บทที่ 220 ขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นกายเนื้อ
ยังมีอีกหลายคนที่ดื้อด้านขัดขืนสุดแรง กงเต๋าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ปกติเขาจะดูเก็บตัวและหยิ่งยโส ประสบการณ์ในอดีตของเขาทำให้เขาไม่แยแสหัวกะทิของสหพันธรัฐคนอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย
จนกระทั่งเขาได้มาเจอกับหวังเป่าเล่อ…คราวแรกก็พวกยุงที่ทำให้เขาคันอย่าง ไม่เคยเจอมาก่อน มาคราวนี้ก็สมบัติเวทหุ่นเชิด…เขาจวนเจียนจะเสียสติเต็มทน
ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววเย็นยะเยือก เมื่อมองหวังเป่าเล่ออย่างหงุดหงิดรำคาญใจ อีกเหตุผลหนึ่งคือเขารู้สึกว่าหวังเป่าเล่อดูจะค่อนข้างสนิทสนมกับจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงเป็นพิเศษ
ครั้งแรกที่เขาได้เห็นเจ้าเยี่ยเหมิง ชายหนุ่มก็ประหลาดใจ…ปกติแล้วเขาไม่เผลอใจ ให้ใครมาก่อน กงเต๋าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ประกายความเย็นชาฉายชัดในดวงตา เขาตั้งใจจะใช้เคล็ดเวทที่ร่ำเรียนมาสู้กลับไปบ้าง…
ทว่าตอนนั้นเอง…
หวังเป่าเล่อไล่ตบศีรษะคนรอบข้างจนเบื่อแล้ว จึงยกมือขวาเรียกหุ่นเชิดขนาดใหญ่ออกมาอีกนับสิบตัว
หุ่นเชิดพวกนั้นแข็งแรงยิ่งนัก ร่างกายของพวกมันใหญ่โตล่ำสันน่ากลัวพิลึก โดยเฉพาะตัวที่เหมือนจูกังเฉียงนั้นแลดูอำมหิตเป็นที่สุด แต่รูปร่างภายนอกไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ทุกคนที่ขัดขืนอยู่ต้องยอมจำนน…
แท้จริงแล้วที่พวกเขายอมจำนน เพราะตอนที่บรรดาหุ่นเชิดท่าทางดุร้ายตัวใหญ่ล่ำโผล่ออกมา พวกมันต่างก็ส่งเสียงสยดสยองชวนหลอนประสาททุกคนที่ได้ยินออกมาด้วยต่างหาก!
“อู้…อ้า…”
“อู้…ซี๊ด…อ้า…”
ทั้งสีหน้า ทั้งน้ำเสียง…ทำให้คนที่ขัดขืนกันในตอนแรกถึงกับตัวสั่นเทา ดวงตา เบิกกว้าง ภายในใจปั่นป่วนไปหมด
บรรดาหุ่นเชิดชุดก่อนหน้านี้มีทั้งชายและหญิงหน้าตาธรรมดา ถึงขั้นเรียกได้ว่าหล่อเหลาสวยงามก็ว่าได้ แต่หุ่นเชิดชุดใหม่เหล่านี้ที่นำทัพโดยจูกังเหลียง ทำเอา ผู้ฝึกตนทั้งชายและหญิงหายใจเฮือก ตะลึงลานกันอย่างไม่ต้องสงสัย
“นี่…นี่มันตัวอะไรกัน”
“อย่าเข้ามาเชียว!”
ขนาดครูฝึกชรายังชะงักงันราวกับถูกสายฟ้าฟาด เขายืนตะลึงจ้องมองพวก ตัวประหลาดที่กำลังส่งเสียงเขย่าขวัญ
กงเต๋านิ่งค้างจนลืมหายใจ ชักลังเลว่าจะปลดปล่อยเคล็ดเวทออกมาดีหรือไม่ เขารู้สึกได้ว่าหุ่นเชิดชุดนี้ต่างจากชุดก่อนหน้ามากโข ลางสังหรณ์แบบเดียวกับที่ เกิดขึ้นกับสัตว์ป่า บอกให้เขารู้ว่าหุ่นเชิดสุดชั่วช้าพวกนี้น่าครั่นคร้ามถึงเพียงใด!
พอเห็นทุกคนตกอกตกใจกับหุ่นเชิดของเขา หวังเป่าเล่อก็พูดขึ้นแบบใส่อารมณ์เต็มที่
“คุณสมบัติประจำตัวที่ดีที่สุดของข้าคือ ข้าทำอะไรลงไปตามเหตุและผลเสมอ ข้าอยากได้โอสถเม็ดนั้น หากใครยินยอมดังนั้นก็จงบอกมา เราจะได้ตกลงกันให้ รู้เรื่องรู้ราว”
สิ้นเสียงหวังเป่าเล่อ พวกหุ่นเชิดกล้ามล่ำก็ส่งเสียงดังสะเทือนขวัญขึ้นพร้อมกันเป็นลูกคู่
คนที่ยังไม่หมดสติมองหุ่นเชิดบึกบึนพวกนั้น ครั้นได้ยินเสียงที่พวกมันเปล่งออกมา ก็ทำเอาพวกเขาชาวาบเย็นสันหลัง ต่างพากันสบถสาบานอยู่ในใจ ไม่กล้าแม้แต่จะปริปากเอ่ยอะไรออกมา
ครั้นเห็นเป็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ระริกระรี้มองไปยังครูฝึกสูงวัยที่ทำหน้าประหลาดอยู่
“ครูฝึกขอรับ ไม่ต้องรอจนถึงพระอาทิตย์ตกดินหรอกขอรับ…ท่านให้โอสถข้าเลยได้หรือไม่”
ชายชราเงียบไป สักพักต่อมาเขาก็มองจ้องหวังเป่าเล่อเขม็ง ก่อนจะสะบัดมือขวา โยนโอสถปลดปล่อยกำลังกายาให้หวังเป่าเล่ออีกครั้ง
หวังเป่าเล่อรีบกระโจนคว้าไว้ ชายหนุ่มชักจะอยู่ไม่สุข รีบรวบเก็บหุ่นเชิด ทั้งหมดแล้วกลับหลังหันปรี่ออกไปข้างนอก หายลับจากสายตาพันธุ์กล้าทุกคนที่กำลังพยุงตัวลุกขึ้นยืน ทุกคนต่างกัดฟันกรอดด้วยความเดือดดาล
สามวันให้หลัง หวังเป่าเล่อไม่โผล่หน้ามาให้พวกเขาเห็นอีกเลย แม้จะโอสถหลากชนิดแจกเป็นรางวัลทุกวัน แต่ก็ไม่มีโอสถชนิดใดเทียบได้กับโอสถปลดปล่อยกำลังกายา พันธุ์กล้าทุกคนยังคงต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงโอสถเหล่านั้นมาไว้ในครอบครอง แต่ก็วางแผนรวมตัวกันจัดการกับหวังเป่าเล่อไปด้วย พวกเขาอยากจะสั่งสอน หวังเป่าเล่อให้หลาบจำเสียเต็มแก่ ทางด้านหวังเป่าเล่อนั้นใช้เวลาจำศีลอยู่ถึงสามวัน เจ้าพนักงานกองทัพนักรบให้ชายหนุ่มเก็บตัวบำเพ็ญเพียรในค่ายพำนักได้โดยไม่ลังเล เพราะเขามีความสัมพันธ์อันดีกับกองทัพอยู่แล้ว
ภายในห้องส่วนตัวนั้น หวังเป่าเล่อกลืนโอสถปลดปล่อยกำลังกายาเม็ดที่สองลงไป ร่างกายบังเกิดความเปลี่ยนแปลงราวกับมีพายุโหมกระหน่ำอยู่ภายในกาย ตอนแรกหวังเป่าเล่อคิดว่าตนจะย่อยโอสถได้หมดภายในวันเดียว แต่ความจริงแล้วเขาต้องใช้เวลาถึงสามวันกว่าร่างกายจะดูดซึมโอสถจนหมด
ผลลัพธ์ของโอสถเม็ดนั้นรุนแรงระดับที่ทั้งร่างของเขา ทั้งพละกำลังของกล้ามเนื้อและกระดูก ล้วนเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์และแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากมายมหาศาล!
คืนหนึ่งพลันมีเสียงแตกร้าวดังมาจากภายในตัวของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาทอประกายเหมือนดวงดาวเจิดจ้า ระดับการฝึกตนของเขายังอยู่ที่ระดับลมหายใจเที่ยงแท้ แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกได้ว่ามีมวลพลังขั้นรากฐานตั้งมั่น แผ่กระจายออกมาจากตัวเอง!
มวลพลังนั้นแผ่ออกมาจากกายเนื้อของเขา!
หวังเป่าเล่อพลันฮึกเหิม รีบผุดลุกยืนขึ้นแล้วก้าวไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มกำลัง ฉับพลันก็เกิดเสียงคำรามสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งห้อง ตามมาด้วยเสียงแหวกอากาศครืนครันพุ่งไปทางกำแพงห้อง
ยังดีที่ชายหนุ่มตอบสนองได้ทันท่วงทีแล้วหยุดตัวเองไว้ทัน เขาวางมือไว้กับกำแพงก่อนที่ร่างจะพุ่งชนใส่
แต่ครั้นเขาออกแรงยันมือเข้ากับกำแพง มันก็พลันแตกละเอียดส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เศษชิ้นส่วนกระจายไปทั่วทุกแห่งหน หวังเป่าเล่อเบิกตากว้างมองภาพตรงหน้า เขายืนอยู่กับความรู้สึกเหลือเชื่อพลางก้มลงมองร่างกายของตัวเอง ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้น
เสียงดังกึกก้องนั้นเรียกความสนใจจากเหล่านักรบภายนอก พวกเขารีบรุดเข้ามาหาหวังเป่าเล่อ ครั้นเห็นกำแพงห้องลับของหวังเป่าเล่อพังทลายลงมา ต่างก็พากัน นิ่งงันไป
ห้องลับแห่งนี้แข็งแกร่งทนทานยิ่งนัก สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการฝึกตนของผู้ที่ระดับปราณต่ำกว่าขั้นรากฐานมั่นคงโดยเฉพาะ ควรจะทนทานต่อพละกำลังของ ผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ที่เข้ามาใช้สถานที่แห่งนี้ฝึกเคล็ดเวท
แต่มันกลับพังทลายลงมาเสียอย่างนั้น…
“ข้าพลั้งมือน่ะ…” หวังเป่าเล่อหัวเราะแห้งๆ พร้อมขอโทษขอโพยทุกคน เหล่านักรบจากกองทัพจ้องมองเขาอย่างงุนงง ชายหนุ่มจึงรีบขอตัวพุ่งหนีออกมาจากค่ายนักรบทันที
ชายหนุ่มลองทดสอบความเร็วของตัวเองภายในป่าด้านนอก เขากระโจนขึ้นไปในอากาศ เกิดเป็นเสียงดังโครมครามแหวกอากาศ เคลื่อนไหวได้ว่องไวยิ่งนัก ว่องไวกว่าก่อนหน้านี้สักสิบเท่าได้
ความเร็วระดับนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นเต้นสุดขีด ดวงตาเป็นประกาย เขาเหวี่ยงหมัด ไปข้างหน้า เกิดเป็นพายุหมุนทรงพลังขึ้นมา พายุลูกนั้นรุนแรงยิ่งกว่ากระบวนท่าใด ที่เขาเคยฝึกมาด้วยซ้ำ!
ตอนนี้ข้าอยู่ระดับการฝึกตนใดกันแน่ ขั้นรากฐานมั่นคงอย่างนั้นรึ ระหว่างที่ดีใจจนเนื้อเต้นอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็ยังอดกังขาถึงระดับการฝึกตนของตัวเองไม่ได้ แต่มี สิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจ คือที่ผ่านมาเขาอาจจะต่อกรกับผู้ฝึกตนขั้นรากฐานมั่นคงไม่ได้ แต่ตอนนี้เขามั่นใจว่าพวกนั้นก็หาได้เกินกำลังเขาแล้ว!
ยิ่งคิดถึงเคล็ดเวทระเบิดกำเนิดดวงดารา ชายหนุ่มก็ยิ่งตื่นเต้น เขาสูดลมหายใจแล้วค่อยๆ กำหมัดแน่น ทำตามขั้นตอนที่ระบุไว้ในแผ่นหยกระเบิดกำเนิดดวงดารา ร่วมกับความเข้าใจของตัวเองหลังจากครูฝึกชราสาธิตให้ดูถึงสองครั้ง นอกจากนี้ หวังเป่าเล่อยังนำเอากระบวนท่าซัดคลื่นพลังที่ได้รับจากรากฐานวิญญาณเก้านิ้วมาใช้อีกด้วย
เพียงกำหมัด ร่างกายของชายหนุ่มก็สั่นสะเทือนเป็นจังหวะหลายต่อหลายครั้ง คลื่นพลังงานปะทุออกมาเป็นระลอกจากร่างของเขา ตัวงอโก่งเป็นคันธนูอย่างไม่อาจควบคุมได้ ด้วยยังไม่ได้ฝึกฝนเคล็ดเวทนี้มาอย่างดี เขาจึงดูเหมือนกำลังกักเก็บพลังงานอยู่เสียมากกว่า
ทว่าหลังจากสูดหายใจอีกหลายครั้งจนกักเก็บพลังงานถึงขีดจำกัดของร่างกาย หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้นกะทันหัน ร่างกายของเขาเป็นเหมือนคันธนูใหญ่ยักษ์ที่พร้อมจะปลดปล่อยตัวเองได้ทุกเมื่อ!
พลังทั้งหมดในกายเขาราวกับน้ำท่วมที่กลืนกินทุกอย่าง แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ต่างจากลูกธนูที่เพิ่งปล่อยออกไป มวลพลังทั้งหลายควบรวมกันอยู่บนฝ่ามือก่อนที่เขาจะผลักมันออกไปเบื้องหน้า!
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว พลังที่แม้แต่หวังเป่าเล่อยังสะพรึงกลัวระเบิดออกมาพร้อมกับหมัดของเขา ต้นไม้ใบหญ้าต่างโรยราแห้งเหี่ยวราวกับมีมือล่องหนมาไล่ถอนพวกมันออก กระแสพายุหมุนขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นมา ก่อให้เกิดสายลมรุนแรงที่กระแทกเข้าหาปะทะกันแล้วกวาดล้างทั่วทุกสารทิศ
เมื่อพายุสงบลง หวังเป่าเล่อก็ถึงกับต้องถอยหลังไปพิงต้นไม้ด้วยความพรั่นพรึง ชายหนุ่มหอบหายใจ ใบหน้าซีดเซียว กระบวนท่านั้นกระบวนท่าเดียวสูบพลังไปจากเขาจนหมด ทว่าในดวงตาเขายังคงมีแววตื่นเต้นระคนประหลาดใจเจืออยู่
บริเวณนั้นสภาพเหมือนระเบิดลง บนพื้นปรากฏหลุมกว้างประมาณสามสิบกว่าเมตร พลังของมันเทียบเท่ากับปืนใหญ่สวรรค์เลยก็ว่าได้!
เขาพักผ่อนก่อนจะกลับค่ายนักรบไปด้วยสีหน้าแช่มชื่น หลังจากได้พักฟื้นทั้งคืน พอเสียงระฆังฝึกดังขึ้นในเช้าวันถัดมา หวังเป่าเล่อก็รีบตื่นแล้วรุดหน้าไปยังเขตสงวนที่พันธุ์กล้าทุกคนฝึกวิชากันทันที
ตลอดระยะเวลาที่หวังเป่าเล่อหายไป บรรดาสหายจากกองทัพช่วยทำเรื่องลา ให้เขาเสมอมา ซึ่งครูฝึกชราก็รับเรื่องเอาไว้ ทันทีที่ชายหนุ่มมาถึงจัตุรัสสาธารณะในเขตสงวน ก็เจอเข้ากับบรรดาพันธุ์กล้าที่เร่งฝีเท้ามาทางนี้ด้วยเช่นกัน
หวังเป่าเล่อ! ความแค้นผุดกลับขึ้นมาในใจทุกคน หลังจากไม่ได้เห็นหวังเป่าเล่อมาหลายวัน แววตาของพวกเขาพลันเย็นชาขึ้นมาทันที หวังเป่าเล่อกระแอมไอ ชายหนุ่มไม่มีความจำเป็นอันใดจะต้องไปประชันขันแข่งกับคนอื่นต่อ จึงแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาเย็นชาเหล่านั้น แล้วฉีกยิ้มพลางพยักหน้าให้พวกเขาแทน
“ไม่เจอกันนานเลย ทุกคน” หวังเป่าเล่อหัวเราะทักทายจั่วอี้ฟานกับเจ้าเยี่ยเหมิงขณะเดินไปหาทั้งคู่
“เป่าเล่อ เจ้าระวังตัวให้ดีๆ เถอะ ทุกคนรวมหัวกันต่อต้านเจ้าหมดแล้ว” จั่วอี้ฟานบอกเขาเสียงแผ่วเบา