Skip to content

A World Worth Protecting 194

บทที่ 194 ชีวิตใครโกงกว่ากัน

วาจาของเขาเหมือนดั่งประกาศิตบงการฟ้าดิน!

เจ้าตำหนักพลันดูหมดเรี่ยวแรง ใบหน้าของเขาซีดเผือด รีบก้มหน้าคารวะ      คณะรองเจ้าตำหนักก็รีบทำตามเช่นเดียวกัน

แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่เกี่ยวกับพวกเขา แต่ฝูงชนก็เฝ้าดูการต่อสู้พลิกชะตาของผู้น้อยอย่างหวังเป่าเล่อมาตั้งแต่ต้น แทบทุกคนรู้สึกยินดีราวกับว่าได้รับชัยชนะเองและรู้สึกฮึกเหิมไปด้วยเช่นกัน พวกเขาต่างคำนับให้กับฟากฟ้าอีกครั้ง

หลินเทียนหาวรู้สึกราวกับถูกสูบเอาวิญญาณออกไปจากร่าง ในใจแบกรับ      ความขมขื่นมากล้นราวมหาสมุทร เสียงรอบข้างฟังดูอยู่ไกลออกไป เขาหันไปมอง   หวังเป่าเล่อด้วยความตะลึงงัน สีหน้าบ่งบอกว่าชายหนุ่มรู้สึกหมดหนทาง

ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ปรากฏย้อนขึ้นมาในหัว ตั้งแต่ได้เจอหวังเป่าเล่อครั้งแรก เขามีเรื่องกับหวังเป่าเล่อหลายต่อหลายครั้งแต่ก็พ่ายแพ้ไปทุกครา ความคิดที่         ไม่คุ้นเคยเริ่มผุดขึ้นมาในใจ

ข้าคิดมาตลอดว่าชีวิตของข้าช่างโกงกว่าใครเขา…ถึงกระนั้น ข้าก็ยังเอาชนะ    หวังเป่าเล่อไม่ได้ ชายผู้นี้…ต้องมีชีวิตที่โกงเหมือนกันแน่! จะไปทำให้เจ้านั่นขุ่นเคืองไม่ได้ ให้เจ้านั่นขุ่นเคืองไม่ได้…หลินเทียนหาวรู้สึกสิ้นหวังท่ามกลางความทุกข์สุด      ขมขื่นภายในใจ

ฝ่ายหวังเป่าเล่อกลับเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม เขารีบประสานมือและ         โค้งคำนับให้ฟากฟ้าพร้อมกับพูดเสียงดัง “ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสสูงสุด!               ผู้อาวุโสสูงสุดให้การตัดสินยุติธรรมที่สุด ท่านซื่อตรงต่อคำพูด รู้ว่าสิ่งใดคือ ความจริง การกระทำของท่านถือเป็นที่สิ้นสุด!”

ขณะหวังเป่าเล่อก้มหัว ใบหน้าบนฟากฟ้าเหมือนจะเหลือบมองหวังเป่าเล่อ รอยยิ้มบางๆ สังเกตเห็นได้ยากผุดขึ้น ใบหน้าบนฟากฟ้าเริ่มพร่ามัวกลืนหายกลับเข้าไปในกลีบเมฆ

รัศมีพลังมากล้นบนฟากฟ้าเริ่มจางหายไป เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงกลับคืนสู่ปกติ หวังเป่าเล่อรู้สึกกระปรี้กระเปร่า หันมองไปทางเจ้าตำหนักทันใด

“เจ้าตำหนัก รีบประกาศผลอันดับใหม่เสียที!”

ไหนๆ ก็หมดสิ้นความเกรงใจซึ่งกันและกันแล้ว หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้พยายามรักษาความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา หรือแม้แต่พยายามทำตัวนอบน้อมอีกต่อไป      พอชายหนุ่มพูดออกไป ใบหน้าของเจ้าตำหนักก็เคร่งเครียดขึ้นอย่างหนัก หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ชายวัยกลางคนก็สูดหายใจลึก ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“การทดสอบองครักษ์อาวุธเวทรอบนี้ หวังเป่าเล่อ…ได้อันดับหนึ่ง!” พูดจบเขา    ก็หันกลับออกไปด้วยสีหน้าตึงเครียด คณะรองเจ้าตำหนักมองหน้ากันสลับกับหันมองหวังเป่าเล่อ พวกเขาส่ายหัวพร้อมกับถอนหายใจ ก่อนจะพยักหน้าให้ราวกับ            จะขออภัยในสิ่งที่เกิดขึ้นและแสดงความเป็นมิตร จากนั้นก็กลับตามออกไป

เห็นเจ้าตำหนักและคณะรองเจ้าตำหนักกลับออกไป เฉินอวี่ถงเดินตรงมาหาด้วยความดีใจยิ่งพร้อมกับกล่าวแสดงความยินดี หวังเป่าเล่อหัวเราะเสียงดังและ          เริ่มทักทายผู้คนรอบๆ กล่าวขอบคุณท่ามกลางเสียงพูดคุยและหัวเราะอย่างสนุกสนาน ชายหนุ่มเข้ากับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี ไม่นานก็เริ่มหัวเราะหยอกล้อกันกับ  ทุกคน หลังจากพูดคุยกับทุกคนต่ออีกเล็กน้อย หวังเป่าเล่อก็กลับถ้ำที่พักไป

หวังเป่าเล่อไม่ได้เหลือบมองหลินเทียนหาวแม้แต่น้อย หลินเทียนหาวดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่หวังเป่าเล่อสื่อ เขากลับออกไปอย่างเงียบเชียบ ยอมจำนนให้กับโชคชะตาของตน

ผ่านไปหลายวัน มีการระบุสิทธิ์เข้ารับตำแหน่งในที่ทำการชั้นนำไว้ในประวัติของหวังเป่าเล่อ จากนั้นก็มีประกาศแต่งตั้งและเคลื่อนย้ายรองเจ้าตำหนักประจำ     ตำหนักอาวุธเวทออกมา

ในหมู่รองเจ้าตำหนักทั้งสี่ มีคนหนึ่งย้ายออกจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ไปประจำการในสหพันธรัฐ และเฉินอวี่ถงก็ได้เลื่อนขึ้นมาเป็นรองเจ้าตำหนักแทน!

ส่วนตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายปกครองสำนักที่ว่างอยู่นั้น เหล่าองครักษ์ที่มากทั้งประสบการณ์และระยะงานต่างแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งนี้ ปกติต้องเกิดการต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งเป็นการใหญ่ หรือไม่ก็อาจจะถูกปล่อยให้ว่างไปนานจากการแข่งขันที่ไม่จบสิ้น แต่ผลงานอันยอดเยี่ยมของหวังเป่าเล่อรวมถึงสิทธิ์เข้ารับตำแหน่งในที่ทำการชั้นนำของเขาทำให้อาจารย์ของเฉินอวี่ถงและอาจารย์ใหญ่สามารถยุติการแข่งขันลงอย่างง่ายดาย หวังเป่าเล่อได้เลื่อนขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งสูงสุดในฝ่ายปกครองสำนักโดยแทบไม่มีอุปสรรคใดเลย

สำหรับพวกเขาแล้วถือเป็นโชคสองชั้น แม้ว่าการแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งผู้อาวุโสชั้นสูงประจำตำหนักอาวุธเวทจะยังคงดำเนินอยู่ แต่ผู้เข้าชิงตำแหน่งก็ลดลงเหลือ   สามคน มีเพียงผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าเท่านั้นที่จะสามารถให้การช่วยเหลือหรือเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด แม้หวังเป่าเล่อจะอยากช่วย แต่ก็ไม่มีอะไรที่ชายหนุ่มสามารถทำได้

หลังจากฉลองความสำเร็จกับเฉินอวี่ถง หวังเป่าเล่อก็ได้รับแต่งตั้งให้ประจำการฝ่ายปกครองสำนักอย่างเป็นทางการ

วันแรกของการเข้ารับตำแหน่ง หวังเป่าเล่อเก็บกวาดถ้ำที่พัก มองกระจกเห็นเงาสะท้อนตนเองในชุดคลุมองครักษ์ในหลายท่วงท่า เขาถอนหายใจขึ้นด้วยความสลดใจ

ข้าช่างสมบูรณ์แบบเกินไปเสียแล้ว…

หวังเป่าเล่อจมอยู่กับความสลดใจเช่นนั้นสักพัก ก่อนจะออกจากถ้ำที่พัก มุ่งหน้าไปยังฝ่ายปกครองตำหนัก เขาเห็นศิษย์ผู้หญิงแสนสวยหลายคนยืนรออยู่หน้าประตูฝ่ายปกครองสำนัก พวกนางมาแสดงความยินดีพร้อมกับแผ่นป้ายเขียนให้กำลังใจ   หวังเป่าเล่อ

หัวหน้าศิษย์ฝ่ายปกครองกลุ่มหลักทั้งสี่ของฝ่ายปกครองสำนักมายืนรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อ โจวเผิงไห่เป็นผู้แรกที่ก้าวเข้าไปหา ที่เหลือก็ตามมาไม่ห่าง จากนั้นก็กล่าวทักทายหวังเป่าเล่อด้วยความเคารพ

“ขอแสดงความเคารพท่านองครักษ์อาวุธเวท!”

หัวหน้ากลุ่มทั้งสี่ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับหวังเป่าเล่อ เขายิ้มพร้อมกับพยักหน้าให้ หันไปมองกลุ่มหญิงสาวและแผ่นป้ายของพวกนาง ภายในใจปลื้มปีติยิ่งนัก            แต่ภายนอกแสร้งทำหน้าเคร่งขรึม

“พวกเจ้า…อย่าให้มีการเอะอะเช่นนี้อีก” หวังเป่าเล่อดุบรรดาหัวหน้าศิษย์      ฝ่ายปกครอง

โจวเผิงไห่เห็นด้วยในทันที หัวหน้ากลุ่มอีกสามคนรีบสำนึกการกระทำของตน พวกเขาเดินรอบล้อมหวังเป่าเล่อตลอดทางเข้าไปในโถงหลัก ศิษย์ฝ่ายปกครองสำนักรีบทักทายหวังเป่าเล่อด้วยความยำเกรงทันทีที่ได้เห็นเขา

หวังเป่าเล่อมาถึงโถงกลางด้วยการต้อนรับอย่างนอบน้อม เมื่อชายหนุ่มนั่งลง    โจวเผิงไห่ก็รีบเตรียมน้ำชามาบริการทันที เขายืนข้างๆ หวังเป่าเล่อ เอ่ยรายงานสถานการณ์ต่างๆ ในฝ่ายปกครองสำนักเสียงต่ำ

หวังเป่าเล่อพยักหน้ารับเป็นพักๆ ระหว่างฟังโจวเผิงไห่รายงาน เมื่อสิ้นสุด      การรายงาน เขาก็ยกแก้วน้ำชาขึ้น โจวเผิงไห่รีบก้มหัวให้และกลับออกไป หวังเป่าเล่อวางแก้วน้ำชาลงทันทีและยืนขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย ชายหนุ่มเดินตรวจตรา     โถงหลัก จับนั่น สัมผัสนี่ ดูเขาพึงพอใจเป็นอย่างมาก

แม้ตำแหน่งข้าจะเปลี่ยน แต่ข้าก็ต้องฝึกตนและเริ่มหลอมสมบัติเวทอย่างหนักเช่นเคย หวังเป่าเล่อกลับไปนั่งบนเก้าอี้นุ่มสบาย หยิบขนมขึ้นมากิน ระหว่าง        เคี้ยวขนมอยู่ เขาก็เริ่มครุ่นคิดถึงอนาคตเบื้องหน้า

ข้าบรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่สี่แล้ว จากนี้ ข้าต้องฝึกตนให้หนักกว่าเดิมเพื่อบรรลุขั้นสูงสุดของระดับลมหายใจเที่ยงแท้ให้จงได้…หลังจากนั้นข้าจะได้เตรียมการสำหรับขั้นรากฐานตั้งมั่นเสียที เขานึกถึงความองอาจของผู้ฝึกตน           ขั้นรากฐานตั้งมั่นที่ได้เห็นในการต่อสู้ที่ปราการ ในใจหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วย         ความปรารถนาอยากก้าวไปอยู่ในจุดเดียวกัน

ข้าจะละเลยการหลอมสมบัติเวทไปไม่ได้เช่นกัน…ข้าต้องศึกษาเรื่องสมบัติเวทระดับสี่ด้วย

ส่วนเขี้ยวมังกร ข้าควรรวบรวมวัสดุให้ได้เพียงพอ หากหลอมออกมาได้เป็น   สมบัติเวทระดับสี่ คงจะมีพลังมากทีเดียว…อีกทั้งข้ายังมีเขี้ยวอสูรขั้นกำเนิดแก่นใน     ที่แม่ทัพโจวสัญญาไว้ ยังไม่มาถึงเสียที…หรือว่าจะลืมกันไปแล้ว หวังเป่าเล่อนึกขึ้นได้   ก็ยืดหลังขึ้นตรงทันที เขาไม่รู้ว่าควรส่งข้อความไปย้ำเตือนดีไหม

ช่างเถอะ ไปเร่งก็คงจะดูไม่ดี รออีกสักหน่อยแล้วกัน ถ้ายังไม่มีของส่งมา          ข้าค่อยหาข้ออ้างไปเยี่ยมปราการเป็นการส่วนตัว

หลังจากตัดสินใจได้ว่าควรทำอย่างไร หวังเป่าเล่อก็เรียกสี่หัวหน้าศิษย์           ฝ่ายปกครองกลุ่มหลักมารวมตัวอีกครั้ง เขาสั่งการนิดหน่อยก็กลับออกจาก            ฝ่ายปกครองสำนัก เมื่อกลับมาถึงถ้ำที่พัก ชายหนุ่มก็เริ่มฝึกตนต่อทันที

เวลาผ่านไป ทุกสิ่งเป็นไปอย่างราบรื่น สองสัปดาห์ต่อมา หวังเป่าเล่อก็หลอมเขี้ยวมังกรสำเร็จ

เขาตรวจสอบสมบัติเวทรูปทรงคล้ายกระบองตรงหน้า ชายหนุ่มออกจากสำนักไปทดสอบสมบัติเวทชิ้นนี้ในบริเวณรกร้าง หวังเป่าเล่อมองสมบัติเวท สังเกต        คลื่นวิญญาณและรังสีทำลายล้างที่แผ่ออกมาเมื่อถือไว้ในมือ น่าเสียดายที่เขายังไม่ได้เขี้ยวราชันอสูรมา แต่เท่านี้หวังเป่าเล่อก็พึงพอใจเป็นอย่างมากแล้ว

ได้เขี้ยวราชันอสูรมาเมื่อไหร่ ค่อยเสริมแต่งเพิ่มอีกนิด พลังคงจะเพิ่มพูนขึ้นมากทีเดียว

เขาเก็บเขี้ยวมังกร เดินขึ้นเรือบินทรงหยดน้ำ มุ่งหน้ากลับเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง

เมื่อกลับเข้ามาในเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง มุ่งหน้าเข้าไปใกล้ตำหนักอาวุธเวท เกือบทุกคนที่สังเกตเห็นหวังเป่าเล่อก็จ้องมองเขาแล่นเข้ามาใกล้ หลายคนทักทายเขา หวังเป่าเล่อยิ้มและพยักหน้ารับการทักทายของผู้คนเหล่านั้น ในใจรู้สึกปลาบปลื้ม

หลังจากได้ขึ้นเป็นองครักษ์อาวุธเวทภายใต้ฝ่ายปกครองสำนัก ตำแหน่งและท่าทีของผู้คนที่เปลี่ยนไปทำให้เขาอารมณ์ดีอยู่ตลอด ยิ่งกับกลุ่มศิษย์หญิงแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงสายตาหว่านล้อมของพวกนางหลายคน

ข้ากลับมารู้สึกเหมือนตอนที่อยู่เกาะมหาปราชญ์ชั้นรองอีกครั้ง ความรู้สึกได้เป็นจุดสนใจอยู่ตลอดเวลา สำหรับเหล่าหญิงสาวแล้ว…ข้าเข้าใจความรู้สึกของพวกนางดี คงเป็นเรื่องยากที่จะหาใครเหมือนข้า ผู้ที่ทั้งหล่อ รวย เยาว์วัย แถมยังมีพลัง         มากล้นในมือ

ถ้าเป็นคนอื่นคงจะชูคอวางท่ายโสโอหังไปแล้ว ไม่ได้ขยันบากบั่น ทำตัวสุภาพอ่อนน้อมเช่นข้า หวังเป่าเล่อคิด เขาเพิ่งค้นพบข้อดีอีกข้อของเขา นั่นก็คือ          ความอ่อนน้อมถ่อมตน

ขณะที่กำลังจมอยู่กับห้วงความคิดและกำลังจะเร่งเรือบินกลับถ้ำที่พัก เขาก็ได้ยินเสียงร้องคำรามที่คุ้นเคยจากฟากฟ้าห่างออกไป สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปในทันที หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นรูปร่างแสนคุ้นตากำลังพุ่งเข้ามาจากไกลๆ

เจ้าวานรเพชรนั่นเอง

เหมือนว่าเจ้าวานรเพชรจะแอบสังเกตการณ์หวังเป่าเล่อมาพักใหญ่ แม้เขาจะเปลี่ยนเรือบิน วานรเพชรก็จำหวังเป่าเล่อได้ทันที มันปล่อยมือมาตะปบเรือบิน    อย่างไม่ลังเลใจ

โดนซุ่มโจมตีอีกแล้ว! หวังเป่าเล่อหวาดกลัวและโมโหพร้อมๆ กัน โชคดีที่เขา  รอดพ้นการซุ่มโจมตีของวานรเพชรมาแล้วหลายครั้ง จึงคอยระแวดระวังรอบตัวตลอดเวลาจนเป็นนิสัย ยิ่งเขาได้บรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่สี่ด้วยแล้ว        การตอบสนองของเขาก็ไวขึ้นกว่าเดิม แม้วานรเพชรจะเงื้อมือมาตะปบข้างลำเรือบิน หวังเป่าเล่อก็สามารถขับหลบ รอดพ้นจากการโจมตีไปได้หลายครั้ง หลังจากลงจอดอย่างทุลักทุเล หวังเป่าเล่อก็วิ่งออกมาด้วยความหงุดหงิด จ้องไปบนฟ้าอย่างขุ่นเคือง

วานรเพชรบนฟ้าเห็นการตอบสนองที่ว่องไวของหวังเป่าเล่อก็รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก มันแยกเขี้ยวใส่ชายหนุ่ม จากนั้นก็หันหลังส่ายบั้นท้ายล้อเลียน ก่อนจะบินกลับตำหนักฝึกอสูรด้วยท่าทีชิงชัง

ศิษย์อาวุธเวทหลายคนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด พวกเขาต่างพยายามเก็บซ่อน  ความขบขันอยากล้อเลียน แม้จะไม่มีใครพูดคุยถึงเหตุการณ์อย่างเปิดเผย แต่เรื่องราวระหว่างหวังเป่าเล่อและวานรเพชรก็ติดอยู่ในใจใครหลายคน

หวังเป่าเล่อมองวานรเพชรทำหน้าตาล้อเลียน ก่อนจะรู้ตัวว่าผู้คนรอบข้างได้เห็นเหตุการณ์น่าขายหน้านี้ เขารู้สึกว่าชื่อเสียงของเขากำลังสั่นคลอน เหตุการณ์สุดอัปยศทั้งครั้งนี้และครั้งก่อนๆ ผุดขึ้นในหัว ชายหนุ่มหรี่ตาเล็กลง

เจ้าลิงไร้ยางอาย ถึงเวลาที่เจ้าจะได้ลิ้มรสฝีมือที่แท้จริงของข้า!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version