บทที่ 266 โลหิตท่วมมิติเวท
ทันทีที่ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพคนนั้นพุ่งทะยานเข้ามาใส่ หวังเป่าเล่อก็เหวี่ยงหมัดซ้ายสวนเข้าทันที!
กำปั้นของหวังเป่าเล่อปล่อยเคล็ดเวทระเบิดกำเนิดดวงดาราออกมา เมื่อรวมกับพลังโจมตีที่เพิ่มขึ้นของหวังเป่าเล่อแล้ว อานุภาพของมันก็รุนแรงจนระเบิดออกเป็นน้ำวนที่ฉีกกระชากทุกสิ่งให้แหลกเป็นชิ้นๆ ส่งเสียงดังกึกก้อง ก่อนจะพุ่งเข้ากระแทกใส่ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นคนนั้น
ความตื่นตระหนกปรากฏขึ้นบนในหน้าของผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นจากสำนัก รุ่งสางจักรพิภพ เขาเข้าใจว่าหวังเป่าเล่อนั้นอ่อนแอลงมากแล้ว หลังจากที่ผู้อาวุโสของพวกเขาได้ทำลายรากฐานตั้งมั่นของชายหนุ่มไปจนหมดสิ้น เขาจึงพุ่งเข้าโจมตีหวังเป่าเล่ออย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม ทว่าพลังจากกำปั้นของหวังเป่าเล่อนั้นที่ตอบโต้มานั้นกลับรุนแรงผิดคาด ดูราวกับว่าเขากำลังประมือกับคู่ต่อสู้ที่อยู่ในระดับการฝึกตนเท่ากันมากกว่าผู้ที่อยู่ในระดับลมหายใจเที่ยงแท้
เป็นไปได้อย่างไรกัน ผู้อาวุโสทำลายรากฐานตั้งมั่นของมันไปแล้วไม่ใช่หรือ ขณะที่ใบหน้าของผู้ฝึกตนจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพฉายแววสับสน ดวงตาของเขาก็ลุกวาวขึ้นมาแวบหนึ่ง เขารีบเรียกผนึกมือจำนวนมากออกมา ดวงจันทร์เสี้ยว ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาและปะทะกับเข้ากับน้ำวนที่เกิดจากเคล็ดเวทระเบิดกำเนิดดวงดาราในทันที
เมื่อปลดปล่อยเคล็ดเวทระเบิดกำเนิดดวงดาราออกมาจากหมัดซ้ายแล้ว ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นในอากาศไปพร้อมกัน กระบี่อาวุธเวทระดับเจ็ดปรากฏขึ้นในมือขวาและฟันลงไปบนน้ำวนของเคล็ดเวทระเบิดกำเนิดดวงดารา ก่อให้เกิดเสียงกัมปนาทดังสนั่น!
“ตายเสียเถอะ!”
พลันเกิดแรงระเบิดที่รุนแรงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ระหว่างเขาและโจวเฟย ระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อยังไม่ได้ก้าวหน้าเท่านี้ เขาบาดเจ็บจากแรงสะท้อนกลับของอาวุธเวท แถมยังไม่อาจเข้าถึงพลังที่แท้จริงของอาวุธได้ มาบัดนี้ ทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังทั้งหมดของตนเอง รวมถึงพลังจากปราณวิญญาณที่เสียหายในกายเขา ตัวเขาตอนนี้เปรียบดั่งดอกบัวที่แม้จะรู้ว่าชีวิตแสนสั้นของตนกำลังจะจบลง แต่ก็ยังคงผลิดอกบาน อย่างเต็มที่โดยไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย!
พายุมรสุมสีดำทมิฬพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องนภา สะเทือนปฐพีเสียงโรมรันดังสนั่น จระเข้สีดำปลดปล่อยเสียงคำรามที่แท้จริงของมันออกมา เสียงคำรามนั้นสะท้อนกึกก้องแถมยังสั่นสะเทือนอากาศโดยรอบอย่างรุนแรง เสียงนั้นดังกลบกระทั่ง คลื่นเสียงอันสะเทือนโสตประสาทของกระบี่ก่อนหน้านี้ สายฟ้าสูงราวร้อยเมตร พวยพุ่งออกมาจากกระบี่อาวุธเวทของหวังเป่าเล่อในทันใด
แสงจากกระบี่นั้นวาบตัดทะลุคลื่นพลังจากเคล็ดเวทระเบิดกำเนิดดวงดาราจนแยกออกจากกัน เบิกทางให้แรงกระบี่ฟาดฟันผ่านมัน ไปกระทบเข้ากับดวงจันทร์เสี้ยวที่ ผู้ฝึกตนระดับรากฐานตั้งมั่นจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพเรียกออกมา
ความตื่นตระหนกฉายวับอยู่บนใบหน้าของผู้ฝึกตนคนนั้น เขาถอยหลังกรูด ไปในทันที ดวงจันทร์เสี้ยวสลายไปอย่างรวดเร็ว แสงจากกระบี่ยังคงพุ่งตรงต่อไปที่ ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นคนนั้นอย่างไม่ลดละ!
“ไม่!” ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นร้องตะโกนออกมาอย่างสิ้นหวัง เขาพยายามจะดิ้นรนโดยการหยิบเอาสมบัติเวทจำนวนมากออกมาใช้ป้องกันตนเอง แต่ทว่า ในขณะนี้ตัวเขาเปรียบเสมือนมดน้อยภายใต้รองเท้าที่กำลังจะเหยียบลงมา แรงฟันของกระบี่ที่หนุนหลังด้วยพลังชีวิตอันมากล้นของหวังเป่าเล่อตัดผ่านสมบัติเวทที่ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพโยนออกมาอย่างง่ายดาย ราวกับว่าสมบัติเวทเหล่านั้นถูกดูดเอาพลังเวทออกไปจนสิ้น แสงอันแรงกล้าที่เปล่งออกมาจากกระบี่พุ่งเข้าหาศีรษะของผู้ฝึกตนและตัดฉับผ่านไปอย่างง่ายดาย!
เสียงครืนครันปานฟ้าผ่านั้นสั่นคลอนพื้นโลก จนบังเกิดรอยแยกขึ้นระหว่างขา ทั้งสองข้างของผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นคนนั้น แรงฟาดของกระบี่อาวุธเวทเจาะลึกลงไปในพื้นโลกกว้างราวสามสิบเมตร…
หวังเป่าเล่อลอยร่างลงสู่พื้นดิน ปลายกระบี่ของเขาปักอยู่บนพื้นขณะที่ตัวเขาเองโก่งโค้งตัวงอ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นพลางหอบหายใจ ก่อนจะยันตัวยืนขึ้นช้าๆ
ตรงหน้าเขานั้น ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพตัวสั่นเทาก่อนที่ร่างของเขาจะแยกออกเป็นสองซีกและระเบิดออก โลหิตและชิ้นส่วนในร่างกายกระจายไปทั่ว ทั้งกายเนื้อและวิญญาณของเขาถูกทำลายสิ้น!
การต่อสู้นี้แสดงให้เห็นว่าตอนนี้หวังเป่าเล่อแข็งแกร่งเพียงใด แม้ว่าเขาจะต้องบาดเจ็บสาหัสหลายจุด แม้ว่าเส้นปราณของเขาจะถูกทำลายไปถึงหนึ่งในสาม แม้ว่ารากฐานตั้งมั่นของเขาจะถูกชิงเอาไป และแม้ว่าเขาจะเหน็ดเหนื่อยสักเพียงใด ชายหนุ่มก็ยังคงแข็งแกร่งพอที่จะสังหารผู้ฝึกตนระดับรากฐานตั้งมั่นได้!
หวังเป่าเล่อลุกยืนขึ้น เขาเมินร่างไร้ชีวิตของผู้ฝึกตนคนนั้นและกวาดสายตามองซ้ายทีขวาที ก่อนจะหันหลังวิ่งลึกเข้าไปในป่าด้วยความเร็วสูง
เมื่อหวังเป่าเล่อจากไป ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นสองคนจึงค่อยๆ เดินออกมาจากจุดที่หวังเป่าเล่อชี้อาวุธเวทไปเมื่อครู่ ทั้งคู่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ใบหน้าของพวกเขาแสดงความวิตกกังวลอย่างหนัก
พวกเขาทั้งสองมาถึงที่นี่หลังผู้ฝึกตนชะตาขาดคนนั้นไม่นาน ทั้งคู่ไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะเข้าช่วยเหลือพรรคพวกของตนก่อนที่การต่อสู้จะจบลง ครั้นได้เห็นการโจมตีอันเลวร้ายและน่าสะพรึงกลัวของหวังเป่าเล่อกับตาตนเองนั้น ทั้งคู่ก็รู้สึกเหมือนมีใบมีดแห่งความกลัวทิ่มแทงลึกลงไปในหัวใจของพวกเขา
“ท่านผู้อาวุโสทำลายรากฐานตั้งมั่นของเขาไปแล้วจริงๆ นะหรือ” หนึ่งในสองคนนั้นเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปครู่ใหญ่
“ผู้อาวุโสไม่เพียงแต่ทำลายรากฐานตั้งมั่นของเขาเท่านั้น ข้าได้ยินว่าท่านดึงเอาวัตถุเวททั้งชิ้นออกมาจากร่างของเขาเลยทีเดียว…ตอนนั้นเขากำลังจะบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นอยู่แล้วแท้ๆ” อีกคนหนึ่งกระซิบตอบแผ่วเบา
ผู้ฝึกตนคนแรกเมื่อได้ยินดังนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้ว่าดีว่าเหตุการณ์นั้นเป็นเช่นไร และรู้สึกได้ว่าจะต้องเจ็บปวดทรมานเพียงใด มันช่างเป็นความเจ็บปวดที่เลวร้ายเกินจินตนาการ
แม้ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายเช่นนั้น หวังเป่าเล่อยังสามารถต่อสู้ได้อย่างยอดเยี่ยมเพียงนี้ ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นทั้งสองจึงแน่ใจว่าหวังเป่าเล่อย่อมไม่ใช่เพียงยอดฝีมือทั่วไป หากเขาสามารถบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นได้เมื่อไร ชื่อเสียงของเขาจะต้องระบือไปไกลทั่วสหพันธรัฐอย่างแน่นอน
“เขายังไม่บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นด้วยซ้ำ แต่กลับมีความสามารถในการต่อสู้ถึงเพียงนั้น…ช่างน่าเสียดาย”
ทั้งสองมองหน้ากัน ความโลภฉายวับขึ้นมาในแววตาของพวกเขา ทั้งคู่ต่างเข้าใจกันและกันโดยไม่ต้องเอ่ยคำใด สายตาของทั้งคู่เพ่งเล็งไปยัง…อาวุธเวทของหวังเป่าเล่อทันที!
ด้วยระดับการฝึกตนที่สูงกว่าของพวกเขา ทำให้มองปราดเดียวก็แยกอาวุธเวทออกได้ และกลายเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาต้องติดตามหวังเป่าเล่อต่อไป แต่เมื่อเห็นความคล่องตัวและความแพรวพราวในเชิงยุทธ์ของหวังเป่าเล่อแล้ว พวกเขาต่างก็ ตกลงใจกันว่าจะตามล่าหวังเป่าเล่อไปในระยะที่ปลอดภัยเท่านั้น โดยไม่เฉียดเข้าไปใกล้เกินไปนัก
“เขากำลังบาดเจ็บสาหัส ข้าสัมผัสถึงปราณวิญญาณของเขาที่ค่อยๆ อ่อนกำลังลง…”
“เมื่อเขาอ่อนกำลังลงจนถึงที่สุด เราค่อยเข้าไปสังหารเขาเสีย!”
ทั้งคู่ต่างก็มีแผนของตน พวกเขารักษาระยะห่างจากหวังเป่าเล่อพลางเตรียมตัวไปด้วย หากหวังเป่าเล่อหันหลังกลับมาและจู่โจม พวกเขาก็จะไม่เข้าประมือด้วย ซึ่งๆ หน้า แต่จะรอจนกว่าอีกฝ่ายจะหมดแรงไปเอง
ผู้ฝึกตนทั้งสองไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าอาวุธเวทจะมีค่ามากมายเพียงใด พวกเขาก็ ไม่ประมาทพลังต่อสู้ขั้นรากฐานตั้งมั่นของหวังเป่าเล่อ แม้อาจจะมีคนหาญกล้าประจัญหน้าชายหนุ่มตรงๆ เพื่อแย่งชิงเอาอาวุธเวทมา แต่คนแบบนั้นก็หาได้ยากยิ่งและมีจำนวนน้อยนิด หรือต่อให้พวกเขาจะรอดจากการต่อสู้ครั้งแรกมาได้ ก็อาจจะจบชีวิตลงในการต่อสู้ครั้งต่อๆ มาอยู่ดี
สำนักรุ่งสางจักรพิภพมุ่งเน้นไปที่ผลประโยชน์ส่วนตัว สมาชิกจะไม่ทำการใด ก็ตามที่จะต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงเพื่อทำประโยชน์ให้ผู้อื่น ฉะนั้นต่อให้มีผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นตามมาสมทบกันอีกเป็นจำนวนมาก หรือต่อให้พวกเขาจะเห็นสถานการณ์แปลกประหลาดจากปราณวิญญาณที่หลั่งไหลออกมาจากตัวหวังเป่าเล่อ ตราบใดที่หวังเป่าเล่อยังคงมีอาวุธเวทอยู่ในครอบครอง พวกเขาก็เลือกที่จะติดตามไปและเฝ้าดูอยู่ห่างๆ เท่านั้น
กระนั้นก็มักจะมีผู้ที่หุนหันพลันแล่นอยู่เสมอ ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพคนหนึ่งไม่อาจยับยั้งตัวเองไว้ได้ เพราะรู้สึกได้ว่าปราณวิญญาณของหวังเป่าเล่ออ่อนแอลงมาก จึงรีบพุ่งเข้าไปโจมตี แสงสะท้อนจากคมกระบี่ฉายวาบขึ้นมาในอากาศชั่วอึดใจ พร้อมกับเสียงคำรามของสายฟ้าฟาดที่ดังราวกับจะแยกแผ่นดิน ศีรษะของผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นคนนั้นก็หลุดจากบ่าทันที ตามด้วยร่าง ไร้ศีรษะของเขาที่ล้มลงกับพื้น ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นที่ติดตามมาอีกเก้าคนถึงกับตกตะลึง ทุกคนต่างก็ต้องตั้งสติและยั้งใจเอาไว้ ขณะที่เปลวไฟแห่งความปรารถนายังคงฉายแววกล้าอยู่ในนัยน์ตาของพวกเขา
พวกเขาทุกคนตัดสินใจอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าจะปิดปากเงียบเรื่องความคืบหน้าของสถานการณ์เอาไว้ แทนที่จะรายงานกลับไปยังผู้อาวุโสแห่งขั้นกำเนิดแก่นในทันที ก่อนติดตามหวังเป่าเล่อต่อไปพลางมองหาโอกาสจู่โจมไปด้วย
หวังเป่าเล่อรู้ดีว่ากลุ่มคนที่ตามเขามามุ่งหวังสิ่งใด นัยน์ตาของชายหนุ่มเป็นประกาย เขาไม่ใส่ใจคนเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย สถานการณ์ปัจจุบันถือว่าเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ อันที่จริงแล้วเขาเลือกที่จะแสดงอาวุธเวทออกมาให้เห็นเอง ไม่ใช่เพื่อข่มขู่ แต่เพื่อใช้ความโลภโมโทสันของฝ่ายผู้ฝึกตนให้เป็นประโยชน์ พวกเขาจะได้ไม่รายงานตำแหน่งของชายหนุ่มให้กับผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในได้รับรู้
ทุกๆ คนต่างก็มีแผนของตนเอง หวังเป่าเล่อก็เช่นกัน
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง การถ่วงเวลานี้ก็เข้าแผนของหวังเป่าเล่อพอดิบพอดี ยิ่งเขารุดหน้าไปเท่าใด เขาก็ยิ่งเข้าไปใกล้ที่ราบต่ำมากขึ้น และมีโอกาสพบหมอกเวทเคลื่อนย้ายได้เร็วขึ้นเท่านั้น
หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าตัวเขาอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว หากเขาสามารถหาหมอกเวทเคลื่อนย้ายเจอ ก่อนที่เขาจะอ่อนแอจนผู้ฝึกตนที่ติดตามมาตัดสินใจ เข้าโจมตีทัน เขาคงจะสามารถซื้อเวลาให้ตนเองได้อีกสักหน่อย
แต่หากเขาหาเจอไม่ทัน…ความคิดของหวังเป่าเล่อหยุดลงแค่นั้น เขาไม่รู้อีกต่อไปว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใดกันแน่ แต่จากการคาดคะเนของเขาเอง แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ใน ส่วนลึกด้านมืดของดวงจันทร์ แต่เขาก็กำลังเข้าไปสู่เขตหวงห้ามที่สหายร่วมสำนักเคยกล่าวถึงและห้ามไม่ให้เขาเข้าใกล้เป็นอันขาด
ข้าหวังว่าข้าจะหามันเจอ…หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้สึกได้ถึงความอ่อนแรงของตน และกำลังจะเริ่มค้นหาต่อไป ตอนนั้นเองกลับมีใครคนหนึ่งพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็วจากทางด้านซ้าย
ร่างเงานั้นดูวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่เข้ามาใกล้ ร่างนั้นก็ดึงดูดความสนใจของหวังเป่าเล่อและผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นที่ตามหลังมาทุกคน พวกเขาต่างจ้องมองผู้มาใหม่เป็นตาเดียว
ในที่สุดทุกคนก็มองเห็นผู้มาใหม่อย่างชัดเจน เขาคือ…โจวเฟยแห่งตระกูลนภาห้าสมัยนั่นเอง!
ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น จั่วเฟยก็กล่าวขึ้นอย่างเร่งรีบ “หยุดเสียเวลาได้แล้วทุกคน หวังเป่าเล่อรู้วิธีการหาหมอกเวทเคลื่อนย้ายแล้ว หากพวกเราไม่ทำอะไรสักอย่าง เขาจะพบหมอกเวทเคลื่อนย้ายก่อนและเคลื่อนย้ายตนเองหนีไป เขาหนีจากข้าด้วย วิธีนั้นเมื่อคราวก่อน!”
สิ้นเสียงโจวเฟย ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นจากสำนักรุ่งจากจักรพิภพทุกคนต่างก็ชะงัก ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไป หวังเป่าเล่อทำหน้าบึ้งตึง เขาทอดถอนหายใจเบาๆ อยู่ข้างใน ก่อนจะจ้องมองไปยังโจวเฟยด้วยสายตาเย็นชา ความโลภฉายชัดอยู่ใน แววตาของโจวเฟย เขาพุ่งเข้าจู่โจมหวังเป่าเล่อในทันที!