Skip to content

A World Worth Protecting 268

บทที่ 268 วิญญาณจันทรายังคำนับ

ทันทีที่ได้ยินดังนั้นและรู้ตัวว่าอยู่ที่ไหน สีหน้าของเหล่าผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นก็เปลี่ยนไปทันที พวกเขาทุกคนหยุดชะงักพลางจ้องมองกันไปมาอย่างใจเสียและสับสน สำหรับสำนักรุ่งสางจักรพิภพแล้ว อาณาเขตนั้นหมายถึงความตายของทุกคนที่ยังไม่บรรลุขั้นกำเนิดแก่นใน!

ตามปกติพวกเขาไม่ได้เป็นคนที่เลินเล่อหรือรู้สึกตัวช้า แต่ว่าการมุ่งมั่นไล่ล่า    หวังเป่าเล่อขณะที่ต้องป้องกันตนเองไปด้วยนั้นใช้สมาธิอย่างมาก อีกประการหนึ่งก็คือพวกเขามั่นใจมากว่าสิ่งที่โจวเฟยพูดว่าหวังเป่าเล่อต้องการตามหาหมอกเวทเคลื่อนย้ายนั้นเป็นความจริง

ปัจจัยทั้งหมดนี้ส่งผลให้พวกเขารู้สึกตัวช้าและเข้ามาเฉียดเขตหวงห้ามเข้าเสียแล้ว!

หวังเป่าเล่อเห็นว่าคณะไล่ล่าหยุดลงอย่างกะทันหัน จึงหอบหายใจอย่างแรง โลหิตยังคงไหลซึมผ่านเกราะออกมาจากแผลในช่องท้อง เขาแทบจะมองอะไรไม่เห็นอยู่แล้ว ตอนนี้การมองเห็นผ่านสายตาของเขาตอนนี้หมุนวนและพร่าเลือน           หวังเป่าเล่อยืนพิงต้นไม้ใหญ่ขณะที่จ้องมองไปยังเหล่าผู้ฝึกตนทั้งหลาย

“เป็นอะไรกันไปเล่า! ไม่ตามโคตรบิดาหวังของพวกเจ้าต่อแล้วหรือ”            ความหงุดหงิดใจเอ่อท้นขึ้นในใจหวังเป่าเล่อ

เขากระชากหมวกเกราะออก เผยให้เห็นใบหน้าที่ซีดขาวราวกับศพ โลหิตเปรอะอยู่ตรงมุมปากและสะท้อนชัดอยู่ในสีตา เขาฉีกยิ้มที่ทั้งร้ายกาจและปราศจาก     ความกลัว ทั้งยังแผ่มวลความอำมหิตออกมาทางสายตา

“พวกเจ้าอยากได้อาวุธเวทของโคตรบิดาเจ้ามิใช่หรือ อยู่ที่นี่แล้วอย่างไรเล่า     มาเร็วเข้า มาเอาไปเลย!” ขาของหวังเป่าเล่อสั่นระริกราวกับวุ้น เขายิ้มอย่างยียวนและเลือกใช้ถ้อยคำยั่วยุอีกฝ่าย สายตาของเขาพร่ามัว โลหิตที่อาบปกคลุมทั้งดวงตาก็ทำให้มองเห็นทุกอย่างเป็นสีแดงฉาน

“แล้วหมอนั่น คนจากตระกูลนภาห้าสมัย ที่แกล้งตายได้สมจริงสุดๆ น่ะ ออกมาได้แล้ว จะซ่อนตัวจากพวกเขาก็ตามใจ แต่เจ้าคิดว่าเจ้าจะหลบสายตาโคตรบิดาอย่างข้าได้พ้นอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อขนลุกไปหมดทั้งตัว ไม่ใช่เพียงแค่พลังปราณของเขาที่กำลังอ่อนแอลง แต่พลังชีวิตของเขาก็กำลังหดหายไปอย่างรวดเร็ว เขาเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบากเพื่อจ้องมองไกลออกไป

สิ้นคำพูดของหวังเป่าเล่อ ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นบางคนก็หันหลังกลับไปมองตามด้วยความประหลาดใจ แต่บางคนก็นิ่งเฉยเหมือนว่ารู้มาโดยตลอด

ผู้ฝึกตนที่หันกลับไปมองต่างเห็นโจวเฟยปรากฏตัวขึ้นจากป่า เขาก้าวออกมาข้างหน้า ร่างกายที่ล่องหนอยู่ของเขาค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นทีละน้อย เขาใช้เคล็ดวิชาพรางตัวแบบเดียวกับที่เขาใช้ไล่ล่าหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้

เขาได้เตรียมรับมือกับอาการบาดเจ็บมาแล้วเช่นกัน แม้ว่าแผลของเขาจะดูร้ายแรง แต่ว่าในความเป็นจริงแล้วก็ไม่เกินที่เขาจะอดทนไหว เขาวางแผนจะเป็น    นกขมิ้นที่จู่โจมตั๊กแตนทีเผลอ แผนของเขาคือรอให้ผู้ฝึกตนทุกคนสังหารหวังเป่าเล่อเรียบร้อยก่อน แล้วจึงค่อยเข้ามาร่วมแย่งชิงอาวุธเวทด้วย เมื่อพวกเขาหันมาต่อสู้กันเองแล้ว

“หวังเป่าเล่อ เจ้าไม่รอดแล้ว ส่งอาวุธเวทมาเสียแล้วจบชีวิตตนเองโดยเร็วเถิด    ข้าเชื่อว่าพี่น้องเต๋าทุกคนของเจ้าคงยอมรับการตายแบบนั้นได้” โจวเฟยกล่าวช้าๆ เขาตื่นตัวอย่างที่สุดขณะที่กวาดสายตามองไปยังสิ่งรอบข้าง เขาเพิ่งรู้สึกตัวเมื่อไม่นานมานี้เช่นกัน ว่าเขาได้มาสู่หน้าด่านของเขตหวงห้ามแล้ว แต่ความโลภของเขาช่าง     สูงนัก จึงไม่ได้ออกปากเตือนคนอื่น แต่ระวังเพียงแค่ตัวเขาเองเท่านั้น

“พวกสวะ อยากได้อาวุธเวทนักหรือ ก็เข้ามาเอาไปสิ!

“ไม่ต้องเป็นห่วง ก่อนที่โคตรบิดาหวังจะสิ้นใจ พวกเจ้าจำนวนหนึ่งจะต้องตายไปพร้อมกับข้าแน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะโชคร้ายบ้างเท่านั้น ส่วนพวกที่เหลือ พวกเจ้าจะได้เข้าไปพิสูจน์ด้วยตาตนเองว่าข้างในเขตหวงห้ามนั้นมันน่ากลัวอย่างที่ตำนานกล่าวขานไว้จริงหรือไม่”

หวังเป่าเล่อมองโจวเฟยด้วยสายตาเกลียดชัง เขากวาดสายตามองผู้ฝึกตนที่เหลือ ก่อนใช้มือขวาผลักต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอย่างแรง เขาใช้แรงผลักนั้นพุ่งตัวเองเข้าไปในอาณาเขตที่มีพันธุ์ไม้สีแดงขึ้นปกคลุมอยู่ ก้าวเข้าไปสู่อาณาเขตหวงห้ามบนด้านมืดของดวงจันทร์!

หวังเป่าเล่อคิดว่าเขาได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ เมื่อชายหนุ่มก้าวเข้าไปสู่      เขตหวงห้าม แต่เพราะโลกทั้งใบกำลังมืดดับลงต่อหน้า เขาจึงไม่มีเวลาแม้แต่จะ    หยุดคิด ทำได้เพียงแต่กัดฟันแล้วเดินหน้าต่อไปเท่านั้น

ทุกย่างก้าวที่เขาเดินส่งความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง โลกรอบข้างก็พร่ามัว ร่างกายเขาอ่อนแอลงและหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ ความอ่อนแรงและความเหน็บหนาวราวกับคลื่นที่ถาโถมเข้ามา พร้อมจะดึงเอาหวังเป่าเล่อเข้าไปสู่ห้วงน้ำอันมืดมิด

บาดแผลของเขาบนท้องไม่อาจเยียวยาได้อีกต่อไป โลหิตหลั่งไหลลงมาจากปากแผล เครื่องในเริ่มจะโผล่แลบออกมาแล้ว ชายหนุ่มพยายามอย่างหนักที่จะใช้มือปิดปากแผลเอาไว้ ชุดเกราะของเขาก็เสียหายหลายจุด บางจุดก็ฉีดขาด บางจุดก็แตกบิ่น     ไม่ว่าจะคืบคลานไปที่ใด โลหิตแดงฉานก็จะไหลเป็นทางตามเขาไปราวกับเงาตามตัว โลหิตของหวังเป่าเล่อซึมลงไปรวมกับพืชพันธุ์สีโลหิตบนพื้น ช่างเป็นภาพที่             น่าสยดสยองยิ่งนัก

เบื้องหลังเขานั้น ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นทั้งกลุ่มก็ได้แต่เงียบงันไป พวกเขาจ้องมองไปยังแผ่นหลังของหวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งดื้อด้านเกินกว่าที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้   มากนัก

แม้ว่าพวกเขาต่างมีแผนของตนเอง ไม่เชื่อใจกันและกัน อีกทั้งยังขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ทว่ามาบัดนี้พวกเขาต่างก็ยอมรับเป็นเสียงเดียวว่าหวังเป่าเล่อน่าทึ่งนัก ที่เอาชีวิตรอดมาได้จนถึงป่านนี้

พวกเขาต่างก็ถามตัวเองว่า หากต้องเผชิญสถานการณ์เช่นเดียวกับหวังเป่าเล่อ พวกเขาจะทำได้ดีเท่านี้หรือไม่ พวกเขาอาจจะทิ้งอาวุธเวทไปตั้งแต่ต้นเพื่อซื้อเวลาให้ตนเองได้หนีรอดเสียด้วยซ้ำ

แต่พวกเขาเองก็รู้แก่ใจดีว่าหากหวังเป่าเล่อทิ้งอาวุธเวทเมื่อใด พวกเขาก็จะต้องต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงมันมาอย่างแน่นอน และพวกเขาก็คงสังหารหวังเป่าเล่อได้รวดเร็วขึ้นมาก ชายหนุ่มจะถูกปลิดชีพได้เร็วกว่านี้ เพราะอย่างไรเสีย พวกเขาก็จะไม่ยอมให้ชายหนุ่มหลบหนีไปได้เป็นอันขาด

ถึงกระนั้นรางวัลจากภารกิจนี้ของผู้อาวุโสก็ไม่มีอาวุธเวทรวมอยู่ด้วย หนทางเดียว     ที่พวกเขาจะได้อาวุธเวทนั้นมาไว้ในครอบครอง คือต้องปลิดชีพหวังเป่าเล่อด้วยตัวเองเท่านั้น

ทว่าจนถึงตอนนี้หวังเป่าเล่อก็ยังไม่ทิ้งอาวุธเวท ความจริงข้อนี้ทำให้พวกเขาถึงกับพูดไม่ออก พวกเขารู้ดีว่าหวังเป่าเล่อเองก็คงอ่านทางออก ในเมื่อหวังเป่าเล่อยังมีสติสัมปชัญญะดีถึงเพียงนี้ ทั้งที่สถานการณ์กำลังคับขันจนถึงขีดสุด ก็ยิ่งทำให้    พวกเขาต้องคอยระวังตัวอยู่เสมอ ขณะที่วิ่งไล่ตามอีกฝ่ายไป

“หากเจ้าหนุ่มนั่นเข้าร่วมสำนักรุ่งสางจักรพิภพของพวกเราตั้งแต่แรก ตอนนี้เขาคงจะแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้เสียอีก!” เหล่าผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพทุกคนคิดเหมือนๆ กันหลังจากตามล่าชายหนุ่มมาอย่างยาวนาน

พวกเขาไม่อาจจะขยับตัวออกจากตรงนั้นได้ แม้ว่าเขตหวงห้ามจะอยู่ตรงหน้าก็ตาม พวกเขาต่างพากันจ้องมองหวังเป่าเล่อเดินเข้าไปพร้อมกับอาวุธเวท ไม่ว่าจะเป็น    โจวเฟยหรือคนอื่นๆ ต่างก็ไม่อาจควบคุมลมหายใจที่รัวเร็วขึ้นทุกขณะได้

พลันรู้สึกลำบากใจขึ้นมาตงิดๆ แต่ทันใดนั้นเอง แสงสว่างแห่งความมุ่งมั่นพร้อม     เดิมพันด้วยชีวิต ก็ฉายวาบเข้ามาในดวงตาของพวกเขาเสียก่อน

ขณะที่ทุกคนเตรียมพร้อมเดิมพันนั้นเอง เสียงร่ำไห้แผ่วเบาก็ดังลอยขึ้นมารอบตัวเสียก่อน เสียงแผ่วเบานั้นดังสะท้อนไปทั่ว ฟังดูโศกเศร้าแปลกๆ ขณะที่เสียงยังคงดังสะท้อนอยู่ไปมา หมอกจางๆ ก็เริ่มก่อตัวขึ้นรอบตัวพวกเขา

หมอกนี้ไม่ใช่หมอกเวทเคลื่อนย้าย แต่เป็นหมอกเบาบางซีดจาง ในหมอกที่ก่อตัวขึ้นมานั้น ร่างเงาที่พร่าเลือนจนแทบมองไม่เห็นก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นทีละนิด              เงาเหล่านั้นคือวิญญาณจันทรากลุ่มหนึ่ง…

ไม่ใช่แค่สามหรือห้าตน ไม่ใช่นับสิบตน แต่เป็นกลุ่มใหญ่กว่านั้น…

ท่ามกลางหมอกบางนั้น ก็มีเผ่าพันธุ์อมตะราตรีหลายตนปรากฏตัวขึ้น…           ในลักษณะเดียวกับวิญญาณจันทรา คือมากันเป็นหมู่คณะจำนวนมาก!

พวกมันปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ พลางล่องลอยไปมาราวกับเป็นเวรยามที่เฝ้ารักษาอาณาเขตหวงห้ามเอาไว้ พวกมันล่องลอยไปตามแนวพืชสีแดงฉานใน      เขตหวงห้าม หมอกนั้นกลืนเอาหวังเป่าเล่อให้หายลับไปจากสายตาทุกคู่ ฉับพลันก็เกิดเสียงดังระเบิดขึ้นในหัวของทุกคน รวมถึงโจวเฟยด้วย เหล่าผู้ฝึกตนได้ยินดังนั้นต่างก็รีบหนีหัวซุกหัวซุนออกไปทันที หัวใจของพวกเขาเต้นโครมคราม กล้ามเนื้อ    บิดเกร็งด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว

พวกเขาจำใจต้องยอมแพ้เรื่องหวังเป่าเล่อไปก่อน และหาทางหนีตายออกจากบริเวณนั้นอย่างเต็มฝีเท้า ยังดีที่ฝูงวิญญาณจันทราและฝูงเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเหมือนจะง่วนอยู่กับการรักษาเขตแดนเท่านั้น พวกมันจึงไม่ได้ไล่ตามหลังมา ทำให้บรรดา     ผู้ฝึกตนเหล่านั้นหลีกหนีเอาชีวิตรอดมาได้

เหล่าผู้ฝึกตนหันหลังกลับมามองไปทางของอาณาเขตหวงห้ามอย่างเงียบงัน    พวกเขาต่างพากันถอนหายใจอยู่ในอกพร้อมหัวใจอันหนักอึ้ง ก่อนจะแยกย้ายกันไปทางใครทางมัน บางคนก็จากไป บางคนก็เลือกจะอยู่รอให้หมอกจางไปก่อน จะได้ฉวยโอกาสเก็บเอาร่างไร้วิญญาณของหวังเป่าเล่อออกมา

ไม่มีใครเชื่อเลยว่าหวังเป่าเล่อจะรอดชีวิตกลับมาได้ หมอกที่ขังหวังเป่าเล่อไว้กับเหล่าเผ่าพันธุ์อมตะราตรีและหมู่มวลวิญญาณจันทรานั้นแปลได้อย่างเดียวคือความตาย!

แต่ใครเล่าจะเชื่อได้ลง ว่าหวังเป่าเล่อยังไม่ตาย!

เมื่อม่านหมอกปรากฏขึ้นและปกคลุมทุกสิ่งเอาไว้ หวังเป่าเล่อหันหลังกลับไป   เขาจ้องผ่านหมอกออกไปยังกลุ่มผู้ล่าของเขาแล้วฉีกยิ้มกว้าง ชายหนุ่มหันกลับไป   เดินต่อ สติของเขาเริ่มพร่าเลือนและร่างกายของเขาก็ยิ่งกว่าเหนื่อยล้า เขายังคงเดินหน้าต่อไปทั้งที่แทบจะไม่มีสติเหลืออยู่ ขณะที่หวังเป่าเล่อสะดุดทรุดลงกับพื้นนั้นเอง หน้ากากนิลก็บินทะยานออกจากร่างของเขามาลอยอยู่เหนือศีรษะทันที

หวังเป่าเล่อหมดสติไปแล้วในตอนนั้น เขาไม่ได้เห็นแสงเรืองเรื่อที่ส่องออกมาจากหน้ากากนิล แสงนั้นล่องลอยมาอยู่ข้างกายเขา เส้นสายประกอบกันเห็นเป็นร่างคนส่องประกาย

ร่างนั้นเป็นของหญิงสาวผู้งดงามเหนือคำบรรยาย นางสวมใส่อาภรณ์สีขาว   เรือนผมยาวสลวยของนางปลิวไสวในสายลม

นางโอบกอดร่างของหวังเป่าเล่อเอาไว้ แม้ว่าเรือนร่างของนางจะแลดูบอบบาง ทว่ากลับมีพลังอันเหลือเชื่อมากพอจะอุ้มร่างของชายหนุ่มเอาไว้ได้โดยไม่ล้มไปเสียก่อน นางวางเขาลงอย่างแผ่วเบา

นางอุ้มหวังเป่าเล่อก้าวลึกเข้าไปในหมอกหนาของเขตหวงห้าม ยิ่งลึกเข้าไปเท่าใดจำนวนวิญญาณจันทราและเผ่าพันธุ์อมตะราตรีก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สหพันธรัฐจะต้องตกตะลึงกับจำนวนของพวกมัน ซึ่งเกินกว่าที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้มากมายนัก!

สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือเมื่อวิญญาณจันทราและเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจำนวนมากเห็นสตรีนางนั้น พวกมันกลับหลีกทางให้นางเดินผ่านโดยพร้อมเพรียงกัน…

ดูราวกับว่าผู้นำสูงสุดของพวกมันได้หวนคืนกลับมา วิญญาณจันทราและเผ่าพันธุ์อมตะราตรีไม่เพียงหลีกทางให้นางเท่านั้น…พวกมันยังพากันคุกเข่าให้นางไปตลอดสองข้างทาง!

พวกมันมองตามแม่นางน้อยที่อุ้มหวังเป่าเล่อผู้สิ้นสติลึกเข้าไปในทะเลหมอก      สู่สถานที่ที่ไม่เคยมีใครย่างกรายเข้าไปมาก่อน ณ ที่แห่งนั้น มีปากปล่องภูเขาไฟ   กว้างใหญ่ตั้งอยู่!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version