บทที่ 232 เจ้าเป็นคนหลงตัวเองไม่ใช่หรือ
เสียงอึกทึกครึกโครมดังลั่นมาจากลานจัตุรัสตรงที่จั่วอี้ฟานยืนอยู่!
คนอื่นๆ บนลานจัตุรัส รวมถึงหลินโยวและชายแก่ต่างสังเกตเห็นความวุ่นวายนั้น เช่นเดียวกับหวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงซึ่งกำลังพูดคุยกับคนอื่นๆ อย่างสนุกสนาน พร้อมทั้งลอบจับตาดูหวงซานจากตำหนักหลุมพรางอย่างระแวดระวัง
ทั้งคู่หันมามองทันทีเมื่อตระหนักได้ว่าจั่วอี้ฟานกำลังมีปัญหา แล้วเห็นว่า จั่วอี้เซียนที่ยืนนำหน้าบรรดาสหายของตน กำลังชี้มาที่จั่วอี้ฟานด้วยแววตาเย็นชาเหมือนกำลังจะพูดบางอย่าง
สีหน้าของจั่วอี้ฟานแสดงออกว่าไม่พอใจ แต่ก็พยายามข่มอารมณ์ไว้ไม่ให้ทำอะไรผลีผลามอย่างสุดความสามารถ
ชายอ้วนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ก่อนหรี่ตาลงและเดินเข้าไปหาสหายของตนอย่างไม่ลังเล
เจ้าเยี่ยเหมิงมีสหายเพียงไม่กี่คนในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ และถือว่าหวังเป่าเล่อกับจั่วอี้ฟานนั้นเป็นมิตรแท้ของตน จึงเข้าไปสมทบโดยไม่รีรอเช่นกัน
ทั้งสามคนเคยรอดตายมาด้วยกันอย่างที่หวังเป่าเล่อเคยพูดไว้ สายสัมพันธ์นั้นทำให้หญิงสาวตามอีกฝ่ายเข้าไปหาจั่วอี้ฟานอย่างไม่รอช้า!
เมื่อทั้งสองคนเดินเข้ามา ก็ได้ยินจั่วอี้เซียนเอ่ยคำสบประมาทอย่างเย็นชาอยู่!
“สหพันธรัฐดีทุกอย่าง เสียอย่างเดียวกลับเอาเครื่องแบบอันทรงเกียรตินี้ไปให้พวกไม่มีหัวนอนปลายเท้าใส่เสียได้ เอ้อ จริงสิ อี้ฟาน เจ้าไม่กลับบ้านมานานแล้ว ข้าเลยลืมบอกไปว่า เมื่อไม่นานมานี้ สุนัขของข้ารับใช้ของข้าตะกุยหลุมศพของ มารดาเจ้าเละเทะไปหมดเลย ข้าต้องขอโทษด้วย”
คำพูดนั้นเหมือนเป็นคมมีดล่องหนกรีดแทงหัวใจของอีกฝ่าย ดวงตาของจั่วอี้ฟานแดงก่ำขึ้นมาทันที เขาคำรามเสียงต่ำราวกับสัตว์อสูรออกมา ร่างกายเขม็งเกลียว ใบหน้าหมองคล้ำ
สติสัมปชัญญะทั้งหมดของจั่วอี้ฟานหายสิ้น การพยายามควบคุมตนเองเมื่อครู่นี้พังทลายราวกับเขื่อนแตกและมีกระแสน้ำแรงพรั่งพรูออกมา เขากำหมัดแน่นจนตัวสั่นด้วยความโกรธจัด ก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีอีกฝ่ายทันที
ดวงตาของจั่วอี้เซียนทอประกาย ก่อนแสยะยิ้มอย่างเย็นชา เพราะตนรอคอยให้ ผู้เป็นน้องชายเปิดฉากจู่โจมก่อนอยู่แล้ว ขณะที่จั่วอี้เซียนกำลังยิ้ม และจั่วอี้ฟานกำลังทะยานเข้ามาอย่างโกรธแค้นนั้น…
จู่ๆ ชายร่างอ้วนกลมก็พุ่งเข้ามาจากระยะไกลด้วยความรวดเร็วอันคาดไม่ถึง เหล่าผู้ฝึกตนบนลานจัตุรัสเห็นเพียงความพร่าเบลอเท่านั้น แต่เมื่อภาพเงานั้นชัดขึ้น ก็เห็นว่าหวังเป่าเล่อยืนขวางอยู่ระหว่างสองพี่น้องคู่นี้แล้ว!
ชายหนุ่มยืนขวางจั่วอี้ฟานไว้จากสายตาของจั่วอี้เซียนในทันที ราวกับเป็นภูผาสูงตระหง่านซึ่งแผ่มวลพลังออกจากตัวจนทำเอาทุกคนตัวสั่นเทิ้ม แววตาของหวังเป่าเล่อฉายประกายความโหดเหี้ยม
“ดูเหมือนเจ้าจะมั่นอกมั่นใจเสียจริง!” ชายอ้วนขัดขวางมิให้จั่วอี้ฟานลงมือโจมตี ก่อนเหลือบมองไปยังจั่วอี้เซียน
“อี้ฟานเป็นน้องชายของข้า หากเจ้าไม่พอใจเขา ก็มาลงกับข้าแทนดีกว่า ครั้งก่อนข้ายังสั่งสอนเจ้าไม่หนำใจเลย!” หวังเป่าเล่อไม่พอใจ พร้อมมองไปยัง จั่วอี้เซียนซึ่งสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างเหยียดหยาม
สีหน้าของจั่วอี้เซียนดูไม่สู้ดีนัก
จั่วอี้ฟานใจเย็นลงเมื่อสหายของตนเข้ามาขวางไว้ อาการสั่นเทาค่อยคลายลง ชายหนุ่มสะกดความโกรธแค้นจนหน้ามืดตามัวลึกลงไปในจิตใจอีกครั้ง รู้สึกว่าตนเองนั้นสงบลงอย่างมากเมื่อหวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้น
หลังจากเห็นแผ่นหลังราวกับภูผานี้อยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มจึงย้อนคิดถึงเหตุการณ์ในหมู่บ้านลมปราณวิญญาณและแอ่งแผ่นดินเค่อหลุนอย่างอดไม่ได้ ตอนนี้เรื่องราวทำนองเดียวกันกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
ราวกับว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะพลิกผันเป็นดีขึ้น หากมีหวังเป่าเล่ออยู่ด้วย
ขณะที่หวังเป่าเล่อเผชิญหน้ากับจั่วอี้เซียนอยู่นั้น เจ้าเยี่ยเหมิงก็เดินออกมาสมทบข้างๆ ชายร่างอ้วน บ่งบอกชัดเจนว่านางอยู่ฝ่ายเดียวกับใครโดยไม่ต้องเอ่ยคำใดออกมา
การปรากฏตัวของหญิงสาวทำให้จั่วอี้เซียนกดดันขึ้นกว่าเก่า
หลายคนอาจจะไม่รู้ภูมิหลังของเจ้าเยี่ยเหมิง แต่ตัวเขาเองเคยได้ยินมาบ้าง ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่คิดล้ำเส้นหญิงสาวผู้นี้ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านลมปราณวิญญาณ
เดิมทีจั่วอี้เซียนต้องการยั่วยุให้ผู้เป็นน้องชายลงมือทำร้ายตน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจั่วอี้ฟานก้าวหน้าเกินไป จนผู้เป็นพี่อย่างเขารู้สึกกดดันและพ่ายแพ้
ชายหนุ่มรู้ดีว่าคัมภีร์เวทของตระกูลระบุไว้อย่างชัดเจน ว่าหากพลังของ องครักษ์สงครามอยู่เหนือกว่าเจ้านายของมัน ก็มีสิทธิ์ที่ร่างของผู้เป็นนายจะถูกองครักษ์สงครามเอาชนะและดูดกลืนเสียเอง!
จั่วอี้เซียนไม่มีทางยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด ชายหนุ่มยอมให้จั่วอี้ฟานกล้าแกร่ง ขึ้นได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของตนเท่านั้น เขาเกือบทำสำเร็จแล้วใน หมู่บ้านปราณวิญญาณ แต่กลับโดนหวังเป่าเล่อทำลายแผนการเสียย่อยยับ ทำให้ จั่วอี้ฟานผู้เป็นน้องได้ครอบครองรากฐานวิญญาณแปดนิ้วไป!
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของข้อบังคับและกฎเกณฑ์ของเคล็ดเวทองครักษ์สงครามประจำตระกูลของพวกเขา ที่พูดถึงเรื่องของเวรกรรม เหตุและผลต่างๆ ซึ่งยุ่งยากซับซ้อนยิ่งนัก หากกล่าวง่ายๆ มันก็คือเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังที่เชื่อมโยง ทั้งสองเข้าด้วยกันนั่นเอง ยิ่งองครักษ์สงครามเกลียดชังเขามากเท่าใด มันก็จะยิ่ง ฝังรากลึกลงไปในตัวของพวกเขาเท่านั้น จนเมล็ดนั้นงอกเงยออกผล เมื่อนั้น องครักษ์สงครามจะตกอยู่ในกำมือของร่างผู้เป็นนายและถูกควบคุมโดยสมบูรณ์!
ขั้นตอนทั้งหมดนี้ซับซ้อนอย่างยิ่ง ต้องอาศัยทั้งการปลูกฝังเมล็ดแห่งความเกลียดชัง และฝึกองครักษ์สงครามให้เกิดความก้าวร้าวฉุนเฉียวอย่างต่อเนื่อง ไม่ต่างจากฝึกอสูร และทำให้ความมุ่งมั่นของมันล่าถอยลง จากนั้นจึงค่อยบดขยี้มันให้สิ้น จนปฏิกิริยา ท้าทายของมันค่อยๆ นิ่งลงและอยู่ตัว…ไม่ต่อต้าน ไม่ตอบโต้อีกต่อไป
ฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่เจอหน้ากัน จั่วอี้เซียนจึงมักจะยั่วยุให้จั่วอี้ฟานทำร้ายตนเอง เพื่อเพิ่มความเกลียดชังให้หยั่งรากลึกยิ่งขึ้น จะได้ใช้เคล็ดเวทประจำตระกูลบีบให้ อีกฝ่ายกลับไปอยู่ในที่ของตัวเอง ก่อให้เกิดวัฏสงสาร ที่ผูกกระชับผสานทั้งคู่จน แนบแน่น
ทว่าชายหนุ่มกลับถูกขัดขวางอีกครั้งโดย…หวังเป่าเล่อเจ้าเก่า!
จั่วอี้เซียนคิดแล้วก็คับแค้นใจ แต่ก็มิอาจกำจัดอีกฝ่ายได้ นอกจากจะต้องระมัดระวังหวังเป่าเล่อแล้ว ยังต้องคอยกังวลเจ้าเยี่ยเหมิงอีกคน
ผู้คนรอบข้างเงียบเสียงลง แม้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ต่างก็มีความสงสัยใคร่รู้ พวกเขาแหวกตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้พื้นที่ตรงนั้นเหลือเพียงแค่ชายร่างอ้วนและพรรคพวกเท่านั้น
หลังจากเงียบไปนาน จั่วอี้เซียนก็มองหวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงด้วยแววตา อันล้ำลึก ก่อนจะแสยะยิ้มชั่วร้าย
“ในเมื่อพวกเจ้าอยากรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยปกป้องน้องชายผู้ไร้ประโยชน์คนนี้ ข้าก็จนปัญญาจะพูด แต่อย่างไรเสีย…หมอนั่นก็ยังเป็นคนของสกุลโจว ครั้งนี้ข้าจะยอมปล่อยผ่าน แต่ถ้ามีครั้งต่อไปอีก…จงฟังคำเตือนของข้าเอาไว้ให้ดีว่า สกุลโจว ไม่ญาติดีกับพวกคนนอกที่ชอบเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องในครอบครัวของเรา!”
จั่วอี้เซียนพูดจบก็ตวัดแขนเสื้อขึ้น ค้อมศีรษะให้หลินเทียนหาวที่ยืนอยู่ห่างออกไป แล้วกล่าวคำอำลาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ก่อนออกจากเรือนหมู่ของเจ้าเมืองนครศักดิ์สิทธิ์ไป
หลินเทียนหาวผู้เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงแอบถอนลมหายใจอย่างโล่งอกราวกับ พายุร้ายสงบลงได้เสียที ชายหนุ่มอยู่ในตำแหน่งที่วางตัวลำบาก เมื่อแขกของตนเกิดความขัดแย้งกันกลางงาน ทั้งคู่ต่างเป็นแขกผู้มีเกียรติ ฝ่ายหนึ่งเป็นถึงสมาชิก ตระกูลนภาห้าสมัย ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลของตนมาโดยตลอด ในขณะที่อีกฝ่ายเป็นถึงศิษย์เอกจากสำนักศึกษาเต๋าเดียวกันกับตน
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าควรเข้าข้างใคร…แต่นับว่าเป็นโชคดีที่ไม่ต้องเลือกฝ่ายอีกแล้ว หลินเทียนหาวยิ้มและพยายามปลอบขวัญแขกเหรื่อคนอื่นๆ
จู่ๆ แววตาของหวังเป่าเล่อก็กลับทอประกาย ในเมื่อจั่วอี้เซียนเป็นฝ่ายหาเรื่องพวกเขา เขาจึงไม่ยอมให้ชายผู้นั้นทำเรื่องเอาแต่ใจแล้วลอยนวลไปง่ายๆ แบบนั้น
ทันใดนั้น ชายร่างอ้วนก็พุ่งเข้าไปหาจั่วอี้เซียนทันที เขายกหมัดขวาขึ้นแผ่ มวลพลังออกมาจากร่าง พลางตะโกนสุดเสียงราวกับฟ้าร้องคำราม
“คิดจะจากไปดื้อๆ หลังจากเหยียดหยามคนอื่นอย่างนั้นหรือ
“เจ้าจะออกไปได้หลังจากเอ่ยคำขอโทษแล้วเท่านั้น!” หวังเป่าเล่อพูดพลางจู่โจมจั่วอี้เซียน เงื้อมือขึ้นสูงจนเกิดพายุหมุนและท้องฟ้าร้องคำราม ผู้คนมองดูด้วยความตื่นตระหนก หลี่ซิ่วเองก็หรี่ตามองอย่างประหลาดใจเช่นกัน
ทุกคนต่างชะงักงัน ขณะนั้นเอง จั่วอี้เซียนที่กำลังจะจากไป กลับรู้สึกได้ถึง มวลพลังอันน่ากลัวแผ่ซ่านมาจากด้านหลัง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที
“หวังเป่าเล่อ อย่าให้มันมากเกินไป! เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้าอย่างนั้นหรือ” จั่วอี้เซียนหมุนตัว เผยแววตาดุดัน ก่อนเรียกผนึกมือขึ้นมาโยนใส่ชายอ้วนที่กำลังพุ่งร่างเข้ามาหา!
ทันใดนั้น ก็พลันมีเงาหนึ่งปรากฏขึ้นมาด้านหลังชายหนุ่ม มันคือเคล็ดเวทลึกลับประจำตระกูล ซึ่งสามารถเรียกใช้ร่างจากชาติปางก่อนมาจุติได้ และไม่ใช่เพียงร่างเงาเดียวเท่านั้น แต่กลับเผยให้เห็นถึงสองร่าง!
ถือเป็นความสามารถที่พบเห็นได้ยากยิ่งในหมู่ผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ จั่วอี้เซียนไม่รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด ร่างเงาจุติจากปางก่อนรวมตัวประสานกับ ชายหนุ่มอย่างรวดเร็วทำให้มวลพลังแผ่เข้มข้นขึ้นทันที ก่อนทั้งสองร่างนั้นจะพุ่งเข้าปะทะกับหมัดของอีกฝ่าย
หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วขึ้น ไม่ได้หลบการโจมตีของอีกฝ่าย หากแต่ปลดปล่อยพลังที่ซุกซ่อนอยู่ในกายเนื้อของเขาออกมาพร้อมกับ…เคล็ดเวทระเบิดกำเนิดดวงดารา!
เสียงดังกึกก้องทั่วท้องนภาในทันที เสียงฟ้าร้องกระหึ่มในอากาศ…ดวงตาของ จั่วอี้เซียนเบิกโพลงด้วยความไม่อยากเชื่อเมื่อแรงสั่นสะเทือนแล่นปราดไปทั่ว ทั้งสรรพางค์กาย