บทที่ 242 หมอกเวทเคลื่อนย้ายปรากฏ
ดวงตาประหลาดกำลังจ้องหมอนั่นอยู่! หวังเป่าเล่อหันกลับไปมอง สีหน้าของ หวงซานบูดเบี้ยวผิดปกติ ราวกับเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น ดูเหมือนหวงซานจะเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมว่าตนเองสามารถตบตาทุกคนได้ และไม่มีวันมีใครหาเขาเจอ
แต่ดวงตานั้นก็หมุนกลับมาจ้องเขม็งไปที่หวงซานโดยไม่แม้แต่จะกะพริบ ชายหนุ่มล่าถอยด้วยสีหน้าบึ้งตึง ขณะกำลังหลบหนี พลังปราณระเบิดออกจากตัวเขาเต็มที่ พลังนั้นพุ่งขึ้นไปหยุดที่…ขั้นกำเนิดแก่นใน ก่อนพุ่งสูงขึ้นไปบนฟ้าจนสะเทือนถึงสวรรค์!
พลังปราณที่ระเบิดออกอย่างฉับพลันของหวงซาน ทำให้ศิษย์หลายคนจาก สี่สำนักศึกษาเต๋า กระอักเลือดออกจากปากและเซถอยไปข้างหลัง แมลงจันทราที่ต้านทานแรงกดดันไม่ไหว ถึงกับระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เขาคือร่างจำแลงของต้นไม้ยักษ์! หนังศีรษะของหวังเป่าเล่อชาไร้ซึ่งความรู้สึก เหตุผลที่เขาและเจ้าเยี่ยเหมิงไม่ได้สงสัยว่าหวงซานคือต้นไม้ยักษ์ปลอมตัวมา เป็นเพราะว่าพวกเขาเชื่อรายงานจากสี่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ว่ากำจัดมันได้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ใครจะไปคิดว่ามันยังมีชีวิตอยู่!
ผิดปกติ…ความรู้สึกนี้มันคุ้นนัก แต่ก็ไม่เหมือนเดิม…หวังเป่าเล่อหายใจหอบ ชายหนุ่มตระหนักแล้วว่ามีบางอย่างแตกต่างออกไป เจ้าเยี่ยเหมิงและจั่วอี้ฟานก็ ตื่นตะลึงไม่แพ้กัน แต่เจ้าเยี่ยเหมิงก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจเช่นเดียวกับหวังเป่าเล่อ
สถานการณ์ตรงหน้าไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาปรึกษาหารือกันได้ และก็ไม่มีเวลาให้เริ่มปรึกษากันเสียด้วย ทันทีที่พลังปราณของหวงซานระเบิดออกเป็นขั้น กำเนิดแก่นใน ดวงตาหลายร้อยดวงบนฟากฟ้า ยกเว้นดวงที่กำลังจ้องหวงซานอยู่ ก็สั่นเทาและสลายหายไป เนตรโลหิตนับร้อยทั้งหมดนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้งใน เสี้ยววินาทีถัดมา… โดยซ้อนทับกันอยู่บนดวงตาดวงเดียวที่เหลืออยู่นั้น!
ภายในหนึ่งลมหายใจ ดวงตานับร้อยที่ซ้อนทับกันบนท้องฟ้าเหนือตำแหน่งที่บรรดาศิษย์จากสี่สำนักศึกษาเต๋ายืนอยู่ก็รวมร่างกัน…กลายเป็นเนตรโลหิตขนาดยักษ์ดวงเดียว!
เนตรโลหิตขนาดยักษ์นั้นจ้องไปยังหวงซานผู้กำลังหนีหัวซุกหัวซุน โดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา แววตาของมันไร้ซึ่งความปรานีและเต็มไปด้วยแรงอำมหิตล้ำลึก ทันใดนั้น สายฟ้าสีแดงเลือดก็กวาดไปทั่วน่านฟ้า!
อัสนีบาตดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปถึงสวรรค์ ก่อนที่สายฟ้าสีแดงฉานจะฟาดลงไปที่หวงซาน สายฟ้านั้นอัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้างที่ทำให้ทุกคน ณ ที่แห่งนั้นตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดหวั่น พวกเขารู้สึกได้ถึงพลังอำนาจยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมกับสายฟ้า พลังนั้นรุนแรงพอที่จะทำให้ร่างของพวกเขาแหลกไม่เหลือซาก ทำลายทั้งร่างกายและวิญญาณให้กลายเป็นจุณ!
หากมองจากระยะไกลดูราวกับสายฟ้านั้นตัดท้องฟ้าออกเป็นสองซีก สายฟ้าคำรามก้องก่อนคืบเข้าใกล้หวงซานที่กำลังหลบหนีขึ้นทุกที อารมณ์มากมายฉายขึ้นบนหน้าของเขา ชายหนุ่มรู้ดีว่าถึงอย่างไรตนเองก็หนีไม่พ้น ดวงตาของเขาแทบ มอดไหม้ด้วยความโกรธ เขาประสานมือทั้งสองเข้าด้วยกันเพื่อสร้างผนึก ดูเหมือนว่าตัดสินใจจะโต้กลับ ชายหนุ่มคำรามก้อง
“อย่าโอหังไปหน่อยเลย!”
เสร็จสิ้นเสียงประกาศนั้น สายฟ้าสีแดงก็ไล่เขาทันและฟาดลงบนตัวเขาในทันที สายฟ้านั้นทำลายร่างหวงซานจนสิ้นซาก เศษเนื้อที่เหลืออยู่ก็พลันมีกิ่งไม้นับไม่ถ้วนงอกขึ้นมา
กิ่งไม้เหล่านั้นกระเสือกกระสนรวมตัวกันในอากาศอย่างรวดเร็ว ก่อตัวขึ้นเป็นต้นไม้ยักษ์สูงสามร้อยเมตรที่ยืนอยู่ค้ำฟ้า มันยืนต้นตระหง่านจ้องตาต่อตากับ เนตรโลหิตยักษ์!
ต้นไม้ยักษ์นั้นมีมาลัยขนาดยักษ์สวมอยู่บนศีรษะ กิ่งก้านหน้าทึบเก่าแก่ราวกับอยู่มาตั้งแต่โบราณกาล หวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิง และจั่วอี้ฟาน ยืนนิ่งขาแข็งอยู่กับที่ ราวกับโดนฟ้าผ่า มองภาพข้างหน้าตนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
แม้ศิษย์คนอื่นจะไม่เคยพบเจอต้นไม้ยักษ์มาก่อน แต่ความจริงที่ว่าต้นไม้เก่าแก่มหึมาต้นนี้เคยเป็นหนึ่งในศิษย์ร่วมสำนักของพวกเขา ก็ทำเอาทุกคนถึงกับหน้าถอดสี
“แค่นำวงแหวนปราณยานแม่มาดูดพลังชีวิตออกจากทุกคน ก็ควรเกินขีดจำกัดของเจ้าแล้ว ไหนขอดูหน่อยเถอะ ว่าเจ้าจะเรียกอสนีบาตเทพธิดาเลือดออกมาได้อีกสักกี่ครั้ง!” ต้นไม้ยักษ์สูงชะลูดไปถึงสวรรค์คำรามก้อง มันไม่ได้พยายามล่าถอยอีกต่อไปแล้ว หากแต่กำลังค่อยๆ จางหายไปราวกับกำลังหาทางหนีด้วยวิธีอื่นแทน!
ทันทีที่คำท้าถูกส่งออกไป รอยอำมหิตดุดันก็ฉายวาบผ่านแววตาเนตรโลหิตยักษ์ วินาทีถัดมา สายฟ้าสีแดงเลือดก็ฟาดลงมาอีกครั้ง!
สายฟ้านั้นยังคงอัดแน่นด้วยพลังทำลายล้างรุนแรง ราวกับพร้อมทำลายสวรรค์ให้ถล่มทลาย สายฟ้าพุ่งตรงเข้าไปหาต้นไม้ยักษ์ ที่หลบหนีไม่พ้นด้วยร่างกายขนาดมหึมา สายฟ้าฟาดเข้าใส่ร่างที่กำลังจางหายไปเข้าอย่างจัง
ต้นไม้ที่กำลังจางหายสั่นอย่างรุนแรง รอยแตกฉกรรจ์ปรากฏขึ้นบนลำต้นมหึมา กิ่งไม้มากมายสลายกลายเป็นฝุ่น ใบไม้นับไม่ถ้วนอันตรธานหายไปกับตา!
สายฟ้านี้ทำลายเกราะเวทที่ช่วยให้ต้นไม้ยักษ์หายตัวได้ในทันที ต้นไม้ยักษ์ที่บาดเจ็บสาหัสกลับมาแจ่มชัดในสายตาพวกเขาอีกครั้ง!
แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ขณะที่รอยแตกฉีกกว้างออกเรื่อยๆ ต้นไม้ยักษ์ก็หักโค่นลง ต้นอ่อนสีเขียวดีดตัวออกจากซากไม้ยักษ์ และวิ่งหนีหายไกลออกไปทันที
ขณะที่ทุกคนมองภาพนั้นด้วยความตื่นตะลึง ดวงตายักษ์ก็ส่องประกายวาบอีกครั้ง รอยแตกปรากฏให้เห็นในรูม่านตา ราวกับไม่สามารถคงสภาพของตนเองไว้ได้อีกต่อไป เสียงระเบิดดังกึกก้อง ดังเสียยิ่งกว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อก่อนหน้านี้ เนตรโลหิตยักษ์สลายตัวลงแล้วก่อให้เกิด…สายฟ้าสีแดงเลือดครั้งที่สาม
สายฟ้านั้นพุ่งตรงไปหาต้นอ่อนที่กำลังหลบหนีทันที!
“อย่า!” ใบหน้าผุดขึ้นมาจากต้นอ่อนนั้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความอาฆาตแค้นจับขั้วหัวใจ มันกรีดร้องโหยหวนอย่างบ้าคลั่ง และพยายามต่อสู้กลับเพื่อที่จะพาตนเองหนีพ้นไปให้ได้ ใบไม้และดอกไม้มากมายผุดขึ้นบนร่างของมัน เพื่อป้องกันตนเองจากแรงทำลายล้างนั้น แต่ก็ไม่เป็นผล…
ภายในพริบตาเดียว สายฟ้าสีแดงฉานก็ฟาดลงไปยังต้นอ่อนต้นนั้น ท่ามกลางเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความโกรธเกรี้ยว ทุกคนมองเห็นต้นอ่อนต้นนั้นสลายลงเป็นเสี่ยง จนทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น เหลือเพียงฝุ่นผง…
แรงกดดันที่ตรึงพวกเขาให้นิ่งอยู่กับที่ค่อยๆ สลายหายไปพร้อมกับความตายของต้นไม้ยักษ์ ท้องฟ้ายังคงเต็มไปด้วยอักขราจารึกที่หน้าตาเหมือนลายไม้ ผนึกทั้ง เขตจันทราเวทเอาไว้ แต่ทุกคนในมิติก็รู้สึกได้เช่นกัน ว่าแรงกดทับจากท้องฟ้าที่เคยบีบอัดพวกเขาก่อนหน้านี้บางเบาลงแล้ว
เหตุการณ์ก่อนหน้าที่สายฟ้าฟาดลงไปยังต้นไม้ยักษ์จนทำให้มันถึงแก่ความตาย ทำเอาทุกคนรู้สึกกระสับกระส่ายและหวาดระแวงยิ่งกว่าเดิม หวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิง และจั่วอี้ฟาน มองหน้ากันอย่างตื่นตระหนก
ทั้งสามอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในแอ่งแผ่นดินเค่อหลุน
นั่นใช่ต้นไม้จากแอ่งแผ่นดินเค่อหลุนหรือเปล่า แล้วหากไม่ใช่ ยังมีต้นไม้ยักษ์ลักษณะนี้อยู่อีกกี่ต้นกัน…ทุกต้นมารวมตัวกันอยู่ที่ดวงจันทร์ทั้งหมดเลยเช่นนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดพวกมันถึงมารวมกันที่นี่ได้ ผนึกลายไม้นั่นเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน! หวังเป่าเล่อครุ่นคิด จิตใจของเขาพร่ามัวด้วยความคิดหมองหม่น ชายหนุ่มหวังพึ่งหน่วยกู้ภัยจากสหพันธรัฐเฉกเช่นเดียวกับทุกคน
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเรื่องใหญ่เกินไป ทุกคนเชื่อว่าสหพันธรัฐจะต้องก้าวเข้ามาช่วยเหลืออย่างแน่นอน
ขณะที่บรรยากาศของสานุศิษย์เต็มไปด้วยความทุกข์หมอง ฝูงแมลงจันทราที่ หัวหดด้วยความกลัวก่อนหน้านี้ ก็พากันชูคอขึ้นมาตั้งท่าจะโจมตีอีกครั้ง ทุกคนรีบกลับมาจดจ่อกับสถานการณ์ตรงหน้าทันที และเริ่มกระจายตัวกันหนีต่อไป
บรรดาแมลงจันทราค่อยๆ ตื่นตัวขึ้น สานุศิษย์จากสี่สำนักศึกษาเต๋ารีบหนีออกจากจุดเสี่ยง และกำลังหนีออกนอกอาณาเขตโจมตีของฝูงแมลงจันทราได้สำเร็จ ทว่าตอนนั้นเอง เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็อุบัติขึ้นในเขตจันทราเวทอีกครั้ง อย่างเงียบเชียบและไร้เสียงเตือนใดๆ
ฝูงแมลงจันทราหยุดไล่ล่าเหล่าศิษย์ และเริ่มมุดตัวกลับคืนไปในผืนดิน ราวกับกำลังหนีอะไรสักอย่าง
ทุกคนไม่มีเวลาจะมานั่งสงสัย เสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นลอยมาแต่ไกล หมอกหนาแผ่เข้าปกคลุมอย่างรวดเร็วจนสุดสายตา หมอกนั้นแพร่กระจายไปสุดขอบฟ้า มองไม่เห็นแม้กระทั่งจุดเริ่มต้นและจุดจบ อาณาเขตหมอกกว้างราวยี่สิบกิโลเมตร กำลังเคลื่อนที่มาข้างหน้าด้วยความเร็ว หวังเป่าเล่อและคนอื่นยืนนิ่ง มองหมอกหนาทึบที่กำลังคืบเข้ามาใกล้
หมอกนั้นดูหนาเสียจนเหมือนจะเป็นของแข็ง ราวกับมหาสมุทรแห่งหมอกขาวที่กลืนกินทุกสิ่งที่ไหลผ่าน
“หมอกเวทเคลื่อนย้าย!” เสียงหนึ่งดังออกมาจากฝูงชน
หมอกนี้เป็นสภาพอากาศพิเศษในเขตจันทราเวท มันจะโผล่มาที่ใด เมื่อไร ไม่มีใครล่วงรู้ ทันทีที่มันพัดผ่าน สิ่งมีชีวิตทุกอย่าง ยกเว้นเพียงดวงจันทร์ จะถูกสุ่มเคลื่อนย้ายไปยังที่ใดก็ไม่ทราบได้ในเขตจันทราเวทแห่งนี้
หวังเป่าเล่อสีหน้าหน้าตาบึ้งตึงขณะมองไปยังหมอกหนาที่กำลังคืบเข้ามาใกล้ ห่างไปอีกราวร้อยเมตรเท่านั้น ทุกคนรอบกายเขาตกอยู่ในความเงียบงัน พวกเขารู้ดีว่าไม่มีทางพ้นชะตากรรมนี้ไปได้ จึงหันมามองหน้ากัน
“ทุกคน…ดูแลตัวเองด้วย!”
“เราต้องอดทนกันไว้ก่อน สหพันธรัฐกำลังส่งคนมาช่วยเราแล้ว!”
“ข้าหวังว่า…เราจะได้เจอกันอีกนะ…”
คำบอกลาเหล่านี้เต็มไปด้วยน้ำเสียงหดหู่สิ้นหวังของผู้พูด หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก เขาหันไปบอกลาสหายของตน กอดจั่วอี้ฟานและเฉินอวี่ถง พลางพยักหน้าให้เจ้าเยี่ยเหมิง หมอกหนาพุ่งเข้าหาพวกเขา บดบังผู้ฝึกตนเกือบพันคนจากสี่สำนักศึกษาเต๋าเอาไว้จนมิด ลอยเอื่อยวนอยู่ตรงบริเวณนั้น ไม่จากไปไหน…