าเล่อชี้ไปทางปืนใหญ่เป่าเล่อ ไม่อ้ำอึ้งใดๆ รีบพูดขึ้นเสียงดัง ฟังชัด หลังจากพูดจบ เขาก็ประสานมือคารวะลงอีกครั้ง!
แม้จะมีความกังวลสุมอยู่เต็มอก สำหรับหวังเป่าเล่อผู้เจ้าคิดเจ้าแค้นนั้น เมื่อโอกาสมาถึง ก็ต้องแก้แค้นให้สาสม และตอนนี้ก็ได้เวลาแก้แค้นแล้ว!
เจ้าตำหนักอาวุธเวทเกือบหลุดปากก่นด่าหวังเป่าเล่อออกไป เขาไม่เคยพูดเลยว่าปืนใหญ่นั่นเป็นเหมือนเศษขยะ หวังเป่าเล่อโกหกหน้าซื่อ ทำให้เขาดูเลวร้ายเกินจริง!
เจ้าตำหนักชักอยู่ไม่เป็นสุข ด้วยกังวลหนักจากการประท้วงของหวังเป่าเล่อ ขณะที่เขาพยายามจะแก้ตัวอธิบายสถานการณ์ออกไป ใบหน้าบนฟากฟ้าก็มองลงมาด้วยสายตาแหลมคมทิ่มแทง เจ้าตำหนักกลืนคำแก้ตัวลงคอ สายตาของใบหน้าบนฟากฟ้าเลื่อนมาหยุดยังปืนใหญ่เป่าเล่อที่หวังเป่าเล่อหลอมขึ้น
ความเงียบเข้าปกคลุมตำหนักอาวุธเวท ทุกคนหยุดหายใจ มองภาพตรงหน้า ด้วยความหวาดเกรง เจ้าตำหนักและคณะรองเจ้าตำหนักต่างเป็นกังวล ส่วนหลินเทียนหาวนั้นหน้าซีดเผือด…
สายตาของใบหน้าบนฟากฟ้ามองทะลุปืนใหญ่เป่าเล่อ รับรู้ได้ถึงโครงสร้างภายในและอักขราจารึกที่ใช้สลัก นัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ หลังจากตรวจสอบปืนใหญ่อย่างละเอียด ใบหน้าก็เลื่อนสายตาออกจากปืนใหญ่ เสียงทรงอำนาจดังก้องสนั่นเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง
“ยอดเยี่ยม!”