บทที่ 219 มันต้องเป็นของข้า
หวังเป่าเล่ออยู่ที่จัตุรัสแล้วตอนที่ทุกคนไปถึง ชายหนุ่มแลดูกระตือรือร้นโบกมือทักทายพันธุ์กล้าของสหพันธรัฐทุกคนที่มองมาตาขวาง
“อรุณสวัสดิ์!” หวังเป่าเล่ออารมณ์ดี หลังจากได้บำเพ็ญวิชามาทั้งคืน จนละลายโอสถเข้าหลอมรวมกับร่างกายเป็นหนึ่งเดียวสำเร็จ ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าร่างกายของตนแข็งแกร่งเปลี่ยนไปจากเดิม แต่เนื่องจากโอสถนั้นมีเพียงเม็ดเดียว การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจึงสำเร็จแค่ครึ่งทาง ยังไม่ทันได้บรรลุถึงขีดสุดอย่างที่ควร
ถ้าข้าได้อีกสักเม็ดละก็…ร่างกายข้าจะต้องเปลี่ยนแปลงโดยสมบูรณ์อย่างแน่นอน ข้าสงสัยจริงว่าหากเปลี่ยนแปลงโดยสมบูรณ์แล้ว มันจะเป็นเช่นไรกัน…
หวังเป่าเล่อนึกเสียดายอยู่บ้าง กระนั้นแม้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะเล็กน้อยนัก แต่พละกำลังของเขากลับเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัว พัฒนาขึ้นจากแต่ก่อนอย่างน่าตกใจ หวังเป่าเล่อจึงรู้สึกว่าโอสถปลดปล่อยกำลังกายาช่างไร้เทียมทานนัก ยิ่งทำให้ ชายหนุ่มเสียดายเข้าไปใหญ่ที่ได้มาแค่เม็ดเดียว
หวังเป่าเล่อ! พอทุกคนมาถึง หลี่อี้สังเกตเห็นหวังเป่าเล่อ ก็ถึงขั้นควบคุมตัวเองไม่ได้จนต้องแยกเขี้ยวใส่
พันธุ์กล้าของสหพันธรัฐคนอื่นๆ ต่างมีแววตาเย็นชาหมางเมิน พวกเขาอยาก สั่งสอนหวังเป่าเล่อให้สำนึก แต่รู้กันดีว่าครูฝึกจะมาถึงในไม่ช้า ไม่มีใครอยากเสี่ยงแหกกฎกับหวังเป่าเล่อ
แต่พวกเขาปรึกษากันมาแล้ว และเห็นพ้องกันว่าหลังจากจบการฝึกวันนี้ จะไม่ปล่อยให้หวังเป่าเล่อมีโอกาสหลบหนีไปแบบเมื่อวานอย่างแน่นอน ทันทีที่ครูฝึกจากไป พวกเขาจะรวมตัวกันจัดการกับหวังเป่าเล่อให้จงได้
ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ยั้งใจตัวเอง ยืนจ้องหน้าหวังเป่าเล่อ รอครูฝึกกันอยู่ตรงนั้น
หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ หลังจากเห็นสายตาไม่เป็นมิตรทั้งหลาย ชายหนุ่มก็พยายามประเมินความสามารถในการต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามทันที เขาคิดว่าต่อให้ตนแพ้ก็ไม่น่าอายอะไร ในเมื่อตนจะต้องรับมือกับคู่ต่อสู้ต้องเก้าสิบกว่าคนในครั้งเดียว ดังนั้นเขาจึงเริ่มคิดหาทางบรรเทาสถานการณ์แทน แต่ยังไม่ทันคิดออก ครูฝึกสูงวัย ก็โผล่มาแต่ไกล ทุกคนล้วนเงียบกริบ
หวังเป่าเล่อรีบสำรวมความคิด ยืดอกมองไปยังชายชรา
ชายชราเดินมาพร้อมสองมือไขว้หลัง ดวงตาทุกคู่จดจ้องอยู่ที่เขา เขาเดินมาหยุดอยู่หน้าเหล่าพันธุ์กล้าของสหพันธรัฐแต่เพียงลำพัง กวาดตามองไปยังคนหนุ่มสาวตรงหน้า พอเห็นหวังเป่าเล่อก็จดจ้อชายหนุ่มทันที
“พวกเจ้าคงได้ยลแผ่นหยกเคล็ดเวทกันไปแล้ว วันนี้ข้าจะให้ทุกคนได้เห็น เคล็ดเวทระเบิดกำเนิดดวงดาราเป็นครั้งที่สอง!” ชายชรากล่าวอย่างสงบนิ่งพลางหันไปอีกทางและยกมือขวาขึ้น เมื่อคว้าแผ่นหยกออกมาแล้ว เขาก็มองขึ้นไปบนฟ้าแล้วพุ่งหมัดออกไป
ทุกการเคลื่อนไหวเชื่องช้ากว่าที่สาธิตเมื่อวาน ทุกคนมองตามตาไม่กะพริบ ตั้งอกตั้งใจเก็บทุกรายละเอียด เมื่อเสียงฟ้าร้องดังก้องในท้องฟ้า กระแสลมน่า พรั่นพรึงก็ปรากฏขึ้น แล้วกระพือไปทั่วทุกทิศทุกทางดั่งจะแหวกปฐพีเป็นเสี่ยงๆ พันธุ์กล้าทุกคนรวมถึงหวังเป่าเล่อต่างนิ่งงันตัวสั่นเทา ทำเอาพวกเขายิ่งสนอกสนใจกันมากขึ้น
พายุรุนแรงขยายตัวออกโดยมีชายชราเป็นจุดศูนย์กลาง เรือนผมและอาภรณ์ของทุกคนปลิวสะบัด ร่างของพวกเขาถึงกับถอยกรูดไปข้างหลังอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อกระแสพายุหมุนผ่อนลง และสายลมหยุดสร้างความเสียหาย ชายชราก็คลายหมัด เขากวาดตามองทุกคนก่อนจะอธิบายรายละเอียดของเคล็ดเวทระเบิดกำเนิดดวงดารา
ในตอนนั้น พันธุ์กล้าทุกคนดูเหมือนจะลืมความบาดหมางที่มีต่อหวังเป่าเล่อไปสนิท พวกเขาตั้งใจฟังเพื่อรับเอาคำสอนของชายชรามายืนยันสิ่งที่ตนเองกลับไปพยายามทำความเข้าใจมาทั้งคืน ต่างคนต่างซึมซับข้อมูลกันไม่ต่างจากฟองน้ำ
หากพวกเขาไม่ฉลาดเฉลียว ก็คงไม่มีทางโดดเด่นเหนือคนนับไม่ถ้วนเช่นนี้ได้ หลายคนได้ฟังคำอธิบายก็มีท่าทีตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่าความเข้าใจของพวกเขาตรงกับสิ่งที่ชายชราอธิบาย ยิ่งช่วยให้พวกเขาเข้าใจเคล็ดเวทระเบิดกำเนิดดวงดาราได้ดียิ่งขึ้นไปอีก
ชายชราอธิบายอย่างละเอียด หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็จบบทเรียนสำหรับวันนี้ เขาเหลือบมองยังหมู่พันธุ์กล้าแล้วยกมือขวาขึ้นชูให้ทุกคนเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน… โอสถปลดปล่อยกำลังกายาอีกเม็ดนั่นเอง!
โอสถเม็ดนั้นดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันที ลมหายใจพวกเขาถี่กระชั้นขึ้น แม้พวกเขาจะยังไม่ตระหนักชัดว่าหากกินแล้วจะเกิดผลดีอย่างไร แต่เพียงแค่ครูฝึกแนะนำโอสถนี้ให้พวกเขารู้จักอย่างเป็นทางการ ทั้งยังมีเพียงคนเดียวที่จะได้มัน ไว้ครอบครอง ก็ยิ่งทำให้โอสถเม็ดนั้นมีค่ายิ่งขึ้น
เมื่อคืนพวกเขาได้ติดต่อกลับไปยังขุมอำนาจทั้งหลายที่ตัวเองสังกัดอยู่เพื่อถามถึงเรื่องโอสถชนิดนี้ คำตอบที่ได้กลับมายิ่งทวีความชิงชังต่อหวังเป่าเล่อ และก่อกิเลสขึ้นในใจพวกเขาอย่างเกินพรรณนา
“ยังมีอีกเม็ดหรือ!”
“ข้าถามสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เรื่องโอสถตัวนี้แล้ว ได้ยินว่าทั่วทั้งสหพันธรัฐตอนนี้มีไม่ถึงห้าสิบเม็ดด้วยซ้ำ!”
“เพิ่มระดับการฝึกตนเป็นเพียงผลพลอยได้ของโอสถ ที่สำคัญกว่าคือมันช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกาย ยิ่งกินเข้าไปมาก ก็จะยิ่งช่วยเสริมให้ร่างกายแข็งแกร่ง ดุจเทพเซียนในตำนานก็ไม่ปาน!”
ตอนแรกพันธุ์กล้าของสหพันธรัฐทุกคนต่างผิดหวัง แต่ครั้นเห็นโอสถอีกเม็ด ก็กลับมามีความหวังอีกครั้ง ประกายความบ้าคลั่งในดวงตายิ่งโดดเด่นขึ้นมาจน หวังเป่าเล่อยังสะดุ้ง เดิมทีเขาวางแผนจะบรรเทาความขัดแย้งระหว่างตนเองกับ ศิษย์ที่เหลือ เพราะอย่างไรจะให้เขาไปซุกหัวนอนอยู่นอกที่พักอีกคืนก็คงไม่ดีนัก
แถมชายหนุ่มก็ไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับคนอีกนับร้อยคนเหมือนกัน ทว่าความคิดเหล่านั้นกลับหายวับเข้าส่วนลึกในใจทันทีที่ชายชราเผยโอสถปลดปล่อยกำลังกายาเม็ดที่สองออกมา ภายในหัวของเขาเหลือเพียงความคิดเดียว ซึ่งก็คือ…
มันต้องเป็นของข้า! หวังเป่าเล่อพลันมีสีหน้าดุร้าย หายใจถี่แรง สัญชาตญาณบอกให้เขาเรียกพลังจากฝักกระบี่ออกมา หมายจะใช้ท่าไม้ตายสุดโปรดของตนอีกครั้ง
แต่ยังไม่ทันที่หวังเป่าเล่อจะได้ทำเช่นนั้น เสียงของชายชราก็ดังก้องสะท้อนไปทั่วเสียก่อน
“นี่เป็นโอสถเม็ดสุดท้ายที่เจ้าจะได้ไปจากที่แห่งนี้ กติกายังคงเหมือนเดิม คนสุดท้ายที่ยืนหยัดอยู่ได้ตราบพระอาทิตย์ตกดิน จะได้รับโอสถเม็ดนี้ไปเป็นรางวัล!” ถ้าไม่ใช่เพราะหวังเป่าเล่อแผลงฤทธิ์เอาไว้เมื่อวาน ชายชราคงหยุดอยู่เพียงเท่านั้นแล้วจากไปทันทีที่ประกาศเสร็จ แต่เขากลับเสริมอีกประโยคขึ้นมา
“ห้ามใช้ยุง!”
เหล่าพันธุ์กล้าคนอื่นๆ ต่างสะใจเมื่อได้ยินชายชรากล่าวเช่นนั้น พวกเขารู้สึกว่าครูฝึกเป็นกลางและตัดสินใจอย่างเป็นธรรมที่สุด ขณะที่พวกเขากำลังลิงโลดใจอยู่นั้น ใครคนหนึ่งก็ตะโกนออกมาเสียก่อน
“อันดับแรก จัดการหวังเป่าเล่อเสีย!”
สีหน้าของหวังเป่าเล่อถอดสีฉับพลัน ชายหนุ่มเห็นแววตานับร้อยคู่มองมา อย่างไม่เป็นมิตร ราวกับกำลังครุ่นคิดว่าจะยกเลิกแผนเดิมที่คิดจะกำจัดเขาเพื่อ ล้างแค้นดีหรือไม่
ครูฝึกชราเห็นภาพตรงหน้าก็ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังทางออก เขาเป็นเพียงเจ้าพนักงานคนหนึ่งของสหพันธรัฐ ไม่ใช่บุคลากรของกองทัพ จึงวางตัวเป็นกลางกับพันธุ์กล้าทุกคน
กระนั้นตอนที่เขากำลังจะเดินออกไป และผู้ฝึกตนทั้งหลายกำลังจะพุ่งเข้าใส่ หวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็คำรามลั่นแล้วยกมือขวาขึ้นโบกเสียก่อน!
ทันใดนั้นเอง สมบัติเวทหุ่นเชิดจำนวนมากปรากฏตัวออกมารอบหวังเป่าเล่อ มีทั้งเพศชายและหญิง บางตัวดูเหมือนหวังเป่าเล่อไม่ผิดเพี้ยน บัตรรูดวิญญาณเงินก่อนหน้านี้ช่วยให้เขาหลอมวัตถุเวทหุ่นเชิดออกมาได้หลายร้อยตัวทีเดียว!
หวังเป่าเล่อเรียกมันออกมาเพียงครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดที่มี เพียงเท่านี้ก็ทำให้ทุกคนในจัตุรัสสาธารณะแห่งนั้นตะลึงงันได้ พวกเขาต่างมองเหล่าหุ่นเชิดทั้งหลายอย่าง ไม่เชื่อสายตา คนที่หวาดผวาที่สุดคงจะเป็นหลี่อี้และพรรคพวกของนาง ที่เคยโดน หุ่นเชิดพวกนี้กอดรัดฟัดเหวี่ยงสมัยหมู่บ้านลมปราณวิญญาณ
หลี่อี้ขนลุกซู่แทบจะในทันที นางล่าถอยอย่างรวดเร็วแม้จะรู้ว่ามีหุ่นเชิดเพียงไม่ กี่ตัวที่ยากจะต่อกรด้วยจริงๆ แต่บรรดาศิษย์ส่วนใหญ่ตรงนั้นต่างประหลาดใจ หารู้ไม่ว่าหุ่นเชิดพวกนั้นน่าหวาดหวั่นถึงเพียงใด
พวกมันมีจำนวนมากพอจะล้อมผู้ฝึกตนหนึ่งคนได้ด้วยหุ่นเชิดถึงสามตัวเป็นอย่างน้อย ยังความวุ่นวายโกลาหลให้เกิดขึ้นทันควัน
หวังเป่าเล่อพุ่งตัวออกไปอย่างว่องไวในเวลาเดียวกัน ใครที่ไม่ทันระวังตัว โดนหุ่นเชิดกอดรัดเข้า ก็จะโดนเขาซัดเข้าที่หัวจนหมดสติตรงนั้นทันที
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงดังโครมครามก้องกังวาน ตามมาด้วยเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวที่ปะทุขึ้นทุกหนทุกแห่ง ทำเอาครูฝึกชราได้แต่ยืนมองความโกลาหลอยู่ตรงนั้น พูดอะไรไม่ออก
“หวังเป่าเล่อ ไอ้คนสารเลว!”
“หวังเป่าเล่อ ฝากไว้ก่อนเถอะ! ไอ้คนไร้ยางอาย!”
“ให้ตายเถอะ ทำไมหมอนี่ถึงมีหุ่นเชิดเยอะนัก บัดซบจริง มันจะหลอมของพรรค์นี้ขึ้นมาด้วยเหตุผลกลใดกัน”
ขณะที่ทุกคนพากันแหกปากโวยวาย หวังเป่าเล่อก็อาศัยจังหวะนั้นไล่โจมตีไป ทีละคนอย่างรวดเร็ว พวกหุ่นเชิดเองก็ทำตามคำสั่งของหวังเป่าเล่อได้อย่างไม่มีที่ติ พวกมันต่างเข้าสวมกอดและไล่ถอดเสื้อผ้าของพวกผู้ฝึกตนทุกคน
พันธุ์กล้าทุกคนโดยเฉพาะผู้ฝึกตนหญิงต่างหวาดกลัวไม่กล้าขัดขืน แม้จะโกรธและกลัวสักปานใด พวกนางหมดสติไปทันทีที่โดนหวังเป่าเล่อโจมตีเข้ากลางศีรษะ ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเวลาเพียงห้านาที ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะกลายเป็นคนสุดท้ายที่ยังยืนหยัดอยู่ตรงนั้น
ขณะที่จั่วอี้ฟานกับเจ้าเยี่ยเหมิงได้แต่พากันนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ได้แต่หัวเราะด้วยความขมขื่นอยู่อย่างนั้น แม้บรรดาหุ่นเชิดจะไม่กล้ำกรายพวกเขาเลย และพวกเขาเองก็อยากได้โอสถเหมือนกัน แต่กระนั้นก็รู้ดีว่าตนเองไม่มีปัญญาเอาชนะหวังเป่าเล่อได้อย่างแน่นอน