Skip to content

A World Worth Protecting 216

บทที่ 216 ระเบิดกำเนิดดวงดารา

ไม่มีใครในสหพันธรัฐรู้ว่าชายวัยกลางคนในชุดดำกลับมาเกิดใหม่ หวังเป่าเล่อที่อยู่บนเรือบินซึ่งกำลังลงจอดในค่ายนักรบยิ่งไม่ต้องพูดถึง

เรือบินจอดลงนอกนครหลวงของสหพันธรัฐ บริเวณนั้นเขียวชอุ่มเหมือนแดนภูตพรายที่ใดสักแห่งใต้หมอกหนา สายน้ำที่ไหลผ่านดินแดนเจือด้วยปราณวิญญาณและ         มีรสชาติหวานละมุน

ในบริเวณหมอกปกคลุมมีค่ายนักรบอยู่มากมายต่างขนาดกันออกไปกำลังทำหน้าที่ของใครของมัน แต่ละค่ายมีปฏิสัมพันธ์กันเล็กน้อย และดูท่าจะทำงานแยกออกจากกัน

เหล่าพันธุ์กล้าของสหพันธรัฐกำลังมุ่งหน้าไปยังค่ายนักรบที่เรียกกันว่าค่ายที่สิบเก้า!

ค่ายที่สิบเก้าตั้งอยู่ในระยะประมาณร้อยหกสิบกิโลเมตรจากนครหลวงของสหพันธรัฐ ค่ายอยู่บนสันเขาที่เตี้ยลงมาระหว่างภูเขาสองลูก และมีลำธารสายเล็กๆ ไหลผ่าน สองฟากลำธารคือพื้นที่โล่งกว้างและมีที่พักนักรบนับร้อยตั้งขึ้นมา ในค่าย   ยังมีเครื่องมือฝึกตนที่ล้ำหน้าที่สุดในสหพันธรัฐ มองอีกมุมหนึ่งก็เรียกได้ว่ามีสวัสดิการครอบคลุมด้านการฝึกตนอย่างดีเยี่ยม

บุคลากรจากกองทัพจำนวนมากมารอพวกเขาอยู่แล้วตอนเรือบินของหวังเป่าเล่อและคณะเดินทางลงจอด พวกเขาดูเคร่งขรึมไร้อารมณ์เมื่อเทียบกับบรรดาพันธุ์กล้านับร้อย ซึ่งดูกระตือรือร้นและยังไม่หายตื่นเต้นกัน

เมื่อแนะนำตัวเสร็จก็ไม่ได้มีใครมาหยิบยื่นมิตรไมตรีให้ คนของกองทัพทิ้ง    คณะเดินทางเอาไว้กับสถานที่ตั้งค่ายทางตะวันตกเฉียงเหนือ พื้นที่บริเวณนั้น      ค่อนข้างใหญ่ สิ่งอำนวยความสะดวกก็เบ็ดเสร็จ แต่ไม่มีห้องนอนเดี่ยว พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ออกนอกบริเวณค่ายตามอำเภอใจ ทั้งหมดแบ่งออกเป็นสองค่าย     นักรบใหญ่ๆ ตามเพศของพันธุ์กล้า

แม้จะภูมิใจที่ได้เป็นพันธุ์กล้าหนึ่งร้อยต้นของสหพันธรัฐ แต่พวกเขาก็เป็นคนมีไหวพริบพอ ถึงจะปิดบังความรู้สึกตัวเองได้ไม่ทั้งหมด แต่พวกเขาก็เก็บสิ่งที่คิดไว้ในใจ แล้วยอมรับการดูแลของกองทัพแต่โดยดี

ก่อนจะแยกตัวไป ใครคนหนึ่งจากกองทัพนักรบกวาดตามองพวกเขาปราดเดียวแล้วพูดออกมาอย่างใจเย็น

“สัปดาห์หน้าจะมีคนมาสอนเคล็ดเวทระเบิดกำเนิดดวงดาราให้พวกเจ้า         ตามหลักการแล้ว พวกเจ้าห้ามถ่ายทอดเคล็ดเวทนี้ต่อให้คนนอกโดยเด็ดขาด       เรื่องแบบนั้นสหพันธรัฐอาจจะห้ามไม่ให้เกิดขึ้นก็คงเป็นไปไม่ได้ ทว่า…หากโดนจับได้ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหนก็ตาม โทษสถานเดียวคือประหารชีวิต!”

หวังเป่าเล่อหรี่ตาเมื่อได้ยินถ้อยคำนั้นแล้วจำฝังใจ แต่พันธุ์กล้าหนึ่งร้อยคนรอบเขาดูไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดนั้นเลย

“ทีนี้กลับไปพักผ่อนเสีย พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากพื้นที่นี้ พรุ่งนี้เช้าหลังจากได้รับแจ้งเตือน จงมารวมกันตรงนี้ภายในสามสิบวินาที!” ชายหนุ่มจากกองทัพผู้นั้นไม่สนว่าพันธุ์กล้าของสหพันธรัฐจะคิดเช่นไร พอพูดจบแล้วก็หันหลังจากไปทันที

ก่อนที่ชายผู้นั้นจะไป เหมือนว่าสายตาเขาจะเหลือบมองมายังหวังเป่าเล่อเล็กน้อย

เขามองข้ารึ หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ รู้สึกว่ากองทัพต้องมีบางอย่างกับตนเองเป็นแน่ เขาตามพันธุ์กล้าผู้ชายคนอื่นเข้าไปในที่พักนักรบทั้งที่ยังไม่หายสงสัย

ภายในที่พักค่อนข้างกว้าง มีเตียงกว่าร้อยเตียง สะอาดเรียบร้อยและไม่ค่อยมีเครื่องตกแต่งอะไรนัก ผนังทาด้วยสีฟ้ากับขาว เมื่อยืนอยู่ในที่พักจึงให้ความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกของระเบียบวินัยที่ต้องปฏิบัติตามเช่นกัน

ทุกคนรีบเลือกเตียงของตัวเองแล้วเริ่มทำความรู้จักกันและกัน เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนเริ่มคุ้นเคยกันมาแล้วในระหว่างรอบคัดเลือก เสียงหัวเราะพูดคุยดังขึ้นเรื่อยๆ       ไม่นานทุกคนก็ผละจากเตียงตัวเองไปกระจุกรวมกลุ่มตรงที่คนอื่นอยู่ พลางทักทายและแบ่งปันเรื่องราวน่าสนใจต่างๆ ร่วมกัน

มีเพียงหวังเป่าเล่อกับกงเต๋า ซึ่งเป็นสองคนที่ผ่านการคัดเลือกพิเศษเท่านั้นที่อยู่นอกวงโคจร คนอื่นๆ ดูเหมือนจะกีดกันและเมินเฉยต่อพวกเขากันโดยไม่รู้ตัว

กงเต๋าดูชินชากับท่าทีเช่นนี้ของคนอื่นแล้ว ชายหนุ่มเป็นคนสันโดษโดยธรรมชาติและไม่สนสายตาคนอื่นนัก เขานั่งลงขัดสมาธิอย่างเยือกเย็นและยโสโอหัง

ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นนิสัยชอบผูกมิตรอยู่แล้ว พอเห็นจั่วอี้ฟานก็เริ่มเข้าไปคุยกับคนอื่นด้วย กระนั้นเขาก็ถึงกับหรี่ตาลง เมื่อเห็นว่าภายใต้ท่าทางสุภาพมีการศึกษาของคนเหล่านั้น แฝงไปด้วยความดูแคลนซึ่งกันและกันซ่อนอยู่

เขาครุ่นคิดเป็นการใหญ่ว่าจะประกาศตัวเป็นมิตรกับกลุ่มคนที่พักด้วยกันดีหรือไม่ ทว่ากลับมีเสียงดังมาจากภายนอกที่พักเสียก่อน

“เป่าเล่อ เจ้าอยู่ข้างในนั้นหรือเปล่า”

เสียงนั้นดังขึ้น ชายเจ็ดแปดคนเดินผ่านทางเข้าที่พักมาข้างใน พวกเขาคือบรรดานักรบจากค่ายนักรบแห่งนั้น ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดีทันทีเห็นหวังเป่าเล่อ

“พวกเจ้านั่นเอง!” แผนการของหวังเป่าเล่อหยุดชะงักไป เขามองไปทางคน    กลุ่มนั้นแล้วจำได้ พวกเขาคือนักรบจากปราการย่อยนั่นเอง ชายหนุ่มรีบเข้าไปทักทายอย่างประหลาดใจระคนยินดีพร้อมดึงทุกคนเข้ามากอด

เหล่านักรบลากหวังเป่าเล่อออกจากที่พักและค่าย ท่ามกลางเสียงหัวเราะและสายตาของพันธุ์กล้าทั้งหนึ่งร้อยคนที่จ้องมองมาจากรอบด้าน ไม่ใส่ใจเรื่องข้อห้ามออกจากเขตพิเศษแล้วพาชายหนุ่มไปยังที่พักของพวกเขาทันที

กฎข้อห้ามนั้นไม่มีผลกับหวังเป่าเล่อ เขาได้รับอนุญาตแล้ว กระทั่งนักรบที่เฝ้าบริเวณนั้นอยู่ก็แค่เพียงมองดูเฉยๆ พวกเขาเองคงได้รับแจ้งแล้วเช่นกัน จึงเพียงยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ชายหนุ่มโดยไม่ได้ห้ามทั้งกลุ่มนั้นแต่อย่างใด

หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างออกไป พาให้ใจเขารู้สึกยินดียิ่งนัก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเส้นสายที่ตนเองมีต่อกองทัพทำให้เขาได้สิทธิพิเศษนี้ อันที่จริงเขาคิดว่าปืนใหญ่เป่าเล่อมีส่วนมากทีเดียว

เสียงหัวเราะพูดคุยของพวกเขาดังลั่นไปทั้งค่ายตลอดทาง หวังเป่าเล่อได้รับรู้ว่าหลังเหตุอสูรหลั่งไหลครั้งนั้นสิ้นสุดลง นักรบหลายคนจากปราการชั้นต้นลำดับเจ็ดได้ย้ายกลับมายังนครหลวงของสหพันธรัฐเพื่อพักผ่อนและรวมตัวใหม่ เป็นเหตุให้      พวกเขาอยู่ที่นี่ในวันนี้

เมื่อพูดถึงเหตุอสูรหลั่งไหล หวังเป่าเล่อก็ซึมลงอย่างห้ามไม่ได้ แต่ความยินดีที่ได้พบเพื่อนอีกครั้งช่วยให้เขาลืมภาพสงครามที่ปราการได้อย่างรวดเร็ว นักรบอีก    หลายคนก็เป็นมิตรกับหวังเป่าเล่อมากขึ้น เมื่อเหล่าสหายแนะนำเขาให้รู้จัก             ผู้บัญชาการบางคน โดยเฉพาะคนที่เคยได้ยินเกี่ยวกับปืนใหญ่เป่าเล่อ ยิ่งทำตัวเป็นกันเองกับหวังเป่าเล่อมากขึ้น

ระหว่างที่พันธุ์กล้าทั้งหนึ่งร้อยคนอื่นรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่พอใจกับความ      ไม่ยุติธรรมในเรื่องนี้ ฝ่ายหวังเป่าเล่อที่เพิ่งกินอาหารมื้อใหญ่กับนักรบอยู่ข้างนอกเสร็จ ก็กำลังเดินตีพุงไปตามทางใต้แสงจันทร์มุ่งหน้ากลับสู่ที่พัก

เมื่อกลับไปถึง คนส่วนใหญ่กำลังนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญเพียรกันอยู่ หวังเป่าเล่อเรอแล้วกลับไปที่เตียงตัวเอง ชายหนุ่มนั่งขัดสมาธิบนเตียงบ้าง เขาเลิกคิ้วใส่จั่วอี้ฟางก่อนจะโยนน่องไก่น่องหนึ่งไปให้ผู้เป็นสหาย

จั่วอี้ฟานคว้าน่องไก่เอาไว้พลางทำสีหน้าแปลกๆ เขามองมาทางหวังเป่าเล่อด้วยความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มน้อยๆ พลางส่ายศีรษะ ก่อนจะกินน่องไก่น่องนั้น

นี่สิเพื่อนที่ดี! หวังเป่าเล่อขบขัน เขาหยิบเอาขนมออกมาส่งต่อด้วย จากนั้นก็หยิบเอาขวดน้ำเย็นหล่อวิญญาณมากระดกอีกอึกใหญ่ก่อนปิดตาลง ก่อนเริ่มทำสมาธิ

แต่ในห้องมีคนอยู่มากเกินไป แม้หวังเป่าเล่อจะไม่ค่อยรู้สึกตัวและหน้าหนาเพียงใด ชายหนุ่มก็ยังไม่อาจตั้งจิตทำสมาธิในสถานที่แห่งนั้นได้ เขาทำได้เพียงปิดกั้นผัสสะทั้งห้า รวมถึงสัญชาตญาณรับรู้ถึงสิ่งรอบกาย ขณะรักษาระดับปราณวิญญาณเอาไว้ในจุดสูงสุด

รัตติกาลล่วงเลยผ่านไป

เช้าวันรุ่งขึ้น หวังเป่าเล่อลืมตาตื่นทันทีที่ได้ยินเสียงระฆังดังก้องอยู่ในอากาศ     คนอื่นต่างออกจากสมาธิแล้วรีบปรี่ออกไปข้างนอกอย่างว่องไว

ตอนพวกเขาพุ่งร่างออกไปกันนั้น ผู้ฝึกตนหญิงจากที่พักของพวกนางก็วิ่งออกมาเช่นกัน ภายในเวลาไม่ถึงสามสิบวินาที ทุกคนก็มายืนเรียงแถวอยู่บนจัตุรัสเรียบร้อย

ชายชราผู้หนึ่งเดินมาแต่ไกล แทบจะทันทีที่พวกเขารวมตัวกันเรียบร้อย เขาเป็นชายหลังค่อม มือสองข้างไพล่หลังเอาไว้ เดินมาอย่างเชื่องช้าโดยมีชายวัยกลางคนสวมเครื่องแบบกองทัพสองคนตามหลังมา

มวลพลังที่เหนือชั้นยิ่งกว่าขั้นรากฐานตั้งมั่นแผ่ออกมาเต็มที่เมื่อชายชราเดินมาถึง มันทรงพลังประดุจภูเขายักษ์ กลายเป็นแรงกดดันให้กับหวังเป่าเล่อและคนอื่นที่เหลืออยู่

ทุกคนสั่นสะท้านไปถึงก้นบึ้งหัวใจ และชักจะหายใจกันลำบากขึ้นทุกที

หวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน เขาเคยพบผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นมาบ้างแล้ว จึงบอกได้ทันทีว่าชายชราผู้นี้บรรลุขั้นกำเนิดแก่นในแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย!

ชายชรามาหยุดยืนตรงหน้าพันธุ์กล้าหนึ่งร้อยคน ดวงตาของเขาหรี่เล็กจนแทบจะปิดอยู่รอมร่อ เขาไม่สนพิธีรีตองแล้วเอ่ยเสียงแหบแห้งออกมาตรงๆ เข้าประเด็น

“ข้าคือซูหงเฟย นักบวชของสหพันธรัฐ ข้าได้รับมอบหมายให้สอนเคล็ดเวทพิเศษให้กับพวกเจ้า เคล็ดเวทระเบิดกำเนิดดวงดาราที่ว่านี้คือการใช้คลื่นความถี่พิเศษสั่นสะเทือน เพื่อเรียกใช้พลังจากทั้งร่างกายออกมาได้เต็มที่ที่สุด ก่อนมุ่งพลังทั้งหมดนั้นไปยังจุดเพียงจุดเดียว…นับเป็นเคล็ดเวททำลายล้างขั้นสูงสุดเลยก็ว่าได้!

“เคล็ดเวทนี้เป็นเพียงขั้นแรก ขั้นที่สองคือความต้องการต่อสู้ของพวกเจ้า!

“จำไว้ให้ดี เคล็ดเวทระเบิดกำเนิดดวงดาราจะใช้การได้ผล ก็ต่อเมื่อหมัดของเจ้าอัดแน่นไปด้วยความต้องการต่อสู้ ชนิดที่ทลายหมู่ดาวบดขยี้สวรรค์เบื้องหลังการโจมตีนั้น!

“ทีนี้ จับตาดูให้ดี…” ชายชรากล่าวอย่างสงบนิ่ง ก่อนที่ดวงตาของเขาจะพลันเบิกกว้าง พริบตานั้นเหมือนมีดวงดาวลุกไหม้เจิดจรัสอยู่สองดวง พลังมากมายมหาศาลพวยพุ่งเป็นคลื่นออกมาจากตัวเขาราวกับภูเขาไฟระเบิด!

ชายชราก้าวหลบออกมาด้านข้าง ก่อนที่จะชูมือขวาขึ้น ทั้งตัวเขาเป็นดั่งคันธนูที่ขึงตึงตามธรรมชาติ เขาเหวี่ยงหมัดออกไปจนเกิดเสียงดังสนั่นขึ้นไปถึงชั้นฟ้า!

เสียงนั้นดังก้องสะท้านสวรรค์สะเทือนปฐพี ระเบิดกึกก้องอยู่ภายในหูทุกคน ขณะที่คลื่นเสียงนั้นซัดระลอกต่อไปทั่วทั้งผืนฟ้า เสียงสะท้อนแผ่ไปมา เกิดเป็น      พายุหมุนขนาดใหญ่บนท้องฟ้า มันขยายตัวอย่างรวดเร็วและทรงพลัง ราวกับว่า   พร้อมจะฉีกทึ้งทำลายทุกสิ่งอย่าง!

ลมพัดกรรโชกมาจากที่ใดสักแห่ง ชายชรายืนอยู่ตรงกลางของสายลมที่แผ่พุ่งไปทุกทิศทุกทาง หวังเป่าเล่อและคนอื่นเซถลา ทุกคนต่างพรั่นพรึงตะลึงงัน              ล้มลุกคลุกคลานไม่อาจพยุงตัวเองได้ไหว

ราวกับว่าชายชราตรงหน้าพวกเขาได้กลายเป็นสัตว์ปีศาจที่พร้อมจะกลืนกิน    ทุกอย่างใต้แสงอาทิตย์ไปเสียแล้ว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version