Skip to content

A World Worth Protecting 284

บทที่ 284 เสียงร่ำร้องและท่านปรมาจารย์

ทุกคนตื่นตระหนกอย่างถึงที่สุด ต่างศีรษะชาดิก ตั้งท่าเตรียมพร้อมจะตอบโต้กลับทุกเมื่อ ขณะเดียวกันนั้น มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มยังไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า เขาหายใจหอบลึก หัวใจเต้นระส่ำรุนแรง

นี่มันเรื่องอะไรกัน ข้าแค่คิดว่าอยากจะสังหารเฉินหุย ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีก็ช่วยข้าจัดการนางอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อสั่นสะท้านด้วยความประหลาดใจ     พลางคิดหาคำตอบว่าดอกบัวสีเขียวภายในกายของตนปลุกราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีได้อย่างไร และเหตุใดจู่ๆ มันจึงได้สั่นเทิ้มขึ้นมา… หวังเป่าเล่อรีบตรวจสอบดูและพบว่าเม็ดบัวบนยอดของดอกบัวสีเขียวที่แต่เดิมมีอยู่ห้าเม็ดนั้น ตอนนี้เหลือเพียงหนึ่งเม็ดเท่านั้น

เมื่อเห็นดังนั้น สิ่งที่หวังเป่าเล่อสันนิษฐานไว้ก็ทำเอาเจ้าตัวถึงกับตกใจ

เป็นไปได้หรือไม่ที่เม็ดบัวนั้นใช้ควบคุมราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีได้ ดวงตาของหวังเป่าเล่อทอประกายขณะหันไปรอบตัวเพื่อมองหาหญิงชรา แต่น่าเสียดายที่นางไม่อยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มจึงอดผิดหวังเล็กน้อยไม่ได้ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองเหล่า    ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในบนท้องฟ้า ก็พบว่านอกจากผู้นำสหพันธรัฐ บรรดาเสนาบดี และคนจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าแล้ว ก็มีแต่คนที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน

ชายหนุ่มจึงล้มเลิกความคิดที่จะทดสอบข้อสันนิษฐานของตนแต่เพียงเท่านั้น แล้วสงบจิตใจลงเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ ก่อนจะได้ข้อสรุปคร่าวๆ ขึ้นมา

หากข้ามีเม็ดบัวไม่เพียงพอ ข้าจะไม่สามารถควบคุมราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีได้นานนัก เม็ดบัวหนึ่งเม็ดต่อการควบคุมราชาหนึ่งครั้งอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อใคร่ครวญเงียบๆ และคิดว่าไม่ควรมีใครล่วงรู้เรื่องนี้ เขาไม่ควรไว้ใจใครเกินไปนัก!

ดอกบัวสีเขียวของข้าเองก็เช่นกัน… ข้าต้องปกปิดพลังของมันเอาไว้… หวังเป่าเล่อ   คิดดังนั้น จึงละทิ้งความตั้งใจที่จะใช้เม็ดบัวควบคุมราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีให้สังหารหญิงชรา และเลือกใช้วิธีการเดียวกับสมัยที่อยู่หมู่บ้านลมปราณวิญญาณแทน ทันใดนั้นเมล็ดแห่งการดูดกลืนภายในกายเขาก็พร่ามัวอย่างรวดเร็ว และซ่อนดอกบัวสีเขียวเอาไว้

หลังจากชายหนุ่มคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะแปลงโฉมมันเป็นสิ่งใดแทน เขาก็ตัดสินใจว่าจะแปลงโฉมมันเป็นขวดโอสถวัตถุเวทสมบูรณ์แบบที่เขาใช้หลอมขั้นรากฐานตั้งมั่น

หากเป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มจะอธิบายได้ว่าเขาฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้    เพราะขวดโอสถนั้นบรรจุโอสถเอาไว้นั่นเอง จึงดูสมเหตุสมผลกว่าถ้าจะบอกว่าตนเองโชคดีที่เจอเข้ากับขวดโอสถวัตถุเวทสมบูรณ์แบบ อย่างไรเสียผู้ที่เคยเข้าไปยังหมู่บ้านลมปราณวิญญาณพร้อมกับเขา ต่างก็รู้กันดีว่าหวังเป่าเล่อนั้นเป็นคนดวงดีอย่างไม่   น่าเชื่อเพียงใด

ระหว่างที่ชายหนุ่มอำพรางดอกบัวสีเขียวอยู่นั้น บนท้องฟ้าเบื้องบน ผู้นำสหพันธรัฐกำลังพยายามติดต่อสื่อสารกับราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า          จนร่างยักษ์นั้นยอมละสายตาจากจุดที่เฉินหุยเสียชีวิตกลับมา

มันยืนอยู่กลางอากาศ เงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ซึ่งมีกระบี่สำริดเขียวโบราณปักอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนที่ดวงตาของมันจะเผยประกายสีดำ แล้วพุ่งตัวไปข้างหน้าทันที!

เกิดเสียงดังกึกก้อง ดวงจันทร์สั่นสะเทือนไปทั้งดวง ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีกระโจนขึ้นฟ้า ทว่าโซ่ตรวนเหล็กทั้งเก้าเส้นกลับรั้งมันไว้ไม่ให้เคลื่อนตัวไปได้ไกลนัก

ร่างสูงใหญ่ชะงักลงในทันที พระจันทร์ทั้งดวงสั่นสะเทือนปานพื้นดินจะแยกออก เสียงกระหึ่มสะท้านก้องท้องนภาราวกับว่าแรงกระชากของมันนั้น ได้เคลื่อน         ดวงจันทร์ไปหลายเมตร!

เมื่อมองลงมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืน จะเห็นว่ามีคลื่นจำนวนมากแผ่กระจายออกมารอบๆ ดวงจันทร์นั้น ดวงจันทร์ทั้งดวงสั่นไหว รอยแยกขนาดใหญ่แตกระแหงออกไปทั่วอย่างต่อเนื่องพร้อมเสียงดังโครมคราม

ทุกคนบนดวงจันทร์มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างหวาดกลัว ผู้นำสหพันธรัฐยังคงใช้งานอาวุธเทพต่อไป ลำแสงสีแดงของมันสว่างขึ้นอีกครั้งด้วยหวังจะควบคุมสถานการณ์ให้ได้

กระนั้นโซ่ตรวนเหล็กที่ยึดร่างของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเอาไว้ ก็ทำให้มันแทบเป็นบ้า พยายามพุ่งทะยานไปข้างหน้าให้หลุดพ้นจากพันธนาการเหล่านี้ แต่ในเมื่อมันทำไม่ได้ ดวงจันทร์ทั้งดวงก็จะต้องเคลื่อนที่ไปกับมันด้วย!

โซ่ตรวนเหล็กที่ตรึงร่างของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีฉายแสงสีม่วงในทันที เมื่อเห็นว่ากำลังเข้าขั้นวิกฤติ ลำแสงสีม่วงนั้นก็ไหลผ่านโซ่ตรวนอย่างรวดเร็ว เข้าไปภายในกายของมันทันที ก่อนจะปกคลุมร่างนั้นโดยสมบูรณ์ ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีดูเหมือนจะเจ็บปวดทุรนทุรายอย่างมาก มันยกแขนขึ้นปิดหน้าแล้วกรีดร้องอย่างโหยหวนด้วยความทรมาน

เสียงกรีดร้องของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีร่างสูงสามสิบเมตรตนนี้ส่งผลให้พื้นที่รอบข้างสั่นสะเทือน เหล่าผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ที่ยืนอยู่โดยรอบไม่อาจทนทานไหว กะโหลกศีรษะของพวกเขาระเบิดออกในทันที แม้แต่บรรดาผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นเองยังถึงกับกระอักเลือดกันเป็นแถบ ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นก็มีเลือดสดไหลออกจากปาก และรู้สึกได้ว่าภายในร่างกายกำลังปั่นป่วนเต็มที

เหล่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในต่างตัวซีดเผือด พยายามตะเกียกตะกายถอยหนี ยังดีที่ทุกอย่างเกิดขึ้นภายใต้การคุ้มครองจากอาวุธเทพ หาไม่แล้วสถานการณ์คงจะเลวร้ายกว่านี้อย่างไม่น่าเชื่อ

หลังจากนั้นสักพักใหญ่ ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีก็ค่อยๆ เบาเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดลง ดูเหมือนว่ามันจะเสียพลังงานไปอย่างมาก เมื่อมันเริ่มจนปัญญาและรู้สึกว่าคงทำอะไรไม่ได้ จึงค่อยๆ ทรุดตัวลง ดวงตาอ่อนล้าเสียจนไม่อาจเปิดได้อีกต่อไป ดูเหมือนมันกำลังเข้าสู่สภาวะจำศีลอีกครั้ง ปากนั้นยังคงพยายามจะอ้าพะงาบราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับมีเพียงเสียงพึมพำหลุดออกมาเท่านั้น

เสียงของมันฟังดูโศกเศร้าอย่างถึงขีดสุด เมื่อทุกคนได้ยินเสียงนี้ จิตใจก็พลัน    ห่อเหี่ยวไปด้วย

คล้ายกับความเศร้าเสียใจที่วนเวียนอยู่ หลังจากที่คนๆ หนึ่งเห็นบ้านของตัวเองถูกทำลายลงต่อหน้าต่อตา!

เป็นความอาลัยของคนๆ หนึ่งซึ่งตายไปแล้ว แต่ดวงวิญญาณยังคงขุ่นเคืองอยู่เพราะไม่อาจจะแก้แค้นอะไรได้!

ราวกับเป็นความรู้สึกผิด…เจือความเจ็บปวดที่มาพร้อมความเคียดแค้น!

ห้วงอารมณ์ทั้งหลายนี้สิ้นสุดลงด้วยเสียงร้องระงมอย่างน่าเวทนาแผ่กระจายไปทั่วบริเวณนั้น ที่น่าเวทนายิ่งกว่าคือความรู้สึกเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด ทำให้น้ำตาของมันแห้งเหือดไปหมดสิ้น

บุรุษหัวล้านลดตัวลงมาที่พื้น ร่ำไห้เบาๆ พลางคุกเข่าแล้วหันไปมองดวงอาทิตย์ปักกระบี่

ทุกคนรวมถึงหวังเป่าเล่อต่างเงียบงัน ขณะมองดูราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีคุกเข่าหันหน้าไปทางดวงอาทิตย์เสียงร้องของมันอย่างน่าอดสู จนทุกคนต่างรู้สึก  หนักอึ้งในจิตใจกับภาพที่เห็น

ขณะที่เสียงคร่ำครวญนั้นดังระงมต่อเนื่องอยู่ ก็มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้น ได้ยินไม่ค่อยชัดเจนนัก มันไม่ใช่ภาษาที่ใช้กันบนโลกมนุษย์ ทำให้ไม่มีใครฟังออก ยกเว้น…       หวังเป่าเล่อ!

อาจเป็นเพราะแม่นางน้อย หรืออิทธิฤทธิ์ของดอกบัวสีเขียวก็ไม่ทราบได้        ชายหนุ่มจึงเข้าใจคำพูดอันไม่ชัดเจนนั้น

เสียงๆ นั้นพูดออกมาคำเดียวว่า… ‘ท่านอาจารย์!’

ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีคุกเข่โค้งคำนับไปทางกระบี่สำริดเขียวโบราณ     บนดวงอาทิตย์ เสียงร่ำร้องของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ความปรารถนา ความรู้สึกผิด และความรู้สึกปนเปมากมาย ที่ถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดเพียงคำเดียว…

“ท่านอาจารย์…”

หลังจากนั้นไม่นานคำว่า ‘ท่านอาจารย์’ ก็ดังก้องอยู่ท่ามกลางเสียงร้องไห้ระทม ร่างของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีค่อยๆ ถอยกลับเข้าสู่รอยแยกลึกอีกครั้ง ก่อนที่เสียงนั้นจะเงียบสงบลงในที่สุด

ไม่มีใครเอ่ยวาจาใดออกมาอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากแน่ใจว่าราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเข้าสู่ภาวะจำศีลแล้ว ผู้นำสหพันธรัฐต้วนมู่ฉือก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก บรรดา         ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในรอบข้างนั้น ต่างสังเกตเห็นว่าผู้นำสหพันธรัฐผู้นี้เหงื่อไหลโทรมกายทีเดียว! หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นแม้แต่นิดเดียว ชีวิตของพวกเขาคงจะดับสูญไปแล้วในพริบตา

“ได้เวลาสะสางเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่เสียที! อีกสามชั่วโมงจากนี้ พวกเจ้าต้องตามหาลูกศิษย์จากสำนักของตนเอง นำพวกเขากลับฐานที่มั่นและสอบปากคำ      พวกเขาโดยเร็วที่สุด ผนึกวงแหวนเวทจะไม่ถูกเปิด และห้ามไม่ให้ใครออกไปไหนเด็ดขาด จนกว่าเราจะได้ข้อสรุปของเรื่องทั้งหมด!”

ทันใดนั้น ต้วนมู่ฉือก็กวาดตามองซากศพของผู้เสียชีวิตจากเสียงร้องจากราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีด้วยแววตาเยือกเย็น ก่อนจะกวาดตามองไปยังเหล่าผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นผู้รอดชีวิตแต่เลือดท่วมร่างบ้าง เขาหันมาเห็นหวังเป่าเล่อเข้า        จึงพยักหน้าให้ชายหนุ่มแล้วหมุนตัวจากไป

เวลานั้นเอง ผู้คนต่างเริ่มแยกย้ายเพื่อค้นหาลูกศิษย์จากสำนักของตน            ท่านประมุขแห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ซึ่งก่อนหน้านี้ยืนอยู่ด้านหลังต้วนมู่ฉือ      ตรงเข้ามาหาหวังเป่าเล่อ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกอันยุ่งเหยิงขณะที่     ชายหนุ่มยังคงปิดปากเงียบ

หวังเป่าเล่อไม่ใช่ผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้คนเดิมเหมือนตอนแรกที่เข้ามาในเขตจันทราเวทอีกต่อไป หลังจากผ่านการต่อสู้แย่งชิงผลไม้กับต้นไม้ยักษ์ และได้ยินบทสนทนาทั้งหลายระหว่างสำนักต่างๆ ชายหนุ่มจึงมองเห็นเขตจันทราเวทเปลี่ยนไป และเห็นอะไรๆ ชัดเจนขึ้น

เขตจันทราเวทนี้เป็นหลุมพรางเท่านั้น!

เขาไม่แน่ใจนักว่าสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าจะไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้เลยจริงๆ

ท่านประมุขแห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เหมือนอยากจะพูดบางอย่าง แต่ท้ายสุดแล้วกลับถอนหายใจลึกโดยไม่พูดอะไร ก่อนนำตัวหวังเป่าเล่อไป จัดแจงให้เข้าพักในฐานที่มั่นของสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า ขณะเดียวกับบรรดาผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าคนอื่นๆ ที่เริ่มพาลูกศิษย์จากสำนักของตนจากไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

หวังเป่าเล่อเห็นโจวอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิง ทั้งคู่ยังคงสบายดีและบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นได้สำเร็จ โดยเฉพาะเจ้าเยี่ยเหมิง หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าหญิงสาว   บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นด้วยการหลอมวัตถุเวทสมบูรณ์แบบเหมือนกัน!

เฉินอวี่ถงและคณะเองก็ทยอยกลับมา ในขณะที่บรรดาสานุศิษย์ทั้งหลายกำลังมุ่งหน้ากลับฐานที่มั่นกันนั้น การต่อสู้ครั้งใหม่ก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในผืนป่าบนด้านมืดของดวงจันทร์

ท่ามกลางเสียงระเบิดดังสนั่น บุรุษชุดดำวัยกลางคนหน้าซีดเซียว ขณะถอยหนีอย่างว่องไว บริเวณป่าตรงหน้านั้นปรากฏแสงสีแดงทอเจิดจ้าห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ อาวุธเทพดวงดาราแดงจ่ออยู่ตรงหน้าผากของเขาพอดี

ต้วนมู่ฉือค่อยๆ ก้าวออกมาจากป่า และเผยตัวต่อหน้าบุรุษชุดดำวัยกลางคนผู้นี้

บุรุษชุดดำมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง และหยุดการตอบโต้พลางถอนหายใจ

“ไม่แปลกใจเลยที่ผู้สมัครดาษดื่นอย่างเจ้า จะกลับกลายเป็นจุดสนใจ แซงหน้าสหายร่วมชั้นจนขึ้นเป็นผู้นำแห่งสหพันธรัฐได้…ต้วนมู่ฉือ ข้าเคยคิดว่าเจ้าจะจัดการข้าได้ด้วยสองวิธีการ วิธีการแรกนั้นคือวิธีการที่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรม ส่วนอีกวิธีการนั้นต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมสักนิด แต่ดูเหมือนว่าข้าจะประมาทเจ้าเกินไป เพราะเจ้าดันมีวิธีการที่สามด้วย…

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพบผลไม้นั่นก่อนข้าได้อย่างไร อีกทั้งยังวางยาพิษและเก็บซ่อนมันไว้    อีกต่างหาก อย่างไรก็ตามครั้งนี้ เห็นทีข้าคงต้องยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี!”

“ให้ผลไม้นั่นเป็นพยาน จงบอกข้ามาเสียที ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ต้วนมู่ฉือเอ่ยอย่างสุขุม

บุรุษชุดดำหัวเราะอย่างขมขื่นก่อนถอนหายใจแล้วเผยความจริง แต่ปกปิดรายละเอียดเกี่ยวกับหวังเป่าเล่อเอาไว้ เพราะตั้งใจจะใช้ชายร่างอ้วนนั้นเป็นเครื่องมือกำจัดผู้นำสหพันธรัฐในภายภาคหน้า ชายหนุ่มดูดกลืนพลังชีวิตจากผลไม้เข้าไป   อย่างมาก เขาจึงกลายเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้บุรุษชุดดำบรรลุสู่ขั้นจุติวิญญาณได้ในอนาคต ดังนั้นเพื่อประโยชน์ของตัวเอง บุรุษชุดดำจึงต้องช่วยปกปิดเรื่องของชายร่างท้วมคนนั้นไว้

ขณะเดียวกัน ณ แอ่งแผ่นดินแห่งหนึ่งบนด้านสว่างของดวงจันทร์ ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพกระชับอาวุธเทพระดับเก้าในมือแน่น ขณะที่มองดูชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวสีดำผู้หนึ่ง ย่างสามขุมเข้ามาหาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ในมืออีกฝ่ายประคองอาวุธเทพระดับเก้าคล้ายๆ กันมาด้วย

“หลี่ฉี่เต๋า ในฐานะของหัวหน้าเสนาบดีแห่งคณะเสนาบดี เหตุใดท่านจึงต้องร่วมมือกับสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวด้วยเล่า อีกอย่างหากพวกเราเริ่มเปิดฉากต่อสู้กันขึ้นมา ท่านก็รู้ว่าจะต้องจบลงที่เสมออยู่แล้ว เหตุใดเราสองคนจึงต้องมาต่อสู้กันเองแต่แรกด้วยเล่า” ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพเอ่ยพลางขมวดคิ้ว

“ท่านประมุขสำนักสวี ผู้แพ้ก็ต้องรู้จักยอมแพ้ ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว    เหตุใดท่านจึงยังไม่พอใจอีก ท่านควรจะฉลาดพอที่จะรู้ว่ามีแต่พวกพืชพรรณต้นไม้เท่านั้นที่สามารถดูดกลืนพลังชีวิตของผลไม้ลูกนั้นได้ สำหรับมนุษย์แล้ว มันไม่ได้ช่วยให้บรรลุระดับการฝึกตนได้ ทำได้เพียงเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกายเท่านั้น หาไม่ป่านนี้มันคงจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว อีกอย่างก็มีคนสลับผลไม้ลูกนั้นเอาไว้แล้ว ต่อให้ท่านจะชำนาญกระบวนเวทธาตุไม้ หรือตั้งใจจะใช้มันหลอมการฝึกตนให้บรรลุขั้นจุติวิญญาณ มันก็ช่วยอะไรท่านไม่ได้เลย”

ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพเงียบลง ก่อนจะถอนหายใจหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่

“ข้าอุตส่าห์ปลีกวิเวกมาตั้งห้าสิบปี ไม่เข้าสังคมเลยตลอดช่วงเวลานั้น มันยังไม่เพียงพออีกหรือ”

“ยังไม่พอหรอก! มันต้องหกสิบปีเป็นอย่างต่ำด้วยซ้ำ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version