บทที่ 218 ข้าออกจะซื่อสัตย์แสนดี
หวังเป่าเล่อไม่แยแสต่อสายตาที่คนรอบตัวมองมา เขาเอามือไพล่หลังพลางมองยังจั่วอี้ฟานกับเจ้าเยี่ยเหมิง ซึ่งต่างก็จ้องเขากลับมาเพราะรู้ดีว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือใคร
หวังเป่าเล่อกระแอมไอก่อนจะเอ่ยอย่างเขินอาย ท่ามกลางเสียงกู่ร้องเจ็บปวดและเดือดดาลจากคนรอบข้าง
“แหม…อี้ฟาน เยี่ยเหมิง พวกเราเป็นเพื่อนกัน…พวกเจ้าคงเข้าใจ…”
ทันทีที่หวังเป่าเล่อเอ่ย คนรอบด้านที่ยังเกากันอยู่ก็ตวาดลั่นด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว
“หวังเป่าเล่อ เจ้าคนไร้ยางอาย!”
“หวังเป่าเล่อ อย่าคิดว่าจะจบแค่นี้นะ!”
“ไร้ยางอายและต่ำช้านัก! หวังเป่าเล่อ ข้าจะไม่มีวันให้อภัยเจ้าเด็ดขาด!” หลี่อี้และพรรคพวกร่วมวงกรีดร้องขุ่นแค้น
ความเคียดแค้นชิงชังที่เกิดขึ้นอีกระลอกเดือดปะทุแผ่ไปทั่วทุกทิศทุกทางอย่างชัดเจน
จั่วอี้ฟานหัวเราะขื่นๆ พลางจ้องมองผู้คนที่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่หยุดเกาตัวเองกันไม่ได้ เขาได้ยินเสียงหึ่งๆ ใกล้ตัวจึงตัดสินใจชิงนั่งลงขัดสมาธิกับพื้นเสียก่อน
เจ้าเยี่ยเหมิงสูดลมหายใจ แม้ว่านางจะเป็นคนใจเย็นอยู่เสมอ ก็ยังอดจ้องหวังเป่าเล่อตาเขม็ง ก่อนนั่งลงเช่นกันมิได้
ทั้งจัตุรัสมีหวังเป่าเล่อยืนอยู่เพียงคนเดียว ท่ามกลางพันธุ์กล้าหนึ่งร้อยคนของสหพันธรัฐที่นั่งกันอยู่บนพื้น
เขาหันหน้าไปหาชายชราอกับเจ้าพนักงานสองคนที่ยังอึ้งสนิทอยู่ สีหน้ากระตือรือร้น ก่อนตะโกนเสียงดังก้อง “ครูฝึกขอรับ ครูฝึกขอรับ! ท่านไม่ต้องรอจนตะวันตกดินแล้ว ทุกคนร่วงลงพื้นหมดแล้ว และข้าชนะขอรับ!”
เจ้าพนักงานทั้งสองทำหน้าเหยเก ขณะมองบรรดาพันธุ์กล้ารอบตัว แล้วกลับมาหยุดอยู่ที่หวังเป่าเล่อ ส่วนชายชราผู้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างตรงหน้า ก็บอกไม่ถูกเช่นกันว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
บรรดาพันธุ์กล้ารอบตัวเขายิ่งโกรธจัดพอได้ยินหวังเป่าเล่อเอ่ยเช่นนั้น ทุกคนเอาแต่เการ่างที่สั่นเครือของตัวเอง แล้วคำรามลั่นกันอย่างโกรธแค้น
“ผิดกติกา! อย่าเพิ่งตัดสินนะขอรับ!”
“ครูฝึกขอรับ หวังเป่าเล่อมันโกง!”
เสียงต่างๆ ดังขึ้นรอบกาย หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วพลางมองบรรดาสหายที่ยังเกาเท้าตัวเองกันต่อไป แล้วยกมือขึ้นอย่างตัดรำคาญ
“สหายแห่งเต๋าทั้งหลาย ทำแบบนี้จะมีประโยชน์อันใด ข้าเป็นคนอ่อนโยนและ ไม่อยากทำให้พวกเจ้าคนใดบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ข้า…” หวังเป่าเล่อเอ่ยด้วยอารมณ์ท่วมท้น ฉับพลันชายหนุ่มหน้ายาวคนหนึ่งจากตระกูลนภาห้าสมัยก็ตวาดลั่นใส่เขาอย่างเดือดดาล
“หุบปากเสีย หวังเป่าเล่อ! วิธีการไร้ยางอายแบบนี้ไม่ทำให้เจ้าชนะหรอก ความชั่วร้ายไม่มีวันชนะความยุติธรรมได้ กฎบอกไว้แล้วว่าเส้นตายคือตะวันตกดิน แล้วเวลาก็ยังไม่หมด เรายังยืนกันไหวอยู่!” ชายหนุ่มหน้ายาวคำรามขณะเกาตัวเองหนักกว่าเดิม ดวงตาของเขาแดงก่ำและเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากฆ่าหวังเป่าเล่อได้ ป่านนี้เขาคงทำไปแล้ว
พอโดนขัดจังหวะอารมณ์ที่ตนพยายามสร้างขึ้นมา หวังเป่าเล่อก็หันขวับไปทางต้นเสียงทันที ชายหนุ่มจำได้ทันทีว่าคนที่ตะโกนขึ้นเมื่อครู่นี้ คือคนที่ทำท่าชิงชังต่อเขาเมื่อคืนก่อน เขาจึงครวญเพลงในลำคอ พลางยกมือขวาชี้ไปที่ชายหนุ่มหน้ายาว พลันยุงเก้าตัวบินฉิวไปหาชายหนุ่มคนนั้น
“ไม่!” ชายหนุ่มหน้ายาวร้องอย่างตกตะลึง ยุงเก้าตัวบินมาอย่างว่องไวแล้วรุมกัดเขาทันที เสียงกรีดร้องทรมานของเขาดังก้อง แต่ก็ดังอยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อยุงเก้าตัวบินจากไป ชายหนุ่มหน้ายาวกลายเป็นหน้าบวมกลม ทั้งตัวเขามีตุ่มนูนปูดเต็มไปหมด เขามองไปรอบกายด้วยความมึนงง ไม่รู้สึกถึงอะไรอีกแล้ว…
ภาพตรงหน้าช่างน่าหวาดผวาและชวนฝังใจ ทุกคนที่ได้เห็นล้วนอึ้งค้างกันไปหมด พวกเขาเอาแต่พึมพำแผ่วเบาว่าโหดร้ายเหลือเกิน เมื่อมองไปยังหวังเป่าเล่อ สายตาทุกคนก็ส่อแววขยาดกลัว เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว สิ่งที่หวังเป่าเล่อทำ ช่างป่าเถื่อนยิ่งนัก
แต่นั่นก็ทำให้เหล่าพันธุ์กล้าที่ก่นด่าเกรี้ยวกราดเมื่อครู่ปิดปากเงียบในทันใด พวกเขาไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาอีกเพราะกลัวว่าถ้าพูดผิดหูไปแม้สักคำเดียว ตนเองคงจะประสบเหตุการณ์สุดสยดสยองไม่ต่างกัน
“ต่อเลยแล้วกัน ที่ข้าจะพูดก็คือ สหายแห่งเต๋า ข้าออกจะซื่อสัตย์แสนดี ไม่เคยคิดทำร้ายใคร…” หวังเป่าเล่อแสดงอารมณ์เอ่อท้นออกมาขณะพูดกับพันธุ์กล้า คนอื่นๆ พอเห็นว่าคราวนี้ไม่มีใครกล้าสวนกลับก็หน้าตาระรื่นขึ้นมา
“ข้ารู้ว่าทุกคนเป็นพี่น้องที่ดีต่อข้า เมื่อเราฝึกวิชากันเสร็จแล้ว ข้าจะเลี้ยงข้าวทุกคนเอง! กินได้เต็มที่เลยไม่ต้องเกรงใจ! ข้าจ่ายให้ไม่อั้น!” หวังเป่าเล่อโบกมืออย่างตื่นเต้น พลางหันไปมองชายชราและเจ้าพนักงานที่ยังตะลึงงันด้วยความลิงโลดใจ
ชายชราเหมือนจะใจลอยไปแล้ว หลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง เขาก็ส่ายศีรษะและหัวเราะออกมา พลางโยนโอสถปลดปล่อยกำลังกายาไปทางหวังเป่าเล่อ
เมื่อคว้าโอสถไว้ได้ หวังเป่าเล่อก็เดินฉิวออกไปอีกทางอย่างสุขใจ เมื่อเดินไปรอบๆ ได้สักพัก ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าคืนนี้เขาคงไม่อาจกลับที่พักได้อีก เพราะหากเขากลับไปตอนที่ทุกคนฟื้นตัวแล้ว คนพวกนั้นต้องจ้องล้างแค้นเขาเป็นแม่นมั่น
หลังจากลองชั่งใจดูแล้ว หวังเป่าเล่อก็สรุปได้ว่าตนเองไม่ควรเปิดช่องให้พวกเขาทำเช่นนั้น เลยรีบหยิบแหวนสื่อสารออกมาติดต่อหาสหายนักรบที่เขาไปรวมตัวด้วยเมื่อคืน ให้พวกเขามาพาตนเองออกจากที่พักและค้างคืนด้วยแทน
เขามาถึงที่พักใหม่ทั้งอย่างนั้น หวังเป่าเล่อหาบริเวณเงียบสงบ แล้วกลืนโอสถปลดปล่อยกำลังกายาทันที โดยมีสหายนักรบทั้งหลายคอยให้การอารักขาอยู่
เมื่อโอสถละลายภายในกายเขา มวลพลังมหาศาลก็ระเบิดออกข้างในตัวหวังเป่าเล่อ จากตอนแรกที่ชายหนุ่มอยู่ในระดับลมหายใจเที่ยงแท้ ทว่าครั้นได้กลืนโอสถเข้าไป ระดับการฝึกตนของเขาก็เพิ่มขึ้นมหาศาล เกิดการเปลี่ยนแปลงกับร่างกายเขา อย่างใหญ่หลวง ตลอดเวลาที่โอสถยังละลายอยู่ภายในตัวเขา!
กระดูกของเขาแข็งแกร่งขึ้น กล้ามเนื้อก็ทรงพลังขึ้น กระทั่งระบบไหลเวียนโลหิตยังแปรเปลี่ยนไป กลายเป็นรุนแรงขึ้นมาก ราวกับโลหิตเพียงหยดเดียวก็เติม ถังน้ำเปล่าได้ทั้งถัง
ขณะเดียวกันหัวใจเขาก็เต้นแรงยิ่งขึ้น ทุกครั้งที่โลหิตสูบฉีดเลือด พลังของชายหนุ่ม ก็ยิ่งถีบตัวสูงขึ้น ทั้งตัวของเขาสั่นเทิ้มเหมือนมีพลังแผ่กระจายไปทั่วร่าง กระทั่งวิญญาณก็ยังค่อยๆ แปรสภาพไปตามกระแสพลังที่เกิดขึ้น จนในที่สุด ก็มีเสียงระเบิดดังลั่นออกมาจากร่างของหวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่
สหายนักรบที่ให้การอารักขาหวังเป่าเล่ออยู่ต่างมีสีหน้าประหลาดใจ พวกเขา คุ้มกันชายหนุ่มอย่างเคร่งครัด คอยเฝ้าสังเกตรอบด้านอย่างระมัดระวังเป็นที่สุด ไม่ให้มีอะไรมารบกวนการฝึกตนของหวังเป่าเล่อได้แม้แต่น้อย
เวลาล่วงเลยไปถึงยามบ่าย บรรดาผู้ฝึกตนที่โดนยุงของหวังเป่าเล่อกัดทุกคน ยกเว้นชายหนุ่มหน้ายาวเริ่มหายดี พวกเขาต่างเหนื่อยล้าถึงขีดสุด แต่แววตากลับ เต็มไปด้วยความโกรธแค้น หลังจากอดทนมาตลอดทั้งบ่าย ตอนนี้พวกเขาไม่ต่างอะไรกับภูเขาไฟใกล้ระเบิด
“หาตัวหวังเป่าเล่อให้พบ! ข้าจะฆ่ามันให้จงได้!”
“ถ้าข้าไม่ได้อัดหวังเป่าเล่อจนมารดาจำมันไม่ได้ ข้าไม่ขอใช้แซ่ซุนอีกต่อไป!”
“สหายแห่งเต๋า พวกเราต้องรวมพลังกันทัดทาน วันนี้มาร่วมมือเป็นกองกำลังต่อต้านหวังเป่าเล่อด้วยกันเถอะ!”
“พวกเจ้าเป็นผู้ชายแท้ๆ แต่ใจอ่อนนัก ถ้าเป็นข้า ข้าว่าพอจับมันได้ ก็จับมันตอนเสียเลยดีกว่า!”
พันธุ์กล้าของสหพันธรัฐทั้งหลายต่างอายุยังน้อย คนที่แก่สุดในหมู่พวกเขาอยู่ในวัยยี่สิบขวบปีเท่านั้น ครั้นเดือดดาลขึ้นมา กลุ่มคนหนุ่มสาวกระฉับกระเฉงต่างก็รีบพุ่งออกไปหาตัวหวังเป่าเล่อกันจ้าละหวั่น พวกเขากระจายตัวกันตามหาชายอ้วนไปทั่วแต่ก็เปล่าประโยชน์ ไม่ช้าก็มีคนได้ข่าวว่าหวังเป่าเล่อออกไปข้างนอก และซ่อนตัวอยู่ในที่พักปิดด้านนอกค่ายผู้ฝึกตน
ขณะที่พวกเขาตั้งท่าจะออกไปตามหวังเป่าเล่อกัน นักรบผู้อารักขาที่พักก็เข้ามาห้ามเอาไว้ทันที เจ้าพนักงานผู้นั้นก้าวออกมาแล้วตวาดอย่างมีน้ำโห
“ค่ายปิดแล้ว ห้ามใครออกไปข้างนอกทั้งนั้น หากใครฝ่าฝืนกฎ จะโดนรายงานกับสหพันธรัฐ แล้วจะได้เห็นกันว่าเจ้าจะโดนปลดจากแผนพันธุ์กล้าหรือไม่!”
เจ้าพนักงานผู้นั้นขู่คำราม ทำเอาทุกคนตัวแข็งทื่อไม่กล้าล่วงล้ำออกไป พวกเขาหงุดหงิดเป็นอย่างมาก หลี่อี้ถึงขั้นคุมอารมณ์ไม่อยู่แล้วถามกลับ “เช่นนั้นหวังเป่าเล่อออกไปได้อย่างไร”
“ข้ายังไม่เห็นเขาออกไปเลยด้วยซ้ำ!” เจ้าพนักงานผู้นั้นตอบกลับอย่างเยือกเย็น ก่อนจะหันไปถามนักรบอีกคนข้างตัว
“มีใครเห็นหวังเป่าเล่อออกไปข้างนอกบ้างหรือเปล่า”
เหล่านักรบที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่ตรงนั้นต่างพากันส่ายหัวโดยไม่ลังเล เมื่อหลี่อี้และ คนอื่นเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งโมโห แต่ไม่อาจทำอะไรได้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาอคติกับหวังเป่าเล่อ แต่เห็นๆ กันอยู่ แทบจะเป็นทางการเลยด้วยซ้ำ ว่ามีการเลือกปฏิบัติเกิดขึ้น
พวกเขาทุกคนกัดฟันกรอด กลบฝังความไม่พอใจลึกลงไปในอก ไม่มีใครกล้าล้ำเส้นให้ตนโดนปลดจากการเป็นพันธุ์กล้าเพราะถือว่าแลกกันไปก็ไม่คุ้ม ยิ่งไปกว่านั้น หากกองทัพถือหางหวังเป่าเล่อขึ้นมา บทลงโทษสำหรับผู้ที่รุกล้ำค่ายนักรบจะ หนักหนาเพียงใดนั้น แม้แต่กลุ่มหัวกะทิอย่างพวกเขายังไม่กล้าคิดลองดี
เมื่อเป็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อจึงได้สลายโอสถอย่างสงบสุข ในขณะที่เขาเข้าใกล้เคล็ดเวทระเบิดกำเนิดดวงดาราขึ้นทุกขณะ พันธุ์กล้าของสหพันธรัฐคนอื่นๆ ต่างก็กำลังหัวเสียแทบบ้า หัวใจอัดแน่นด้วยความโกรธาจนพรุ่งนี้ก็มิอาจจางหาย ทุกคนต่างหมายมั่นจะแสดงให้หวังเป่าเล่อเห็นว่าพวกตนทำอะไรได้บ้างในวันถัดไป!
คืนนั้นผ่านไปอย่างสงบสุขเสียอย่างนั้น…
พอรุ่งสางมาถึงในวันที่สอง เสียงระฆังในค่ายผู้ฝึกตนก็ดังกังวานขึ้น บรรดาพันธุ์กล้าจากสหพันธรัฐทุกคน นอกจากจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิง ต่างพากันพุ่งปราดออกไปรวมตัวยังใจกลางจัตุรัสเหมือนน้ำหลาก