บทที่ 233 จั่วอี้เซียนผู้นี้ยอมตายดีกว่าจะเอ่ยคำขอโทษ
ในมุมมองของจั่วอี้เซียนนั้น ราวกับว่าลานจัตุรัสทั้งหมดหายวับไปกับตา แล้วเห็นเพียงกระแสน้ำวนขนาดมหึมาอยู่ตรงหน้าเหมือนกับว่าพร้อมจะทำลาย ทุกอย่างให้สิ้น แม้เขาจะผสานเข้ากับร่างจุติปางก่อนเพื่อเพิ่มระดับพลังของตน จนทัดเทียมกับขั้นรากฐานตั้งมั่นระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจหยุดการโจมตีจากหวังเป่าเล่อในขณะนั้นได้
ชายหนุ่มเริ่มหวาดกลัวจนแทบหายใจไม่ออก และพยายามป้องกันตนเองอย่างสุดความสามารถ ขณะที่หมัดของอีกฝ่ายกำลังพุ่งเข้าใส่ ในชั่วพริบตานั้น กระแสน้ำวนทะลักเข้ามาทำให้ร่ายกายทุกส่วนเจ็บปวดจนแทบล้มทั้งยืน
จั่วอี้เซียนสั่นเทิ้มอย่างรุนแรงและกำลังจะยอมจำนน แต่จู่ๆ ก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามาด้านหลัง เขาสวมอาภรณ์ยาว ผมปล่อยสยาย ใบหน้ามีรอยด่างดำ ดูเงียบขรึมเป็นอย่างยิ่ง มวลพลังของชายหนุ่มทะลักทลายออก ขณะที่กำลังเดิน เข้ามา
ชายวัยกลางคนแปรสภาพจากคนแปลกหน้าไม่สะดุดตาอะไร กลายเป็นถึง ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นต้น เขาย่างเท้าไปเพียงหนึ่งก้าวก็ถึงตัวจั่วอี้เซียน ก่อนจะดึงร่างชายหนุ่มออกมา ฝ่ามือข้างซ้ายของเขาผนึกพลังไว้ ก่อนปล่อยใส่หวังเป่าเล่อ
“หลบไปเสีย!” ชายผู้นั้นตะโกนลั่น หมอกสีดำก่อตัวเป็นมือขนาดยักษ์อยู่ตรงมือขวาที่ชูสูงขึ้นในบัดดล มันเข้าประสานงากับพลังของหวังเป่าเล่อตรงจุดที่จั่วอี้เซียน เคยยืนอยู่
ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาเพียงเสี้ยววินาที ตั้งแต่สถานการณ์อันดุเดือดทำให้จั่วอี้เซียนเกือบพลาดท่า การปรากฏตัวของชายแปลกหน้าลึกลับผู้นี้ ไปจนถึงการปลดปล่อยหมอกดำกลายเป็นฝ่ามือยักษ์ ชายวัยกลางคนนี้เข้ามารับการโจมตีจากหวังเป่าเล่อแทนจั่วอี้เซียน จนเสียงปะทะระเบิดดังก้องสะท้านฟ้า
เสียงฟ้าลั่นดังอึกทึกทั่วทิศทาง ชายร่างอ้วนตัวสั่นโยนและโซเซไปสองสามก้าวพร้อมหายใจถี่ขึ้น แต่ยังดีที่ไม่มีการหลั่งเลือดเกิดขึ้น เจ้าเยี่ยเหมิงและจั่วอี้ฟานเดินเข้าไปช่วยพยุงร่างของเขา หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นจ้องชายวัยกลางคนผู้นั้น
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ชายในชุดคลุมยาวจึงขมวดคิ้วฉงน ก่อนชักมือขวาซึ่งยังคงสั่นเทาจากแรงระเบิดเมื่อครู่กลับมา และแอบตื่นตระหนกอยู่ในใจ
ท่าจู่โจมมาตรฐานขั้นรากฐานตั้งมั่นเช่นนี้ มักทำให้ผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้แพ้ราบเป็นหน้ากลองได้ไม่ยาก หากเป็นผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้คนอื่นๆ ที่ปะทะกับแรงโจมตีเมื่อครู่ คงมีอันต้องบาดเจ็บสาหัสจนกระอักเลือดเป็นแน่
แต่หวังเป่าเล่อเพียงแค่โซซัดโซเซไปเท่านั้น และดูเหมือนจะไม่ได้บาดเจ็บสักแห่งเลย เห็นดังนั้นชายวัยกลางคนคนก็อดตกใจไม่ได้
เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้พานพบกับผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ อันน่ากลัวเช่นนี้ โดยเฉพาะพลังกายของหวังเป่าเล่อนั้นยิ่งทำให้น่าเกรงขามขึ้นไปอีก
ไม่ใช่เพียงชายแปลกหน้า จั่วอี้เซียนเองก็ถึงกับสีหน้าซีดเผือดเช่นกัน เมื่อเห็นว่า ผู้พิทักษ์ของตนยื่นมือเข้ามาช่วย แต่กลับเป็นฝ่ายได้รับบาดเจ็บจากเคล็ดเวท ระเบิดกำเนิดดวงดาราของหวังเป่าเล่อจนเลือดซึมออกมุมปากเสียเอง
แม้ผู้พิทักษ์จะช่วยเขาไว้ได้ แต่กลับเป็นฝ่ายบาดเจ็บต่อหน้าธารกำนัลจำนวนมาก ทำให้ใบหน้าและใบหูของจั่วอี้เซียนนั้นร้อนผ่าวในทันที ดวงตาแดงก่ำด้วยความ เคียดแค้น ก่อนจะส่งเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง
“นักบวชโจว จัดการเจ้านั่นเสีย!”
ผู้คนในเหตุการณ์ต่างล่าถอยเพื่อเปิดพื้นที่ให้กว้างขึ้น หลี่อี้และบรรดาพันธุ์กล้าร้อยต้นต่างคุ้นชินกับความสามารถของหวังเป่าเล่อดีอยู่แล้ว แต่คนอื่นๆ เช่นหลี่ซิ่วนั้นเพิ่งเคยเห็นชายร่างอ้วนผู้นี้ต่อสู้เป็นครั้งแรก เมื่อพวกเขาเหล่านี้เห็นพละกำลังอัน น่าเกรงขามและกล้าแกร่งของหวังเป่าเล่อ จึงเกิดคลื่นความรู้สึกมากมายถาโถมเข้าใส่ทันที
ส่วนหลินโยวคอยจับตาดูการต่อสู้ครั้งนี้อยู่จากในห้องชั้นบน ตั้งใจสังเกตท่าทีของบุตรชายต่อเหตุที่กำลังจะเกิดขึ้น
“นายท่านขอรับ ให้ข้าเข้าไปห้ามดีหรือเปล่าขอรับ” ชายชราข้างกายหลินโยวเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ไม่ต้อง ข้าอยากรู้ว่าหาวเอ๋อร์จะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร” หลินโยวส่ายศีรษะ และยังคงจับจ้องบุตรชายของตนซึ่งดูลังเลแเหลาะแหละ ด้วยแววตาที่เจือความผิดหวังขึ้นทุกขณะ
“ไม่ว่าเขาจะช่วยเหลือใคร ข้าก็จะเห็นดีเห็นงามด้วย…แต่ที่นี่คือบ้านของเขา และเขาเป็นเจ้าบ้าน การยืนเฉยโดยไม่ลงมือทำอะไรเลย อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ทว่าจริงๆ แล้วมันกลับเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงที่สุดที่เขาจะทำได้!” หลินโยวถอนหายใจแผ่วเบา อดเปรียบเทียบบุตรชายของตนกับหวังเป่าเล่อหรือแม้แต่จั่วอี้เซียนไม่ได้ ความผิดหวังพลันท่วมท้นขึ้นในจิตใจอีกครั้ง
แม้ว่าหลินเทียนหาวจะไม่แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวเท่ากับหวังเป่าเล่อ แต่หลินโยวหวังว่าลูกของตนจะอยู่ในระดับเดียวกับจั่วอี้เซียนก็ดีมากพอแล้ว
ผู้เป็นเจ้าเมืองถอนหายใจ ขณะหลินเทียนหาวยังคงลังเล หลังจากจั่วอี้เซียนตะคอกออกคำสั่ง ผู้พิทักษ์วัยกลางคนก็ขมวดคิ้วเบาๆ แต่ก็ยอมทำตามโดยไม่ตั้งคำถาม
ตอนนั้นสายตาของจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงเผยความเยือกเย็น และตั้งท่าจะร่วมต่อสู้กับหวังเป่าเล่อด้วย ทว่า…ชายร่างอ้วนกลับจับแขนทั้งคู่เพื่อห้ามเอาไว้ ก่อนเงยหน้าขึ้นด้วยแววตาเปล่งประกายอย่างทะนงตน
“พวกเจ้าทั้งสองคนไม่จำเป็นต้องเข้ามาช่วยหรอก วันนี้ หวังเป่าเล่อคนนี้ ขอสะสางเรื่องนี้แต่เพียงลำพัง ขั้นรากฐานตั้งมั่น…แล้วอย่างไรหรือ ในพจนานุกรมของข้า ไม่มีคำว่าหวาดกลัวอยู่แล้ว!
“เจ้าเพชรน้อย!”
ชายหนุ่มตะโกนก้องขึ้นในทันที ทำให้วานรเพชรที่กำลังเล่นกับหุ่นเชิดของตัวเองอยู่เงยหน้าขึ้นคำรามก้องอย่างเกรี้ยวกราด มันผุดลุกขึ้นยืนแล้วกระทืบเท้าอย่างหนักจนแผ่นดินสั่นสะเทือน ร่างของมันทะยานขึ้นกลางอากาศคล้ายภูผาขนาดย่อม ก่อนดิ่งลงกระแทกกับพื้นข้างกายหวังเป่าเล่อ เกิดเป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
วานรเพชรปรากฏตัวในชุดเกราะโลหะ ร่างขนสีดำสนิทยืนตระหง่านด้วยใบหน้าอันดุร้าย มันสวมถุงมือโลหะกำหมัดแน่นทำให้หัวใจของทุกคนผวา ก่อนจะยกกำปั้นขึ้นทุบอกของตน ส่งเสียงโหยหวนอย่างต่อเนื่อง และจ้องมองไปยังชายวัยกลางคน ซึ่งกำลังเข้ามาใกล้ จนอีกฝ่ายต้องชะงักฝีเท้าลงและแน่นิ่งไป…
ชายวัยกลางคนไม่อาจควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจได้ ใบหน้านั้นซีดเซียว รอยด่างดำชัดเจนขึ้น เขากลืนน้ำลายและเหลือบมองวานรเพชร แต่ไม่กล้าเข้าไปใกล้อยู่เป็นเวลานาน เพราะสัมผัสได้ถึงมวลอันตรายจากอสูรตนนี้ ร่างสูงตระหง่านใน ชุดเกราะของมันนั้นทำเอาเขาขนลุกขนพอง
สะสางเรื่องนี้แต่เพียงลำพังอย่างนั้นรึ…ชายวัยกลางคนหายใจอย่างหนักหน่วงและสาปแช่งอยู่ในใจ เขาไม่เคยเห็นใครไร้ยางอายเท่าหวังเป่าเล่อมาก่อน
เหล่าคนดูผู้เห็นเหตุการณ์ต่างเงียบงัน พวกเขามองหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้างงงวย หลี่ซิ่วเองก็ถึงอึ้งไป มีเพียงหลินเทียนหาวเท่านั้นที่ยิ้มออกมา
จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงคุ้นชินกับเหตุผลแปลกๆ ของชายร่างอ้วนดี อันที่จริงทั้งคู่ก็ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร เพราะหวังเปาเล่อเองก็ไม่ได้พูดผิด…
ขณะที่ผู้คนต่างมึนงงกับความคิดที่ตีกันยุ่งในหัวตัวเอง หวังเป่าเล่อก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวและพุ่งเข้าใส่จั่วอี้เซียนทันที
“จั่วอี้เซียน เจ้าจะยอมขอโทษหรือไม่!” หวังเป่าเล่อคำรามพลางกระโจนใส่ อย่างรวดเร็ว สีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป ขณะที่ชายร่างอ้วนมาถึงตรงหน้า เรียกมวลพลังขั้นรากฐานตั้งมั่น ก่อนเขวี้ยงหมัดออกไป!
จั่วอี้เซียนถึงกับสะพรึงขวัญ พยายามหลบหนีการโจมตีแต่ไร้ผล เขาเห็นเพียงภาพพร่ามัวก่อนจะได้ยินเสียงบางอย่างระเบิดก้องในหัวของตน และรู้สึกได้ถึง คลื่นความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วตัว แรงหมัดของหวังเป่าเล่อทำให้ร่างกายของเขากระเด็นลอยไปไกลเกือบสิบเมตรราวกับว่าวเชือกขาด
โลหิตสดๆ หลั่งชโลมดิน แต่การต่อสู้ยังไม่จบสิ้น หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าใส่อีกครั้งพร้อมกู่ร้องลั่น
“ขอโทษเสียดีๆ!”
“หวังเป่าเล่อ ถ้าเจ้ากล้าพอก็ฆ่าข้าเลยสิ เจ้าอยากให้จั่วอี้เซียนผู้นี้ขอโทษรึ ข้ายอมตายดีกว่าจะต้องเสียหน้าเช่นนั้น!” จั่วอี้เซียนชันตัวลุกขึ้นและตะคอกใส่อีกฝ่าย
เขามั่นใจว่าชายอ้วนจะไม่กล้าฆ่าตน อีกอย่างที่นี่ยังเป็นเรือนหมู่ของเจ้าเมืองอีกด้วย หลินโยวคงไม่นิ่งนอนใจยอมให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น ตนจึงไม่มีอะไรต้องกลัวอยู่แล้ว ขณะที่กำลังจะเอ่ยคำเหยียดหยามต่อนั้น หวังเป่าเล่อก็พุ่งเข้ามาพร้อมใช้กำปั้น ตวัดขาของอีกฝ่ายขึ้น ก่อนจะเตะอัดกลางเป้าอย่างจัง!
จั่วอี้เซียนตาถลึงเมื่อโดนเตะผ่าหมาก จิตใจตื้อตัน รู้สึกได้ว่าร่างกายนั้นเกร็งไปหมด ความเจ็บแปลบแล่นขึ้นสมอง ความตื้อชาครอบงำต่ออย่างรวดเร็ว ช่างน่าหวาดหวั่นเกินพรรณนา
ลูกเตะของหวังเป่าเล่อนั้นร้ายกาจและรุนแรงยิ่งนัก ตอนที่ฟาดขาเข้ามาถึงกับได้ยินเสียงลมพัดแหวกอากาศ นึกภาพว่าหากแรงเตะนั้นโดนอวัยวะใดเข้า คงจะพิการในทันที…
หลินโยวที่เผ้าดูการต่อสู้อยู่ตลอดนั้นถึงกับสูดลมหายใจเข้าลึกเช่นกัน เขาแสยะยิ้มออกมาและกำลังจะเข้าไปห้าม แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร จั่วอี้เซียนก็รีบโวยวายด้วยใบหน้าขาวซีดเหมือนผี
“ข้าผิดไปแล้ว อี้ฟาน ข้าผิดเอง…อย่าเตะข้าอีกเลย หวังเป่าเล่อ หยุดเถอะ!”
จั่วอี้เซียนรีบขอโทษขอโพยอย่างเฉียบพลัน ทำเอาชายร่างอ้วนถึงกับประหลาดใจ และรู้สึกว่าชายตรงหน้าคนนี้ช่างไร้เกียรติสิ้นดี
ทุกคนได้แต่ต่างมองหน้ากัน พูดอะไรไม่ออก พวกเขาเข้าใจความทรมานจาก การโดนเตะผ่าหมากดี กระนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าจั่วอี้เซียน ผู้กล้าหาญและหยิ่งผยองก่อนหน้านี้ กลับยอมแพ้อย่างขี้ขลาดตาขาวทันที
สิ้นคำพูดของจั่วอี้เซียน น้ำเสียงอันดุดันด้วยอำนาจจากหลินโยวก็ดังขึ้นทั่วลานจัตุรัสแห่งนี้!
“พอเสียที! พวกเจ้าคิดว่าเรือนหมู่หลินของข้านั้นเป็นอะไรกัน”