Skip to content

A World Worth Protecting 264

บทที่ 264 เฉียดตาย!

ว่ากันว่าหากคนเราใกล้ตาย จะเห็นแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นในโลกอันมืดมิด แสงนั้นจะนำทางพาวิญญาณของคนผู้นั้นลอยละล่องเข้าไปผสานเป็นหนึ่งเดียวกับมัน

เกิดอะไรขึ้นหลังจากร่างผสานเป็นหนึ่งเดียวกับแสง วิญญาณของเราจะหายไปไหน ยังจะจำเรื่องราวทุกสิ่งได้หรือไม่…ใครหลายคนได้ค้นพบคำตอบของคำถามเหล่านั้น แต่ก็ไม่สามารถกลับมาไขความลับให้ผู้อื่นเข้าใจกระจ่างได้

หวังเป่าเล่อเห็นแสงสว่างนั่น ภายในโลกสีดำมืดมิด เขามองไม่เห็นอะไรนอกจากใบหน้าอันน่าหวาดกลัวของหญิงชรา เบื้องหลังร่างหญิงชรานั้นมีแสงสว่างดวงหนึ่งฉายวาบขึ้นอย่างเงียบเชียบ

จริงๆ แล้ว ไม่ใช่แสงสว่างเพียงดวงเดียว หากแต่เป็นลำแสงจำนวนมากมาย   มวลพลังอันเหลือล้นพวยพุ่งออกมาจากลำแสงเหล่านั้น

แม้จะมองเห็นได้ไม่ชัด แต่หวังเป่าเล่อก็เห็นรางๆ ว่าลำแสงมากมายนั้นแท้จริงแล้วคือร่างเงาเจ็ดแปดร่างที่กำลังลอยเข้ามาใกล้ ใบหน้าของร่างเงาเหล่านั้นว่างเปล่า ดูไม่ออกเลยว่าพวกนั้นมีหน้าตาอย่างไร มวลพลังที่พวยพุ่งออกมาจากพวกมันช่าง   กล้าแกร่งเสียจนวิญญาณจันทราก็เทียบไม่ติด

ร่างเงาเหล่านั้นคือ…สิ่งมีชีวิตที่แกร่งกล้าที่สุดในเขตจันทราเวท เป็นรองแต่เพียงศพผีโบราณเท่านั้น พวกมันมีชื่อเรียกว่า…เผ่าพันธุ์อมตะราตรี!

ระดับการฝึกตนของพวกเผ่าพันธุ์อมตะราตรีนั้นใกล้เคียงกับผู้ฝึกตนขั้น       กำเนิดแก่นใน บางตัวนั้นสามารถประมือกับผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในได้อย่าง        เท่าเทียมด้วยร่างกายอันเป็นอมตะของพวกมัน ความเป็นอมตะที่มีทำให้             เหล่าเผ่าพันธุ์อมตะราตรีนั้นน่าหวาดหวั่นกว่าศพผีโบราณในสหพันธรัฐหลายเท่านัก!

ศพผีโบราณนั้นหลับใหลมานานหลายปี ไม่ยอมลืมตาตื่นหากไม่ได้รับการกระตุ้น ส่วนเผ่าพันธุ์อมตะราตรีนั้นชอบอาศัยอยู่เป็นกลุ่ม แม้แต่ทางสหพันธรัฐเองก็ไม่รู้ถึงจำนวนที่แน่ชัดของพวกมัน รู้เพียงว่าน่าจะมีประมาณห้าสิบตน คอยปักหลักอยู่ในด้านมืดของดวงจันทร์ มีบ้างที่จะปรากฏตัวขึ้นที่ด้านสว่าง แต่ก็หาได้ยากมาก

เผ่าพันธุ์อมตะราตรีถือเป็นภยันตรายร้ายแรง พวกมันจงเกลียดจงชังคนนอกยิ่งนัก หากเจอตัวเข้า พวกมันจะตามไล่ล่าฆ่าทิ้งจนถึงที่สุด ยังดีที่พวกมันรับรู้ถึง            พลังวิญญาณไม่ได้เหมือนเหล่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน จึงต้องอาศัยดวงตามองจับการเคลื่อนไหวเท่านั้น หากพวกมันไม่เห็นเข้าเสียก่อน ก็ยังมีโอกาสหลบหนีออกไปได้

พวกมันมีลักษณะนิสัยคล้ายกันกับเนตรผีเลยทีเดียว

เผ่าพันธุ์อมตะราตรีกลุ่มนั้นบังเอิญลอยผ่านมาเจอหวังเป่าเล่อและหญิงชราเข้าพอดี พวกมันจึงพุ่งเข้าใส่หญิงชราในทันใด

หญิงชราที่กำลังเตะหวังเป่าเล่อจนแทบจะสิ้นลมอยู่นั้นหยุดเท้าทันทีด้วยความ       ตื่นตกใจ แม้แต่นางเองก็หวาดเกรงเหล่าเผ่าพันธุ์อมตะราตรี หากมาแค่ตัวเดียวคงจะไม่เท่าไร แต่พวกมันกับลอยกันเข้ามาเป็นฝูง ความหวาดกลัวเข้าเกาะกุมหัวใจ นางรู้ดีว่าจะปล่อยให้เหล่าเผ่าพันธุ์อมตะราตรีตามล่าไม่ได้ มิเช่นนั้นคงจะไม่อาจหลบหนีเอาชีวิตรอดกลับไปได้ เพราะอาจจะโดนฆ่าตายเอาเสียก่อน

หญิงชราหยุดนิ่งทันทีที่เผ่าพันธุ์อมตะราตรีปรากฏ พลันนัยน์ตาของหวังเป่าเล่อที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังก็เบิกโพลง ชายหนุ่มนอนหอบหายใจหนัก ร่างกายไร้เรี่ยวแรง รู้สึกได้แต่ความเจ็บปวดเกินบรรยาย เลือดสดไหลออกมาจากแผลตรงหน้าท้อง       ไม่หยุด ทันใดนั้นพละกำลังจากที่ใดไม่รู้ก็แล่นปราดเข้าสู่ร่างของเขา…อาจเกิดจากแรงกดดันจากผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในนางนั้นคลายลงก็เป็นได้ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ยกมือกุมหน้าท้อง ก้าวเท้าถอยหลังไปอย่างทุลักทุเล

ในหัวตอนนี้คิดแค่เพียงต้องหลบหนีออกไปให้ได้ หนีออกไปให้ไกลจากที่นี่…หนีเพื่อเอาชีวิตรอด!

บ้าจริง! ถ้าเฉินหุยไม่ได้ล่วงรู้ว่าหวังเป่าเล่อมีอาวุธเวทในครอบครอง หญิงชราคงจะไม่ทำร้ายร่างกายที่บาดเจ็บสาหัสของเขาต่อ เพราะอย่างไรเสียชายหนุ่มก็เป็นแค่คนไร้ค่าในสายตาของนาง เห็นได้ชัดว่าอาวุธเวทนั้นเป็นของชั้นยอด แม้แต่หญิงชราเองก็ยังอยากได้มาไว้ในครอบครอง

หญิงชราอยากจะไล่ตามชายหนุ่มไป แต่เผ่าพันธุ์อมตะราตรีก็เข้ามาล้อมร่าง    ของนางไว้อย่างรวดเร็วเสียแล้ว นางกำลังตกอยู่ในอันตราย ทำให้ไม่สามารถไล่ตาม     หวังเป่าเล่อไปได้

เผ่าพันธุ์อมตะราตรีนั้นมีพลังใกล้เคียงกับผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน ยิ่งมากัน   เป็นฝูงแบบนี้ แม้แต่ยอดฝีมือเช่นหญิงชราเองก็อาจจะโดนจัดการจนราบคาบ         ได้เช่นกัน อย่างไรเสียก็คงหมดหนทางไล่ตามหวังเป่าเล่อได้อีกต่อไป สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือต้องเอาตัวให้รอดปลอดภัยก่อน

หลายชั่วโมงต่อมา หญิงชราหนีจากไปด้วยสภาพสะบักสะบอม มีเลือดสดไหลอยู่ตรงมุมปาก ใบหน้าดูหมดสภาพ ทั่วร่างเจ็บระบมไปหมด นางต้องเสียสมบัติเวทล้ำค่าหลายชิ้นกว่าจะหาทางหนีทีไล่ออกมาจากเผ่าพันธุ์อมตะราตรีกลุ่มนั้นได้

ขณะที่นางกำลังจะเปลี่ยนเส้นทาง มุ่งหน้ากลับไปตามหาหวังเป่าเล่อ เสียงร้องคำรามของเหล่าเผ่าพันธุ์อมตะราตรีก็ดังไล่หลังมาอีกครั้ง นางหันไปมองบนฟากฟ้าไกลออกไป ตื่นตกใจหนักขึ้นเมื่อเห็นเผ่าพันธุ์อมตะราตรีสี่ตนกำลังพุ่งตามมา

เผ่าพันธุ์อมตะราตรีอีกแล้วหรือ หญิงชรากัดฟันแน่นอย่างหมดหวังขณะหลบหนีไปทางด้านสว่างของดวงจันทร์อย่างรวดเร็ว นางรู้สึกแปลกพิกลที่เหล่าเผ่าพันธุ์    อมตะราตรีจากด้านมืดของดวงจันทร์ตามไล่ล่านางด้วยเหตุผลบางอย่าง…

นางยังคงไม่พอใจที่หวังเป่าเล่อหลบหนีออกไปได้ นางร้องครวญครางด้วย    ความไม่พอใจก่อนจะหยิบแผ่นหยกขึ้นมา แผ่นหยกนี้ของนางยังสามารถใช้สื่อสารกับผู้อื่นได้ แม้จะอยู่ภายใต้ผนึกวงแหวนปราณของเขตจันทราเวท สำนักรุ่งสางจักรพิภพและตระกูลนภาห้าสมัยร่วมมือกันสร้างขึ้นมา โดยได้รับความช่วยเหลือจากสหายเต๋าต่างเผ่าพันธุ์

แผ่นหยกนั้นมีจำนวนไม่มาก จึงไม่ได้แบ่งให้เหล่าผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ใช้ แต่ผู้คนจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพที่เข้ามาในเขตจันทราเวทนั้นก็ไม่ได้มีเพียงแค่        ผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้และผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้น แต่ยังมีผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นอีกหลายคน!

หญิงชราส่งข้อความเสียงผ่านแผ่นหยกสื่อสารเรียกรวมพลเหล่าผู้ฝึกตน          ขั้นรากฐานตั้งมั่นจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพให้ออกตามล่าฆ่าหวังเป่าเล่อ!

เจ้าชะตาขาดแล้ว ทางที่เจ้าหลบหนีไปไม่ได้ห่างจากฐานลับของสำนักเราเลย! ทันทีที่หญิงชราออกคำสั่งไป เหล่าผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นที่อยู่บริเวณด้านมืด     ของดวงจันทร์ก็ตอบรับทันที ดวงตาพวกเขาฉายแสงวาบ น้อมรับภารกิจจาก           ผู้อาวุโสสูงสุดอย่างภาคภูมิใจ

เหล่าผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เรียกเหล่าศิษย์ระดับลมหายใจเที่ยงแท้มาร่วมช่วยกันค้นหาตัวหวังเป่าเล่ออีกแรง

ขณะเดียวกัน โจวเฟยจากตระกูลนภาห้าสมัยที่เคยไล่ตามหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ และยังคงผูกใจเจ็บกับหวังเป่าเล่อ ก็ร่วมออกตามล่าชายหนุ่มในฐานะพันธมิตร    สำนักรุ่งสางจักรพิภพไปด้วยเช่นกัน เขาแจ้งไปยังสำนักรุ่งสางจักรพิภพให้ติดต่อเขาทันทีที่เจอตัวหวังเป่าเล่อ

เมื่อได้ยินว่าหวังเป่าเล่อกำลังถูกล่าหัว โจวเฟยก็กลับมากระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง แต่กระนั้นเขาก็ยังอดกังวลไม่ได้ เขากลัวว่าจะมีใครชิงตัดหน้าเขาไปได้ก่อน แต่พอคิดดูแล้วว่าขนาดคำสั่งนี้ยังปล่อยมาถึงหูของเขาได้ ก็หมายความว่าคงยังไม่มีใครรู้เรื่องอาวุธเวทมากนัก เขาจึงรีบมุ่งหน้าออกเดินทางต่อทันที

เหล่าผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้และผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นกระจายตัวกันไปทั่วป่าด้านมืดของดวงจันทร์พร้อมกับความหิวกระหายและจิตสังหาร ภารกิจไล่ล่าฆ่าหวังเป่าเล่อได้เปิดฉากขึ้นแล้ว!

ทางด้านสมาชิกจากสี่ยอดสำนักเต๋าและสำนักอื่นๆ นอกเหนือจาก               สำนักรุ่งสางจักรพิภพและตระกูลนภาห้าสมัย ไม่ได้ล่วงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย

พวกเขาต่างทุ่มเทพลังทั้งหมดไปกับการทำลายผนึกวงแหวนปราณ ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าการโจมตีจะได้ผล อีกไม่นานคงจะสามารถทำลายผนึกจากต้นไม้ยักษ์ลงได้ทั้งหมด

ขณะที่บรรดาสมาชิกตระกูลนภาห้าสมัยและสำนักรุ่งสางจักรพิภพก็ไม่ได้แสดงท่าทีผิดปกติแต่อย่างใด ต่างปั้นหน้าเป็นกังวลเข้าช่วยทุกคนร่วมโจมตีผนึก              วงแหวนปราณต่อ

ดวงจันทร์ในตอนนี้เป็นดังวังวนที่มองไม่เห็น ตกเป็นเป้าความสนใจของเหล่า      ผู้กล้าจากทั่วทั้งสหพันธรัฐ เว้นเสียแต่เหล่าผู้ฝึกตนบนอาณานิคมดาวอังคาร

อาณานิคมดาวอังคารนั้นเป็นหนึ่งในฐานที่มั่นสำคัญของสหพันธรัฐ แต่พวกเขาไม่ได้มีหน้าที่แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นบนดวงจันทร์ จึงไม่ได้ออกเคลื่อนพลมาด้วย

กระนั้นก็ยังมีผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นและขั้นกำเนิดแก่นในมารวมตัวกันบน    ดวงจันทร์เป็นจำนวนมากมายมหาศาล การเคลื่อนไหวของพวกเขาเป็นที่จับตามองไปทั่วทั้งสหพันธรัฐ

ในยุคนี้ ศิลปินไม่ใช่จุดสนใจหลักของสื่อมวลชนอีกต่อไป หากแต่เป็นเหล่า         ผู้ฝึกตนต่างหากที่ดึงดูดความสนใจของคนหมู่มากได้

พอเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในเขตจันทราเวท ก็ยิ่งเรียกความสนใจจากประชาชนทั่วทั้งสหพันธรัฐ ผู้คนมากมายต่างเฝ้าจับตามองสถานการณ์อย่างจริงจัง ข่าวลือมากมายแพร่กระจายไปทั่ว ทางด้านเมืองปักษาเพลิงนั้น พ่อแม่ของหวังเป่าเล่อนั่งฟังรายงานข่าวสถานการณ์บนดวงจันทร์ด้วยใบหน้าซีดเผือด

“พ่อจ๋า…แม่…แม่จะเป็นลม ตาขวาก็กระตุก…เป่าเล่อ…” มารดาของหวังเป่าเล่อร้องไห้จนตาแดงก่ำ น้ำตาไหลนองอาบแก้มระหว่างนั่งดูข่าว

“ลูกข้า…ทำไมต้องดั้นด้นเข้าสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เพื่อมุ่งหน้าเป็นผู้ฝึกตนด้วย ทำไมไม่เป็นแค่คนธรรมดาทั่วไปกันหนอ” น้ำตาของมารดาหวังเป่าเล่อไหลไม่หยุดขณะพูด นางดูแก่ตัวลงไปมากหลังจากหวังเป่าเล่อขึ้นไปบนดวงจันทร์ หวังเป่าเล่อสั่งหลิวต้าวปินให้นำผลไม้ศักดิ์สิทธิ์มาให้พ่อแม่ของเขากินก็แล้ว แต่ด้วยความเป็นห่วงความเป็นอยู่ของลูกชายจึงทำให้นางดูแก่ตัวและอ่อนล้าลง

“อย่าคิดไร้สาระแบบนั้นเลย เจ้าก็รู้จักหวังเป่าเล่อดี แม้ภายนอกจะเป็น          คนซื่อสัตย์แต่ภายในก็ทะเล้นพอตัว เขาเคยยอมให้โดนเอาเปรียบเสียเมื่อไรเล่า” บิดาหวังเป่าเล่อดูแก่ตัวลงเช่นกัน เขาไม่ได้แสดงอาการกังวลใดๆ ขณะปลอบประโลมภรรยาของตน

แต่แท้จริงแล้ว เขาก็สัมผัสได้ว่าดวงตาด้านขวาของตนก็กระตุกอยู่เช่นกัน ความรู้สึกอันบรรยายไม่ได้เข้าเกาะกุมภายในใจ ว่างโหวงราวกับว่าเขากำลังจะสูญเสียสิ่งสำคัญไป รอยเหี่ยวย่นมากมายผุดพรายขึ้นบนใบหน้า…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version