บทที่ 228 ความจริงอันยิ่งใหญ่คือสิ่งที่เรียบง่ายที่สุด
เรือบินรบยาวสามร้อยเมตรลำนี้ค่อยๆ บินเข้ามา แผ่มวลพลังโอ่อ่าน่าเกรงขาม มันได้รับการดัดแปลงและใช้ศิลาวิญญาณเป็นเชื้อเพลิงหลัก ตัวเครื่องทาสีดำ ทุกคนมองดูมันแล้วก็ได้แต่สั่นสะท้านด้วยความกลัว
ลูกหลานของบรรดาเสนาบดีหรี่ตามอง เช่นกันกับกลุ่มคนรอบข้างและประชาชนแห่งนครศักดิ์สิทธิ์ที่มองเรือบินลำนี้ทันทีที่มันปรากฏตัวขึ้นด้วยความตกใจ
“ฟ้าดิน เดินทางโดยใช้เรือบินรบขนาดเล็กเลยรึ…”
“ใครกันที๋โดยสารมันมา…”
ท่ามกลางบทสนทนาอันดุเดือด เรือบินรบลำนั้นชะลอความเร็วลง จั่วอี้เซียนในชุดคลุมสีขาวเดินออกมาด้วยรอยยิ้มอันสง่างามและมีเสน่ห์ ตามมาด้วยศิษย์เอกจากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวอีกสิบกว่าคน หนึ่งในนั้นคือหลี่อี้
หลินเทียนหาวยิ้มเมื่อกลุ่มคนเหล่านั้นเดินมา ก่อนเข้าไปทักทายพูดคุยอย่าง มีความสุข แล้วจึงเดินนำเข้าไปในเรือนหมู่ของตน
ในแวดวงชนชั้นสูงนี้ต่างรู้จักจั่วอี้เซียนเป็นอย่างดี จึงไม่ต้องเสียเวลาแนะนำตัวกันใหม่ ไม่นานนักลูกหลานของเหล่าเสนาบดีก็เข้ามาหาพร้อมรอยยิ้ม และเริ่มพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆ
หลี่อี้และผองเพื่อนเองก็มีชื่อเสียงจากการคัดเลือกแผนพันธุ์กล้าหนึ่งร้อยต้นของสหพันธรัฐ เมื่อพวกเขาปรากฏตัวขึ้นในเรือนหมู่ หลายคนจึงรอคอยจะทำความรู้จักเสียเต็มประดา บรรยากาศครึกครื้นด้วยเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยเฮฮา
เรือนหมู่ของเจ้าเมืองเต็มไปด้วยความครื้นเครง สมาชิกในสำนักศึกษาเต๋าธารสวรรค์และสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวสาขาย่อยทยอยกันเข้ามา แต่ละสำนักก็คัดเลือกเรือบินมาอย่างดีเช่นกัน ศิษย์เอกจากสำนักศึกษาเต๋าธารสวรรค์นั้น เข้ามาด้วยเรือบินซึ่งดูเหมือนจะสร้างมาจากผลึกแก้ว
ส่วนบรรดาสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวสาขาย่อยนั้นน่าทึ่งเสียยิ่งกว่า พวกเขาโดยสารเรือบินหน้าตาเหมือนม้าเหล็ก ควบทะยานเข้ามาในสถานที่แห่งนี้พร้อม เสียงคำรามกึกก้อง
เหมือนวัตถุประสงค์หลักของการจัดงานครั้งนี้จะเปลี่ยนไป ตั้งแต่งานเลี้ยงยัง ไม่เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ แทนที่จะจอดเรือบินกันไว้ให้เป็นที่เป็นทาง ทุกคนกลับจอดมันไว้อย่างโจ่งแจ้งเช่นนั้น…แทบทุกสายตาของผู้คนต่างจับจ้องมาอย่าง พินิจพิเคราะห์ หลายคนถึงขั้นถ่ายรูปและโพสต์ลงในเครือข่ายวิญญาณ จนเกิดเป็นกระแสปั่นป่วนไปทั่วทั้งเครือข่าย
แต่เนื่องจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ใกล้กับนครศักดิ์สิทธิ์…ศิษย์ส่วนใหญ่จึงเดินทางโดยเรือบินส่วนตัวเป็นหลักและไม่ได้เตรียมตัวมาดีนัก ทำให้เรือบินของพวกเขาเทียบชั้นกับคนอื่นๆ ไม่ได้ จึงรู้สึกเขินอายและไม่กล้าลงจอดเทียบข้างกับ ลำอื่นๆ…
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องพ่ายแพ้ไปในการประชันครั้งนี้ แม้ว่าจะเป็นเพียงการแข่งอวดเรือบินที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่ผู้กล้าเหล่านั้นยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มสาว เมื่อมีบางคนอวดเบ่งลำพองใจ คนที่เหลือก็อดรู้สึกกระดากอายอย่างเสียมิได้
เรื่องราวทั้งหมดแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเครือข่ายวิญญาณ เหล่าผู้คนจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่เดินทางมาถึงต่างติดต่อกลับไปยังสำนักศึกษาของตน เผื่อจะมีใครที่ยังไม่ออกเดินทาง หวังเป่าเล่อเองก็ได้รับทราบข่าวสารการประชันครั้งนี้เช่นกัน
ชายหนุ่มรับรู้ข่าวคราว ตอนที่ออกมาพบกับจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิง ขณะที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังเรือบินเพื่อออกเดินทาง แหวนสื่อสารของพวกเขาสั่นครืนขึ้นมาเสียก่อน แม้แต่เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็มีคนคาบข่าวมาบอก
หนุ่มสาวทั้งสามอ่านข้อความแล้วนิ่งไป หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงนใจ
การประชันเรือบินอย่างนั้นรึ
จั่วอี้ฟานขมวดคิ้วเมื่อรู้ว่าจั่วอี้เซียนจากตระกูลนภาห้าสมัยเข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นกัน แววตาทอประกายเย็นเยียบออกมาเมื่อได้ยินข่าว
เจ้าเยี่ยเหมิงไม่สนใจว่าใครจะมาโอ้อวดความมั่งคั่งของตนเองบ้าง หญิงสาวไม่สนใจอะไรเลย เพราะนางรู้ดีว่าทั้งชีวิตนี้ นอกจากบุคคลเพียงคนเดียวแล้ว คนอื่นที่เหลือ…ก็ไม่เห็นมีใครร่ำรวยเท่านางเลยสักคน นางเคยชินกับความรู้สึกนี้เสียเต็มประดา
“เรื่องบ้าพวกนี้มันอะไรกัน ไม่ใช่ว่าพวกเราจะไปกินผลไม้กันเท่านั้นหรอกหรือ มันกลายเป็นการแข่งขันอวดรวยไปตั้งแต่เมื่อใดเล่า” หวังเป่าเล่อส่ายหัวและยิ้มเยาะ แสดงออกถึงความเย้ยหยัน ราวกับผู้ใหญ่มองเด็กน้อยทะเลาะกันว่าของเล่นของใครเลิศล้ำกว่า
“เจ้าพวกนั้นไร้เดียงสายิ่งนัก ก็แค่งานเลี้ยงสังสรรค์ธรรมดา จะมาโอ้อวดเรือบินกันเพื่ออะไร ถึงสร้างมาจากทองคำนิลแล้วมันทำไมหรือ ต่อให้เป็นรุ่นสั่งหลอมพิเศษแล้วจะสำคัญอย่างไรเล่า…เรื่องพวกนี้มันอะไรกันแน่ ช่างบ้าบอยิ่งนัก จอมปลอมชะมัด!” ชายหนุ่มอ่านข่าวแล้วได้แต่คร่ำครวญ
“พวกเราเป็นผู้ฝึกตน ก็ควรจะฝักใฝ่เพื่อเป็นศิษย์แห่งเต๋าผู้ยิ่งใหญ่ เราควรเป็น ผู้ควงคทาแห่งอดีตก้าวต่อไปสู่อนาคต และปรารถนาแต่สันติสุขของจักรวาล แล้วจะใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไร้ความหมายเพียงเพื่อการประชันเช่นนี้น่ะหรือ” หวังเป่าเล่อพูดด้วยน้ำเสียงอหังการ์ เปี่ยมล้นด้วยความเชื่อมั่นอันรุนแรง
“เช่นนั้นวันนี้ พวกเราทั้งสามคนจะเดินทางไปที่นั้นด้วยวิธีที่เรียบง่ายธรรมดา เพื่อแสดงให้เหล่าเด็กน้อยพวกนั้นเห็นว่า การอวดรวยเป็นสิ่งอัปยศ ความเรียบง่ายต่างหากที่บริสุทธิ์ถ่องแท้ สัจธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือสัจธรรมที่เรียบง่ายที่สุดเช่นกัน!”
จั่วอี้ฟานได้ยินดังนั้น ภายในก็ปั่นป่วนขึ้นมา แม้แต่เจ้าเยี่ยเหมิงยังมอง คนตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ ไม่ทันจะพูดว่าเห็นด้วย หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้นอย่างโอหัง และยกมือขึ้นผิวปากอย่างดุเดือด
เสียงหวีดแหลมสูงดังมาจากปากของชายหนุ่ม แหวกผ่านอากาศออกไปไกลโพ้นในบัดดล
เสียงผิวปากนั้นทำให้จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงสะดุ้งโหยง พลันเสียงคำรามดั่งฟ้าร้องดังลั่นมาจากทางตำหนักฝึกอสูร ก่อนที่ร่างสูงตระหง่านจะเผยให้เห็นพุ่งมาจากตำหนักแห่งนั้น เป็นเงาตะคุ่มบนท้องนภาอย่างรวดเร็ว
มันคือ…วานรเพชรนั่นเอง!
ร่างของมันสูงนับร้อยเมตรและปกคลุมด้วยขนดำ ปีกคู่หนึ่งงอกออกมาตรงกลางหลัง วานรเพชรแผ่มวลพลังอันน่าเกรงขามออกมา ท่าทางคุกคามยิ่งกว่าผู้ฝึกตนระดับ ลมหายใจเที่ยงแท้ หรือแม้แต่…ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นด้วยซ้ำ
มันกระโจนเข้ามาหา ก่อให้เกิดแรงลมอบอวลคละเคล้ากลิ่นคาวเลือด ราวกับมัน ควบพายุทะยานมาหาหวังเป่าเล่อและสหาย ในชั่วพริบตาวานรเพชรก็เข้ามาใกล้ และบินวนอยู่กลางอากาศ ปีกของมันกระพือจนเกิดแรงลมมหาศาล ดูมีความสุข เสียเต็มประดา
จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงหยุดหายใจเมื่อได้เผชิญหน้ากับวานรเพชร ทั้งคู่เผลอผงะถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว สรีระของมันนั้นกำยำจนน่ากลัวอย่างยิ่ง
เอาเข้าจริงเจ้าวานรเพชรนี้อาจจะเป็นคู่ต่อสู้ที่สมศักดิ์ศรีของต้นไม้ยักษ์ ขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสุดยอดในแอ่งแผ่นดินเค่อหลุนได้เลยทีเดียว
จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงยืนนิ่งงัน ขณะที่หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นทักทาย วานรเพชรอย่างไม่รู้สึกรู้สา ทำเอาเจ้าวานรเริงร่าเป็นที่สุด ทั้งคู่สงบศึกกันมานานแล้ว ทำให้มิตรภาพระหว่างพวกเขาเติบโตขึ้น โดยเฉพาะวันก่อนที่หวังเป่าเล่อกลับไปหามันพร้อมหุ่นเชิดวานรอีกสองสามตัว
เจ้าวานรเพชรรู้สึกว่าชายหนุ่มดีกับมันเหลือเกิน จึงเริ่มรักใคร่ไว้ใจกันมากขึ้น ทันใดนั้นมันก็ฉีกยิ้มกว้างพลางร้องคำรามลั่น
“เจ้าเพชรน้อย มีคนคิดจะรังแกข้า พวกเราจึงจะพาเจ้าไปด้วย ฟังไว้ให้ดี หากมีคนใจร้ายเข้ามาหาพวกเรา เจ้าจงชกมันให้หน้าหงายไปเลย!” หวังเป่าเล่อเอ่ย อย่างวางท่า
แม้วานรเพชรจะไม่ฉลาดนัก แต่ก็เป็นสัตว์ที่มีความรู้สึกและเข้าใจคำพูดของ ชายหนุ่มตรงหน้า มันคำรามร้องก้องลั่นท้องฟ้าอย่างตื่นเต้นในทันที เมื่อรู้ว่าตนเอง ถูกเรียกตัวให้ไปช่วยต่อกร ก่อนจะหมุนตัวพุ่งตรงดิ่งกลับถ้ำของมันในตำหนักฝึกอสูรโดยพลัน
หวังเป่าเล่อยืนนิ่งตะลึงงัน ครั้นเห็นว่ามันกลับมาอีกครั้งอย่างว่องไวด้วยรูปลักษณ์ที่แตกต่างออกไปจากเมื่อครู่!
ร่างกายของวานรเพชรบัดนี้สวมทับด้วยเกราะทองคำ ดูใหญ่โตราวกับ ภูเขาทองคำขนาดย่อมๆ สูงกว่าร้อยเมตร มันดูน่าเกรงขามและยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเคย!
ตำหนักอาวุธเวทเป็นผู้หลอมชุดเกราะนั้นอย่างพิถีพิถัน โดยใช้วัสดุราคาสูง และหลอมไว้ด้วยอักขราจารึกอันซับซ้อนมากมาย ชุดเกราะตัวนี้ถือเป็นสมบัติเวทระดับหก ที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ของเจ้าวานรนี้ให้เก่งกาจมากยิ่งขึ้น รังสีความอำมหิตโหดเหี้ยมเปล่งออกมาจากตัวของมัน ขณะที่กำลังโผบินอยู่ กลางอากาศ ปราณวิญญาณมากล้นปั่นป่วนอยู่รอบตัว
นอกจากนี้มันยังสวมหมวกเกราะขนาดใหญ่และถุงมือโลหะครบชุดอีกด้วย เมื่ออาวุธยุทธภัณฑ์เหล่านั้นประกอบเข้าด้วยกัน ก็ทำให้วานรเพชรกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอันน่าครั่นคร้ามโดยสมบูรณ์!
เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อเห็นวานรเพชรสวมใส่ชุดเกราะเต็มยศเช่นนี้ เขาอึ้งจนพูดไม่ออก ก่อนจะตื่นเต้นและหลุดหัวเราะดังลั่น จากนั้นจึงกระโจนขึ้นไปนั่งบนไหล่ของมัน และผายมือไปหาจั่วอี้ฟานกับแม่นางเจ้าเยี่ยเหมิง
“อี้ฟานกับเยี่ยเหมิง เร็วเข้า พวกเราต้องไปร่วมงานเลี้ยงฉลองเพื่อพบปะกับ พวกอวดรวยพวกนั้น พวกเราจะเดินทางกันโดยใช้วิธีอันเรียบง่ายไม่ค่อยเป็นทางการเช่นนี้ อย่ากลัวไปเลย ตราบใดที่เรายังมีฝัน และมีเต๋าอยู่เต็มหัวใจ!” หวังเป่าเล่อใคร่ครวญคำที่เพิ่งพูดออกไป พลันรู้สึกว่าตนเองช่างเป็นคนสมถะและบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง…
จั่วอี้ฟานเอามือตบหน้าผากฉาดใหญ่ รู้สึกว่าตนไม่น่าเผลอปล่อยใจหลงใหลไปกับคำกล่าวเรื่องความจริงอันยิ่งใหญ่และความเรียบง่ายอันเที่ยงแท้ของชายหนุ่มเลย ในขณะที่แม่นางเจ้าเยี่ยเหมิงนั้นอึ้งจนพูดไม่ออกเช่นกัน ทั้งคู่กระโดดขึ้นไปนั่งข้างๆ หวังเป่าเล่ออยู่บนไหล่ของเจ้าวานรเพชรไม่พูดอะไร ก่อนที่หญิงสาวจะคลี่ยิ้ม อย่างแผ่วเบาราวกับเข้าใจบางอย่าง
“หวังเป่าเล่อพูดถูก คนเราเกิดมายากจน แต่ย่อมมีฝันได้!”
“…” ริมฝีปากของจั่วอี้ฟานกระตุกพลางจ้องหน้าเจ้าเยี่ยเหมิง เห็นความคล้ายคลึงกันบางอย่างในตัวนางกับหวังเป่าเล่อ ก่อนพึมพำออกมาเบาๆ อย่างอดไม่ได้ “ถ้าเจ้าเป็นคนยากจน บนโลกใบนี้คงไม่มีใครร่ำรวยอีกแล้ว…”
ส่วนหวังเป่าเล่อแทบจะดึงหญิงสาวเข้ามากอดจูบด้วยความเบิกบานใจ เมื่อได้ยินว่านางเห็นด้วยกับตน นับว่าเป็นโชคดีที่เหตุผลของเขานั้นฟังขึ้น ชายหนุ่มสงบจิตสงบใจ ก่อนลูบตัววานรเพชรแล้วพูดขึ้นด้วยจิตวิญญาณอันแกร่งกล้า
“เพชรน้อย ลุยเลย จุดหมายของพวกเราคือ…เรือนหมู่ของเจ้าเมืองนครศักดิ์สิทธิ์!”
วานรเพชรเงยหน้าขึ้นส่งเสียงคำรามลั่นฟ้าสนั่นพสุธาในทันที เสียงนั้นดึงดูดความสนใจจากผู้คนจำนวนมากบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงให้ตะลึงลาน ก่อนที่มันจะกระพือปีกทะยานพุ่งตรงไปยัง…นครศักดิ์สิทธิ์!