บทที่ 227 งานฉลองผลไม้นครศักดิ์สิทธิ์
ทั่วทั้งสหพันธรัฐต่างรู้จักผลไม้ศักดิ์สิทธิ์กันเป็นอย่างดี ว่ากันว่ามันเป็น ผลไม้แปลกประหลาด แต่ยังไม่เท่ากับลูกท้อสวรรค์ในตำนาน ผลไม้ชนิดนี้มีคุณสมบัติช่วยเสริมบำรุงเหล่าผู้ฝึกตนให้แข็งแกร่ง และหากคนธรรมดากิน ก็จะสุขภาพดีและ มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง รวมทั้งอายุยืนยาวอีกด้วย
แม้แต่เด็กทารกยังสามารถรับประทานได้เพราะฤทธิ์ของมันไม่รุนแรงมาก
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือไม่อาจเก็บรักษาได้เป็นเวลานาน และต้องกินมันภายในสามวันหลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว
ผลไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้มาจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ที่เรียกกันว่า…ต้นเซียงชุนยักษ์!
แน่นอนว่าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่เหมือนต้นเซียงชุนยักษ์ในตำนาน ที่เติบใหญ่ใน ฤดูใบไม้ผลิแปดพันปี และฤดูใบไม้ร่วงอีกแปดพันปี ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์มีจุดเด่นร่วมกันอย่างเดียวคืออายุยืนนาน
เจ้าเมืองได้รับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้มาระหว่างการเดินทางในวัยหนุ่ม เขาพบกิ่งไม้แห้งอยู่ท่ามกลางเถ้าถ่านซึ่งยังไม่มอดสนิท และนำมันกลับมายังนครศักดิ์สิทธิ์ด้วย ภายใต้การดูแลเอาใจใส่อย่างทะนุถนอมของเขา กิ่งไม้นี้จึงเติบโตขึ้นและเติบใหญ่ สูงถึงสามสิบเมตร และออกผลไม้ศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรกตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน
แม้ว่าผลไม้ศักดิ์สิทธิ์จะสุกงอมไม่เป็นเวลา ทว่าตั้งแต่เจ้าเมืองชุบชีวิตมันขึ้นมา ต้นไม้ต้นนี้ก็ออกผลมาแล้วสามครั้ง ครั้งนี้คือครั้งที่สี่…
เจ้าเมืองอย่างหลินโยวเองก็รู้ดีว่าผลไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้มีสรรพคุณล้ำค่าเพียงใด แต่นั่นก็ไม่สลักสำคัญ สรรพคุณของมันเทียบไม่ได้เลยกับการเชื่อมสัมพันธ์อันเหนียวแน่นกับขุมอำนาจทั้งหลาย เมื่อต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ออกผลสองสามครั้งก่อนหน้านี้ เขาก็ได้เชิญเหล่าผู้กล้ารุ่นใหม่แห่งสหพันธรัฐมาร่วมงานเลี้ยงและแบ่งปันผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ให้
นอกจากเพื่อสานความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นต่อรุ่นให้แข็งแกร่งแล้ว อีกนัยหนึ่ง ก็เพื่อผูกมิตรกับหนุ่มสาวเหล่านั้นเพื่อผลประโยชน์ในภายภาคหน้า
กลยุทธ์นี้อาจจะเรียบง่าย แต่น้อยคนนักที่จะทำให้สำเร็จได้ อย่างไรเสียสรรพคุณของมันก็มีประโยชน์ต่อผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่น เจ้าเมืองจึงยกผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ให้ พวกเขาทั้งหมด
ทุกคนล้วนมองเห็นความทะเยอทะยานและความมุ่งมั่นจากการที่หลินโยว ทำเช่นนี้ กระนั้นผู้ที่จะขึ้นเป็นเสนาบดีของสหพันธรัฐ หรือขึ้นเป็นเจ้าเมืองใดๆ ล้วนต้องมีคุณสมบัติพิเศษในการปฏิบัติต่อคนอื่นและการจัดการเรื่องต่างๆ ได้
เมื่อเปรียบเทียบกับหลินเทียนหาวผู้เป็นบุตรชายนั้น ยังต้องเรียนรู้อีกมากมายนัก…
“หาวเอ๋อร์ เจ้าจงรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพในงานฉลองผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่จะจัดขึ้น ครั้งนี้เสีย” ภายใต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในเรือนหมู่ของเจ้าเมืองแห่งนครศักดิ์สิทธิ์ หลินโยวหมุนตัวมามองลูกชายของตนเองและพูดอย่างสุขุม
หลินเทียนหาวมองหน้าผู้เป็นพ่อด้วยความเกรงกลัวและเคารพ แม้จะไม่อยากแบ่งผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ให้คนอื่นง่ายๆ แต่ชายหนุ่มก็พยักหน้ารับคำอย่างเคร่งขรึม ผู้เป็นพ่อยิ้มช้าๆ ขณะเพ่งมองบุตรชายอย่างรู้ทัน ส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณหวังเป่าเล่อด้วย
หลินเทียนหาวจะได้เจอกับปัญหาและความยากลำบากเสียบ้าง หลังจากเข้าเรียนในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์บนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง เขาก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ทำให้หลินโยวรู้สึกสบายใจ
“จงอย่าคิดเสียดาย พวกเราอยู่ในสังคมแห่งเส้นสายและบุญคุณ การเชื่อมความสัมพันธ์สำคัญกว่าที่เจ้าคิด ข้าเองไม่จำเป็นต้องเอาอกเอาใจใครอีกแล้ว เพราะฉะนั้นครั้งนี้เจ้าจึงต้องเป็นฝ่ายยื่นมิตรไมตรีให้ผู้อื่นและสร้างสัมพันธมิตรเอา ไว้บ้าง”
“เข้าใจแล้วขอรับ ท่านพ่อ” หลินเทียนหาวสูดลมหายใจลึกและตอบกลับ อย่างแผ่วเบา
“ข้าจะลองเชิญลูกหลานท่านเสนาบดีคนอื่นๆ และบรรดาเจ้าเมืองต่างๆ รวมถึงเหล่าผู้กล้าจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋ามาร่วมงานด้วย คนจากตระกูลนภาห้าสมัย ก็จะเข้าร่วมด้วยเช่นกัน ส่วนอีกสองสำนักและกลุ่มไตรจันทรานั้นอาจจะไม่เข้าร่วม ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะไม่มีเหตุให้ต้องติดต่อกันบ่อยนัก แต่ถ้าพวกเขาตกลงว่าจะมาเข้าร่วม เจ้าก็จงให้การดูแลพวกเขาอย่างเหมาะสมด้วย” หลินโยวให้คำแนะนำและข้อเตือนใจสองสามข้อ ก่อนเงยหน้ามองต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ออกผลสุกงอม แล้วนึกถึงบางอย่างขึ้นมาทันใด จึงพูดต่อด้วยท่าทีสบายๆ
“ข้าได้เชิญผู้กล้ารุ่นใหม่จากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มาสองสามคนด้วย หนึ่งในนั้นคือหวังเป่าเล่อ”
หลินเทียนหาวเงียบไปชั่วครู่เมื่อได้ยินชื่ออริเก่า หากเป็นแต่ก่อนคงทักท้วงและ ไม่ยอมรับทันที หรือต่อให้ไม่ปริปากบอกความไม่พอใจออกมา ก็ยังคงรู้สึกทุกข์ระทมอยู่ภายใน ทว่า…หลังจากปะทะกับหวังเป่าเล่อสองสามครั้ง เขาก็ยอมจำนนต่อ ชะตากรรมของตนเองในที่สุด ชายหนุ่มยังคงเงียบอีกครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
“ความบาดหมางระหว่างข้ากับเขา ทำให้ตัวข้าดูเป็นเด็กอารมณ์ร้อนไม่รู้จักโต ข้าขออภัยที่ทำให้ท่านพ่อต้องกังวลขอรับ”
หลินโยวหันมามองบุตรชายเป็นเวลานานหลังจากได้ยินคำนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ ขยายออก จนต้องหัวเราะลั่นออกมา
เท่าที่หลินเทียนหาวจำความได้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เห็นพ่อของตนมีรอยยิ้มร่าเริงและมีความสุขขนาดนี้
“ดีมาก หาวเอ๋อร์ เจ้าโตขึ้นแล้ว!” หลินโยวหัวเราะเสียงดังราวกับปลดเปลื้องความทุกข์ใจออกจากบ่าของตนเองสำเร็จ เขาเดินไปตบไหล่ของลูกชาย ก่อนจากไปด้วยความสุขและสบายใจ
หลินเทียนหาวยังคงยืนอยู่ที่เดิมขณะมองดูพ่อของตนเดินลับตาไป สักพักหนึ่ง จึงส่ายศีรษะและหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา พลางพึมพำว่า
“ไม่ใช่เพราะว่าข้าโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นหรอก แต่เพราะไอ้หวังเป่าเล่อ…เป็นคนที่ข้า ไม่อาจสู้ได้ต่างหาก”
งานฉลองผลไม้ศักดิ์สิทธิ์จะจัดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า ณ เรือนหมู่ของเจ้าเมืองนครศักดิ์สิทธิ์
เมื่อคำเชิญถูกส่งออกไป ไม่นานนักขุมอำนาจทางการเมืองทั้งหลายก็ตอบกลับมา และเป็นไปตามที่หลินโยวคาด สำหรับสองสำนักนั้นไม่ตอบอะไร ส่วนกลุ่มไตรจันทราก็แจ้งเพียงว่าจะไม่มาเข้าร่วม
ขณะที่ตระกูลนภาห้าสมัยนั้นตอบรับคำเชิญอย่างง่ายดาย ด้วยต้องการรักษาสัมพันธภาพอันดีที่มีต่อหลินโยว
หลินโยวคาดการณ์ไว้เช่นนี้ตั้งแต่แรก พันธมิตรส่วนใหญ่ของเขาคือเหล่าเสนาบดีและสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า หนุ่มสาวผู้เป็นบุตรของเสนาบดีทั้งสิบหกคนตอบรับคำเชิญว่าจะมาเข้าร่วม เช่นกับกับสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า ผู้ที่เกี่ยวข้องต่างมุ่งหน้ามายัง นครศักดิ์สิทธิ์ด้วยเรือบินของตนเอง
รายชื่อผู้ได้รับเชิญ มีทั้งจั่วอี้ฟาน หวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิง และเหล่าพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐคนอื่นๆ รวมถึงศิษย์เอกผู้มีชื่อเสียงต่างๆ จากเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง
ชายอ้วนไม่มีความคิดจะปฏิเสธคำเชิญชวนเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญ
ท่านเสนาบดีหลินเป็นบุคคลสำคัญผู้เห็นถึงความสามารถของข้า โชคร้ายนักที่ ลูกชายของเขาไม่มีความสามารถในระดับเดียวกัน ชายหนุ่มตบพุงอย่างมีความสุข เอาแต่คิดถึงอาหารที่จะได้รับประทานภายในงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งไม่ใช่ผลไม้ธรรมดา หวังเป่าเล่อศึกษาค้นคว้าดูและพบว่ามันมีประโยชน์ต่อ บิดามารดาของตนมากกว่า
หลังจากตัดสินใจแล้ว หวังเป่าเล่อก็ติดต่อจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิง ก่อนวางแผนจะเดินทางไปงานฉลองผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว และแล้ววันแห่งงานฉลองผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็มาถึง นครศักดิ์สิทธิ์คลาคล่ำไปด้วยเสียงจอกแจกจอแจ ประชากรทุกคนในนครศักดิ์สิทธิ์ต่างรับรู้ข่าวการเฉลิมฉลองครั้งนี้ ต่างเฝ้าดูเรือบินหรูหราลำแล้วลำเล่าเร่งความเร็วตรงไปยังเรือนหมู่ของเจ้าเมือง
เรือบินเหล่านั้นช่าง…อลังการเหลือเกิน!
เรือบินลำหนึ่งทำมาจากทองคำนิลและมีรูปร่างคล้ายดาบโค้ง แผ่มวลพลังอำมหิตและโฉบเฉี่ยวในคราวเดียวกัน เรือบินลำนี้ไม่เพียงแต่เคลื่อนที่เร็วมาก แต่ยังสร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้ที่พบเห็นอีกด้วย
เรือบินแบบนี้ไม่ได้ผลิตจากโรงงานทั่วไป แต่ถูกหลอมขึ้นและปรับแต่งเฉพาะจากช่างฝีมือชั้นยอดเท่านั้น มันจึงเหนือชั้นกว่าเรือบินตามท้องตลาดทั่วไป ทั้งราคาและประสิทธิภาพ
ถึงกระนั้น เรือบินลำนี้กลับดูธรรมดาไปถนัดตา เพราะมีเรือบินอีกลำหนึ่งที่หรูหรากว่ามาก ส่วนหัวทำมาจากโลหะ แยกเขี้ยวยาวโง้งน่าเกรงขาม เขางอกอยู่บริเวณหน้าผาก แล่นปราดผ่านท้องนภาเข้ามาเสียก่อน แลดูคล้ายกับอสูรร้ายมากเสียกว่าเรือบิน
มวลพลังอันน่ากลัวและรูปลักษณ์ของมันนั้นข่มขวัญให้ผู้คนมองดูด้วยความหวาดผวา
วันนี้ชาวนครศักดิ์สิทธิ์ต่างตื่นตาตื่นใจกับเหล่าเรือบินอันวิจิตรตระการตาที่บินเข้ามาจากทุกทิศทางบนท้องฟ้า
“ฟ้าดิน ข้าเคยเห็นเรือบินทรงใบไม้แต่ในเครือข่ายวิญญาณเท่านั้น! ราคาของมันต้องแพงพอๆ กับห้องพักในนครหลวงสหพันธรัฐแน่ๆ! ข้าทำงานทั้งชีวิตคงมีปัญญาซื้อได้แค่ประตูหนึ่งบานของเรือบินนั่นเท่านั้น!”
“พวกเจ้าเห็นนั่นไหม…รถแข่งเหาะเหินซึ่งหลอมมาจากศิลาวิญญาณนั่น”
“ข้ายอมใจเจ้าของมันจริงๆ…”
ประชาชนทั่วทั้งเมืองต่างส่งเสียงร้องฮือฮาอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นเรือบินทรงหรูหราหรือรูปร่างแปลกประหลาดมารวมตัวกันในเรือนหมู่ของเจ้าเมืองนครศักดิ์สิทธิ์ แต่ละลำนั้นประเมินราคาไม่ได้
ลูกหลานของบรรดาเสนาบดีแห่งสหพันธรัฐ เข้ามาพูดคุยกับหลินเทียนหาว อย่างสนุกสนาน เพราะต่างรู้จักคุ้นเคยกับชายหนุ่มอย่างดี
“ขอบคุณนายน้อยหลินมากที่เชิญพวกเรามาที่นี่”
“ฮ่าๆ ท่านพี่ซุนเปลี่ยนเรือบินอีกแล้วหรือขอรับ ข้าเห็นมันอยู่ในประกาศของกลุ่มไตรจันทราเมื่อวันก่อน ทั่วทั้งสหพันธรัฐมีเพียงสิบลำเท่านั้นเอง ไม่อยากเชื่อเลยว่าท่านจะซื้อมันมาลำหนึ่งด้วย”
“ไม่ใช่แค่ลำเดียวหรอก ข้าเหมามาทั้งสิบลำเลย”
พวกเขาส่งเสียงหัวเราะร่า ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ทำทีเป็นยุติความสนใจที่มีต่อเรือบินของคนอื่น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกคนต่างแอบมองเพื่อเปรียบเทียบเรือบินของตนกับคนอื่นอยู่เนืองๆ
เรือบินลำโอ่อ่าทั้งหลายค่อยๆ ทำให้บรรยากาศของงานฉลองผลไม้ศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนไป กลายเป็นการแข่งขันคุยโวโอ้อวดเสียแทน
เรือนหมู่ของเจ้าเมืองนครศักดิ์สิทธิ์คึกคักและมีชีวิตชีวาขึ้น ขณะหลินเทียนหาวต้อนรับแขกทุกคนในงานและพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ในที่สุด สมาชิกจากตระกูล นภาห้าสมัยก็เดินทางมาถึง เรือบินของพวกเขาสะกดสายตาของผู้คนให้สนใจในทันทีที่ปรากฏตัวขึ้น
มันคือ…
เรือบินรบขนาดเล็ก…ที่เดินทางสู่อวกาศได้!