Skip to content

A World Worth Protecting 215

บทที่ 215 สหพันธรัฐต้องการหวังเป่าเล่อหนึ่งหมื่นคน

การมาถึงของชายผู้ยิ่งใหญ่ราวเทพเจ้า ทำให้ทั้งตำหนักผู้นำสหพันธรัฐเงียบกริบ ผู้คนหลายพันคนพร้อมใจกันหยุดพูด เนื่องด้วยรู้สึกถึงรังสีน่าเกรงขามรุนแรงที่       แผ่ออกมาจากตัวเขา ทุกคนสั่นระริกอยู่ภายในใจและค้อมศีรษะลงทันที

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสถานะของเขา อีกส่วนเป็นเพราะขั้นปราณอันแก่กล้ายากหาผู้ใดเทียบเทียม ชายในชุดขาวกลายเป็นเป้าความสนใจของทุกคนในห้อง ไม่ว่า          จะเพราะอำนาจหน้าที่ในฐานะชายผู้แข็งแกร่งที่สุดในสหพันธรัฐ ผู้ครอบครอง        อาวุธเทพหนึ่งเดียว หรือตำแหน่งผู้นำของอาณาจักรก็ตาม เขาสว่างเจิดจ้าราวกับ   ดวงอาทิตย์ก็มิปาน

เหล่าพันธุ์กล้าทั้งร้อยคนปั่นป่วนด้วยแรงกดดัน อารมณ์หลากหลายตีขึ้นมา    ราวคลื่นที่ซัดสาด พวกเขารู้สึกเหมือนเรือน้อยที่ลอยคว้างท่ามกลางท้องทะเลคลั่ง ความกลัวตามธรรมชาติและความรู้สึกยำเกรงก่อตัวขึ้นในใจพวกเขา

ไม่ว่าจะเป็นจั่วอี้ฟาน เจ้าเยี่ยเหมิง หรือแม้กระทั่งกงเต๋าที่ได้รับตำแหน่งไปโดย   ไม่ต้องแข่งขัน ไม่มีใครกล้าแสดงความรู้สึกอื่นบนใบหน้า ทุกคนมีร่องรอยความ       ยำเกรงและความเคารพฉายชัดในแววตา

หวังเป่าเล่อเองก็ตกอยู่ในสภาวะนี้เช่นกัน แต่ชายหนุ่มก็พยายามควบคุม        ลมหายใจให้เป็นปกติภายใต้แรงกดดันนั้น เขามีท่าทีแตกต่างจากพันธุ์กล้าคนอื่นๆ ดวงตาของเขามีความยำเกรงและความเคารพแบบเดียวกัน แต่ก็มีแววแปลกประหลาดผสมอยู่ด้วย คล้ายกับว่ากำลังมองไปเห็นตนเองในอนาคต

สีหน้าที่แตกต่างจากคนอื่นนี้ทำให้หวังเป่าเล่อโดดเด่นออกมาจากฝูงชน

ท่ามกลางสายตาหลายพันคู่ที่จับจ้อง ชายหน้านิ่งต้วนมู่ฉีคลี่ยิ้มออกมา            ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในตำหนักผู้นำสหพันธรัฐ เขาเดินเข้าไปหาเหล่าพันธุ์กล้า       หนึ่งร้อยคน ก่อนยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าพวกเขา แล้วมองใบหน้าของแต่ละคนอย่างทั่วถึง รอยยิ้มของเขาฉายแววลึกซึ้งไปด้วยความอบอุ่น ความสุขใจ และความยอมรับใน  ยอดฝีมือเหล่านี้

“อนาคตของสหพันธรัฐอยู่ในมือพวกเจ้าแล้ว!”

น้ำเสียงของชายผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรเต็มไปด้วยการให้กำลังใจและความยอมรับ เหล่าพันธุ์กล้าทั้งหนึ่งร้อยคนมีกำลังใจพุ่งทวีขึ้นในทันที หวังเป่าเล่อก็เช่นกัน           ทุกคนประสานมือคารวะและโค้งคำนับต่ำให้ต้วนมู่ฉี

“นำเหรียญรางวัลมาเถิด ข้าจะมอบเหรียญตรานี้ให้พวกเจ้าทุกคน ขอให้มันเป็นสัญลักษณ์แทนสถานภาพ รวมถึงการยอมรับนับถือ และความคาดหวังของสหพันธรัฐที่มีต่อพวกเจ้า ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า วันหนึ่งพวกเจ้าทั้งหลายจะกลายเป็นกำลังสำคัญที่ยอดเยี่ยมหาตัวจับยาก ให้แก่สหพันธรัฐของเรา!” ต้วนมู่ฉีหัวเราะร่า      บรรดาผู้คุ้มกันเบื้องหลังก้าวออกมาส่งเหรียญเกียรติยศหนึ่งร้อยเหรียญให้ท่านผู้นำ

ต้วนมู่ฉีหยิบเหรียญมามอบให้พวกเขาทีละคน ทุกครั้งที่ท่านมอบเหรียญนี้      ท่านจะกล่าวคำพูดสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนผู้นั้น และพันธุ์กล้าผู้นั้นจะกลายเป็นจุดสนใจของคนหลายพันล้านคนทั่วอาณาจักร ที่เฝ้าหน้าจออยู่ในทันที

พิธีการนี้ถ่ายทอดสดออกไปทั่วสหพันธรัฐ

“ยอดเยี่ยม ยุคนี้เป็นของรุ่นข้าและรุ่นพวกเจ้าเช่นกัน!”

“นี่คือเยี่ยเหมิงน้อยหรอกหรือนี่ ไม่เลวเลยทีเดียว ข้าหวังว่าเจ้าจะแซงหน้ามารดาของเจ้าไปได้ในสักวัน!”

“กงเต๋า เจ้าจงตั้งใจทำงานเพื่อพวกเราต่อไป!” ต้วนมู่ฉีเดินมอบรางวัลให้ทั้งคณะ คำพูดชื่นชมของเขาดังสะท้อนไปทั่วห้อง เจ้าพนักงานจากสหพันธรัฐที่ติดตามเขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ดวงตาให้กำลังใจฉายชัด

ผู้ที่ได้รับมอบเหรียญเกียรติยศและคำชมเชยรู้สึกตื้นตันแตกต่างกันออกไป     ภาพนี้ปรากฏให้เห็นต่อหน้าสายตาหลายพันล้านคู่ทั่วอาณาจักร ที่จับจ้องอยู่ที่หน้าจอทางบ้าน

พิธีการดำเนินไปเรื่อยๆ จนต้วนมู่ฉีมาหยุดอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มร่างอ้วนสูดหายใจเข้าลึก ยืดอกขึ้น และหันหน้าในองศาที่คิดว่าตนเองจะหล่อที่สุดให้ทั้งสหพันธรัฐเห็น

ความรู้สึกที่ว่าเขากำลังมองเห็นตนเองในอนาคต ขณะที่มองไปยังต้วนมู่ฉีนั้นรุนแรงยิ่งขึ้นทุกที

“หวังเป่าเล่อเช่นนั้นหรือ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร” ต้วนมู่ฉีมองหวังเป่าเล่อ รอยยิ้มของเขามีความรู้สึกพิเศษเจืออยู่ด้วย ต่างจากรอยยิ้มที่มอบให้เหล่าพันธุ์กล้าคนอื่น แม้ต้วนมู่ฉีจะรู้สึกว่าสายตาที่หวังเป่าเล่อมองมาที่ตนนั้นประหลาด แต่ก็ไม่ได้คิดมากอะไร เขาก้าวเท้าออกมาข้างหน้าและยื่นมือไปตบไหล่หวังเป่าเล่อ ก่อนหันหน้ากลับไปหาเจ้าพนักงานสหพันธรัฐที่ติดตามเขา และพูดด้วยรอยยิ้ม

“เมื่อท่านแม่ทัพโจวเต๋อสี่เล่าเรื่องหวังเป่าเล่อให้ข้าฟัง ข้าพูดบางอย่างกับเขา วันนี้ข้าจะพูดประโยคนั้นให้ทุกคนฟังอีกครั้ง สหพันธรัฐ…ต้องการคนอย่าง           หวังเป่าเล่ออีกหนึ่งหมื่นคน!”

เมื่อได้ยินดังนั้น เหล่าเจ้าพนักงานระดับสูงก็เป็นอันตกตะลึง ทุกคนเริ่มสนใจ   หวังเป่าเล่อมากขึ้นในทันที การกระทำของต้วนมู่ฉีและคำชื่นชมยกย่องหวังเป่าเล่อนั้น เห็นได้ชัดว่าพิเศษกว่าคำชมที่เขามอบให้พันธุ์กล้าคนอื่นมากนัก

แม้แต่ในบรรดาพันธุ์กล้าคนอื่นๆ ก็มีหลายคนที่หันมามองหวังเป่าเล่อด้วยความอิจฉา แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ถือเป็นหัวกะทิที่ก้าวขึ้นมาอยู่จุดสูงสุดเหนือผู้อื่น ทุกคนล้วนมีความสามารถเฉพาะทางของตนเอง เหล่าพันธุ์กล้าคนอื่นเก็บซ่อนความอิจฉาไว้ลึก ในใจ และไม่แสดงสิ่งใดให้เห็นทางสีหน้า

ในเวลาเดียวกันนั้น หลายแสนหลายล้านครัวเรือนทั่วสหพันธรัฐก็เห็น           ภาพดังกล่าวนี้บนหน้าจอสื่อสารของตน ความตื่นเต้นประหลาดใจอุบัติขึ้นทั่วอาณาจักร เสียงพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นทั่วทุกหนแห่ง

“เจ้าตุ้ยนุ้ยนั่นน่ะหรือคือหวังเป่าเล่อ คนที่ได้ตำแหน่งโดยไม่ต้องเข้าแข่งขัน”

“เจ้านี่ดูอ้วนที่สุดในบรรดาพันธุ์กล้าทั้งหมดเลย แต่ความสามารถไม่เกี่ยวอะไรกับน้ำหนักเสียหน่อย!”

“ท่านผู้นำดูปฏิบัติกับเขาแตกต่างจากคนอื่น ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังบางอย่างแน่ๆ !”

ขณะที่คนอื่นกำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับหวังเป่าเล่ออยู่นั้น หน้าจอใหญ่ยักษ์บนตึกที่สูงที่สุดในเมืองปักษาเพลิง ก็กำลังฉายฉากนี้อยู่เช่นกัน

หวังเป่าเล่อที่มาจากเมืองปักษาเพลิง คือความภาคภูมิใจของคนทั้งเมือง โดยเฉพาะบิดามารดาของเขาที่กำลังปลื้มใจถึงขีดสุดอยู่ในขณะนี้

“ตาแก่หวัง ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเราทำให้เราภาคภูมิใจมากเหลือเกิน!      เขาอยู่บนหน้าจอยักษ์ด้วย! กำลังรับมอบรางวัลจากท่านประธาน!” ขณะที่มารดาของหวังเป่าเล่อกำลังตื้นตันใจอยู่นั้น แหวนสื่อสารของนางก็เริ่มสั่น นางได้รับข้อความแสดงความยินดีมากมายจากหมู่ญาติและผองเพื่อน

“ท่านแม่ของเป่าเล่อ ลูกชายของท่านช่างยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้ ข้าเพิ่งเห็นในหน้าจอสื่อสาร!”

“ท่านแม่ของเป่าเล่อ เป่าเล่อมีคนรักหรือยัง ลูกสาวข้าดูเป็นอย่างไรบ้าง       อยากลองเกี่ยวดองกันดูรึเปล่า” ข้อความแสดงความยินดีรวมถึงนัดจับคู่มากมาย   ก่ายกองที่ส่งเข้ามา ทำให้มารดาของหวังเป่าเล่อยิ้มแก้มปริด้วยความภาคภูมิใจ     นางเริ่มตอบกลับข้อความเหล่านั้นไม่หยุดมือ

“ฉาบฉวย!” เทียบกับความรู้สึกภาคภูมิใจและตื้นตันใจที่มารดาของหวังเป่าเล่อรู้สึก บิดาของหวังเป่าเล่อกลับดูสงบเยือกเย็น เขาตวัดสายตามองอย่างเดียดฉันท์        ก่อนยืดอกเชิดหน้าขึ้น หันหลังกลับและเดินเข้าห้องนอนไป ฝีเท้าของเขามั่นคงยิ่งนัก

ทันทีที่บิดาของหวังเป่าเล่อหลบเข้ามาในห้องนอน ดวงตาของเขาก็ทอประกายวาววาบ เขารีบหยิบแหวนสื่อสารของตนออกมา และเริ่มส่งข้อความไปหาเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของตนในทันที

“ตาแก่จาง ทำอะไรอยู่หรือ เจ้าได้ดูหน้าจอสื่อสารหรือไม่…”

“ตาแก่หลี่ ฮ่าๆ เจ้าก็เห็นข่าวในหน้าจอสื่อสารหรือ ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรหรอก เจ้าก็รู้ว่าเจ้าเด็กแสบนี่ฉลาดมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกแล้ว เก่งกาจหาตัวจับยากทีเดียวเชียว       แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าต่อไปเจ้านี่จะกลายเป็นเสาหลักของสหพันธรัฐแน่นอน”

“ตาแก่ซุน…เจ้าไม่ได้ดูหน้าจอสื่อสารหรือ ถ้าไม่ได้ติดธุระอะไรสำคัญอยู่ก็ลองเปิดดูสิ ใช่แล้ว เรื่องงานหมั้นหมายที่เราเคยคุยกันไว้เมื่อคราวก่อน เห็นทีข้าจะต้องคิดใหม่เสียแล้ว”

ขณะที่ประชาชนทั่วทั้งสหพันธรัฐกำลังถกเถียงกันหน้าดำหน้าแดงอยู่นั้น หวังเป่าเล่อกลับกำลังตื่นเต้นถึงขีดสุด เขารู้สึกว่าโอกาสทองแบบนี้อาจไม่หวนกลับมาอีก          จึงรีบพูดด้วยเสียงอันดังก้อง

“ท่านผู้นำขอรับ ข้าขอพูดอะไรสักอย่างหนึ่งได้รึเปล่าขอรับ…”

ก่อนหน้าหวังเป่าเล่อ มีพันธุ์กล้าหลายคนที่พูดคุยแลกเปลี่ยนกับต้วนมู่ฉีด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน แต่หลายคนพูดด้วยน้ำเสียงเบากว่าหวังเป่าเล่อมากนัก           แม้หวังเป่าเล่อจะเอ่ยเสียงดังลั่น แต่ต้วนมู่ฉีก็ไม่ได้คิดมาก เขาพยักหน้าอนุญาตในทันที

“คือว่า…ข้าอยากทราบว่า ข้าต้องทำอย่างไรจึงจะได้ก้าวขึ้นไปเป็นผู้นำสหพันธรัฐคนต่อไปหรือขอรับ” หวังเป่าเล่อดวงตาเป็นประกายด้วยความเร่าร้อน อารมณ์ตื่นเต้นของเขาอัดแน่นไปด้วยความคาดหวังแรงกล้า ขณะมองจ้องไปที่ต้วนมู่ฉี

ต้วนมู่ฉีถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เหล่าเจ้าพนักงานรอบกายเขาก็ยิ้มเช่นกัน แต่ผู้คนหลายพันคนในห้องนั้น รวมถึงเหล่าพันธุ์กล้าเองกลับทำสีหน้าประหลาด ทุกคนรู้สึกพิศวงมากที่ชายอ้วนคนนี้กล้าดีขนาด   ถามเรื่องนี้ออกมาได้ สิ่งที่พวกเขาเห็นคือหวังเป่าเล่อกำลังถามต้วนมู่ฉีว่า ตนเองจะฉกเอาตำแหน่งผู้นำสหพันธรัฐไปจากมือต้วนมู่ฉีได้อย่างไร…แถมยังถามเอาดื้อๆ ระหว่างการถ่ายทอดสดทั่วอาณาจักร…

และนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ เสียด้วย บรรดาผู้ชมทางบ้านทั่วสหพันธรัฐตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกคนมองจ้องหวังเป่าเล่อบนหน้าจอ รู้สึกเหมือนกันว่าเจ้าเด็กคนนี้…ช่างไม่เหมือนใครเอาเสียจริง…

แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด ต้วนมู่ฉีตอบคำถามหวังเป่าเล่ออย่างตั้งใจ ดวงตาเต็มไปด้วยการให้กำลังใจ

“หากมีวันใดที่ผู้คนทั่วทั้งสหพันธรัฐเลือกเจ้า เจ้าก็จะได้เป็นผู้นำแห่งสหพันธรัฐ แน่นอนว่าระดับปราณของเจ้าก็ต้องมากกว่าข้าให้ได้เสียก่อน” ต้วนมู่ฉีหัวเราะ       ตบไหล่หวังเป่าเล่ออีกครั้ง ก่อนก้าวไปหาคนต่อไป

พิธีการนี้ดำเนินไปอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนจะปิดฉากลง ทั้งหมดได้รับการถ่ายทอดสดทางหน้าจอสื่อสารไปทั่วอาณาจักร คำตอบของต้วนมู่ฉีต่อคำถามของหวังเป่าเล่อ     ที่แสดงให้เห็นชัดถึงความฝันของเขา ทำให้ชายหนุ่มโดดเด่นขึ้นจากพันธุ์กล้าหนึ่งร้อยคนในทันที ชื่อของหวังเป่าเล่อเป็นที่รู้จักทั่วสหพันธรัฐ และกลายเป็นจุดสนใจของ   คนทั่วประเทศในบัดดล

เมื่อพิธีการจบลงเป็นที่เรียบร้อย การเก็บตัวฝึกวิชาหนึ่งอาทิตย์ก็ตามมา หลังจากที่ต้วนมู่ฉีกลับไปแล้ว เรือบินก็พาเหล่าพันธุ์กล้าทั้งร้อยคน เดินทางไปยังค่ายนักรบนอกนครหลวง

ทุกคนมุ่งหน้าไปเพื่อเรียนรู้เคล็ดเวท ที่จะสอนให้เฉพาะผู้ที่ได้ตำแหน่งพันธุ์กล้ามาครอบครองเท่านั้น…เคล็ดเวทลึกลับของสหพันธรัฐ ระเบิดกำเนิดดวงดารา!

ในเวลาเดียวกันกับที่หวังเป่าเล่อและคณะเดินทางไปถึงค่ายนักรบ ในผืนป่าไกลแสนไกลจากนครหลวงแห่งสหพันธรัฐ ซากของอสูรสัตว์ปีกจมอยู่ในหนองน้ำครึ่งหนึ่ง ชีวิตของมันดูจบสิ้นไปเมื่อไม่นานมานี้ และศพก็ดูเน่าเปื่อยไปจนแทบหมดสิ้นแล้ว

ทันใดนั้น กิ่งไม้ก็งอกออกมาจากศพในหนองน้ำนี้ ชูกิ่งก้านสูงขึ้นในอากาศ!

กิ่งไม้นี้ดูเหี่ยวย่นไร้ชีวิต บอบช้ำไปด้วยรอยแผลเป็นมากมาย แต่รอยแผลเหล่านั้นก็ค่อยๆ ลอกคราบหายไป กิ่งอ่อนค่อยๆ งอกขึ้นอย่างเชื่องช้าจากปลายของกิ่งไม้ตายซากเหล่านั้น

พลังปราณขั้นรุนแรงระเบิดตามมาทันทีที่ต้นอ่อนผุดขึ้นในอากาศ!

มันทรงพลังล้ำหน้าขั้นรากฐานตั้งมั่น ไปจบที่ขั้นกำเนิดแก่นในเลยทีเดียว!

หากหวังเป่าเล่อ จั่วอี้ฟาน และเจ้าเยี่ยเหมิงอยู่ ณ ที่แห่งนั้น คงรู้สึกได้ถึงพลังที่คุ้นเคยเสียยิ่งกว่าอะไร…เพราะแรงกดดันนี้เป็นของชายวัยกลางคนในชุดดำ ที่วิ่งหนีพวกเข้าไปด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจนั่นเอง!

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ชายผู้นี้ใช้เล่ห์กลเพื่อแสร้งว่าตนเองสิ้นชีพแล้ว หลังจากถูกสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ถอนรากถอนโคน จึงทำให้หนีความตายมาได้อย่างหวุดหวิด เขาแข็งแกร่งขึ้น ระดับการฝึกตนก็พัฒนาขึ้นด้วย!

“หวังเป่าเล่อ!” ใบหน้าหนึ่งค่อยๆ ผุดออกมาจากต้นอ่อนนั้น เครื่องหน้าเจือไปด้วยความหวาดกลัวและป่าเถื่อนรุนแรง ขณะที่มันเอ่ยนามนั้นออกมาแผ่วเบา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version