Skip to content

A World Worth Protecting 29

บทที่ 29 ไร้ซึ่งความลังเล

ระดับการฝึกตนที่เพิ่มขึ้น และความสำเร็จจากการลดน้ำหนักนั้นทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกสนุกตื่นเต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสมองของเขาไม่อาจหยุดจินตนาการภาพของตนเองได้รับตำแหน่งหัวหน้าศิษย์มาได้ ดวงตาคู่นั้นฉายประกายระยิบระยับทันที

วันนี้มาถึงจนได้! หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นระรัวด้วยความสุข เขาเตรียมมุ่งหน้าไปยังห้องโถง แต่เมื่อเห็นว่าเซี่ยไห่หยางนั้นมีอาการงุนงง ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปสวมกอดชายผู้ช่วยชีวิตด้วยความซาบซึ้งในบุญคุณ

“ทำได้ดีมาก สหายร่วมสำนักศึกษา! วิธีแก้ปัญหาของท่านในเรื่องน้ำหนักตัวนั้นเป็นผลยิ่งนัก!

“ไว้เรามาพบกันใหม่ เอานี่! ศิลาวิญญาณตามที่เคยตกลงกัน!”

หนุ่มในชุดฉีกขาดหัวเราะร่าสบายอารมณ์พลางยื่นศิลาวิญญาณแก่อีกฝ่าย ตามด้วยคำพูดอันแฝงความสบายใจ แต่ชายผู้นี้ยังคงมึนงง จนเขาไม่อาจจากไปได้ทันที

“นี่ สหายเจี่ย ตอนนี้ก็มืดมากแล้ว…ไว้ให้ข้าเลี้ยงตอบแทนท่านวันหลังแล้วกันนะ” หากเป็นเวลาอื่น หวังเป่าเล่อคงจะพูดคุยกับเซี่ยไห่หยางมากกว่านี้ แต่ ณ เวลานี้   ชายหนุ่มนั้นว้าวุ่นกับการเป็นหัวหน้าศิษย์มากกว่า จนรู้สึกได้ถึงหัวใจของตนเองนั้นกระสับกระส่ายราวกับมีแมวน้อยมาคอยเกาะแกะอยู่ภายใน

“ท่าน…ท่านทำได้อย่างไรกัน การฝึกตนของท่านช่างก้าวไกล…งดงามนัก!”     ชายผมตั้งมองไปยังชายหนุ่มด้วยจิตใจสับสน ตัวเขาทำธุรกิจในสำนักศึกษา           เต๋าศักดิ์สิทธิ์มานานหลายปี พบลูกค้ามานับไม่ถ้วน และมีผู้ลองกินโอสถมรณะมามากมายหลายคน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นคนฟื้นตัวเอาชนะฤทธิ์โอสถนั่นได้ขนาดนี้

“อาจเพราะกินโอสถนั่นแหละ” หวังเป่าเล่อกล่าวอย่างลวกๆ พลางโอบไหล่      นำทางเซี่ยไห่หยางที่ยังตกอยู่ในภวังค์ออกจากห้องไป

ศิษย์ผู้พี่จากไปด้วยความตกตะลึง ความคิดมากมายประดังประเดเข้ามาจน    ชายผมตั้งถึงกับครวญคราง ขณะเดินลงจากยอดเขาไป

ตอนที่ชายหนุ่มผู้นั้นลับสายตาไป เป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะตกอยู่ลิบๆ หวังเป่าเล่อรีบเร่งฝีเท้าตรงไปยังโถงศิลาวิญญาณอย่างหยุดไม่อยู่

ข้าจะได้เป็นหัวหน้าศิษย์แล้วโว้ย! ชายหนุ่มหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ จากที่เคยศึกษาเรื่องการเป็นหัวหน้าศิษย์มาก่อน ขั้นตอนต่อไปคือเข้ารับการทดสอบหน้าผนังรายนามในโถงสาขาวิชาเพื่อบันทึกสถิติการหลอมศิลาวิญญาณของตนเอง หากเขาสามารถหลอมศิลาวิญญาณได้บริสุทธิ์กว่าสถิติที่มีอยู่ เขาจะกลายเป็น   หัวหน้าศิษย์ทันที

เมื่อได้ตำแหน่งนี้มา ข้าจะเป็นหนึ่งในคนใหญ่คนโตไม่กี่คนของสาขาอาวุธเวท และเมื่อวันนั้นมาถึง จะไม่มีผู้ใดกล้ามารังแกข้าอีกแน่นอน! หวังเป่าเล่อรู้สึกทะเยอทะยาน ราวกับความคาดหวังนี้ได้เร่งการสูบฉีดของโลหิตทั่วร่างกาย

แม้ระยะทางจากถ้ำที่พักไปยังโถงของสาขาวิชานั้นไม่ได้ไกลมาก แต่ก็เป็นระยะทางหนึ่ง ด้วยความตื่นเต้นอันล้นใจ จึงไม่เห็นว่ามีศิษย์รุ่นพี่จากสาขาอาวุธเวทเดินผ่าน ดวงตาของชายผู้นั้นได้ส่องประกายเมื่อเห็นเขา

ชายผู้นี้จดจำหวังเป่าเล่อได้จากชุดคลุมศิษย์คัดเลือกพิเศษ ที่แม้บัดนี้จะมี    สภาพไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้ว ก่อนยกแหวนสื่อสารขึ้นทันทีพร้อมกระซิบผ่านแหวน       “ข้าพบหวังเป่าเล่อ เสื้อผ้าของเขาดูสกปรกเสียด้วย!”

บนยอดเขาสาขาอาวุธเวทประกอบด้วยตำหนักสามหลังตั้งตระหง่านอยู่          แต่ละสำนักตั้งอยู่เคียงข้างกับโถงหลักทั้งสามของสาขาอาวุธเวท ตำหนักทั้งสาม       มีสีม่วงทั้งหลัง ดูคล้ายกับสำนักผู้ตรวจการในระบอบศักดินาโบราณ แผ่รังสี           น่าเกรงขามจนผู้ที่พบเห็นรู้สึกได้

ตรงทางเข้าตำหนักทั้งสามมีบรรดาศิษย์คอยอารักขาอยู่ พวกเขาคอยยืนจ้อง    ทุกคนที่ผ่านไปมาอย่างเยือกเย็น

ใครก็ตามที่เดินผ่านตำหนักทั้งสามแห่งนี้มักจะเร่งฝีเท้าออกห่าง เพราะไม่ปรารถนาจะอยู่บริเวณนี้นานนัก

ตำหนักสีม่วงทั้งสามหลังนั้นเป็นตัวแทนของฝ่ายวินัยสำนัก สถานที่อันสูงส่งและทรงอำนาจเป็นรองก็แต่เพียงหัวหน้าสาขาและคณาจารย์จากสาขาอาวุธเวทเท่านั้น!

หลายคนขนานนามอาคารทั้งสามว่าตำหนักหัวหน้าศิษย์ประจำสาขาวิชา!

เนื่องจากหัวหน้าศิษย์ประจำสาขาที่เกี่ยวข้อง คือ ผู้รับผิดชอบต่อฝ่ายวินัยสำนักนั่นเอง!

ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์แห่งเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง แต่ละสาขาวิชาจะมีหัวหน้าศิษย์ต่างกัน และฝ่ายวินัยสำนักเองก็ต้องดูแลสาขาวิชาของตน

ตำแหน่งของหัวหน้าศิษย์นั้นมาจากความสามารถของแต่ละคน ถือเป็นหนึ่งในกฎดั้งเดิมของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ตำแหน่งหัวหน้าศิษย์นั้นพิเศษกว่าใคร และมีเพียงคนเดียวที่สั่งการพวกเขาได้คือ เจ้าสำนัก!

ฉะนั้น หัวหน้าศิษย์จึงเป็นที่รู้จักกันในฐานะศิษย์เจ้าสำนักด้วยนั่นเอง!

เพราะการรับผิดชอบดูแลศิษย์ทั้งหลายเป็นของฝ่ายวินัยสำนักแต่ละสาขา        เจ้าสำนักจึงต้องมอบอำนาจเหล่านี้ให้แต่ละสาขารับผิดชอบเอง และตอนนี้อำนาจนั้นก็อยู่ในมือของชายวัยกลางคนอาภรณ์ดำผู้ไม่ถูกชะตากับหวังเป่าเล่อ รองเจ้าสำนักนั่นเอง!

ในบางกรณี แม้ว่าหัวหน้าสาขาจะสามารถสั่งสอนหัวหน้าศิษย์ของสาขาตนเองได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาเลือกจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวมากกว่า ต่อให้ภายในใจจะคัดค้านอย่างไร ก็ทำได้เพียงสนับสนุนเมื่ออยู่ต่อหน้าสาธารณชน ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของตัวหัวหน้าศิษย์เองเท่านั้น

ภายในตำหนักหัวหน้าศิษย์ตอนนั้น ศิษย์รุ่นพี่ในอาภรณ์ดำแปดคนกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส พวกเขาดูแตกต่างจากศิษย์ทั่วไปโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าพวกเขาจะเดินไปที่ใดในสาขาอาวุธเวทแห่งนี้ ศิษย์ทั้งหลายต่างก็พากันเกรงใจจนต้องย่องผ่านอย่างเบาฝีเท้าที่สุด

เนื่องจากได้รับมอบหมายโดยตรงจากหัวหน้าศิษย์โถงศิลาวิญญาณให้รับหน้าที่เป็นศิษย์ฝ่ายวินัย ทำให้พวกเขามีอำนาจมากมายอยู่ในมือ เพราะสามารถจับตาดูศิษย์ทุกคนในสาขาอาวุธเวทที่ละเมิดกฎของสำนักศึกษาได้ สองคนในนั้นคือ        ศิษย์ฝ่ายวินัยผู้คุมตัวหวังเป่าเล่อมาจากห้องโถงศึกษาในครั้งก่อน

ระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน หนึ่งในนั้นก้มหน้าลงมองแหวนสื่อสารของตนเอง ก่อนจะเงยหน้ากลับขึ้นมาพร้อมเผยรอยยิ้ม

“พวกเจ้าทุกคน ไว้ค่อยคุยกันต่อคราวหน้า ข้าต้องไปจัดการหวังเป่าเล่อ         เสียหน่อย มีคนเห็นว่าเขาฝ่าฝืนกฎสำนักศึกษาและกำลังมุ่งหน้าไปยังโถง             ศิลาวิญญาณ!” ชายหนุ่มคนนั้นพูดขึ้น จนศิษย์ฝ่ายวินัยที่อยู่รอบตัวต่างพากันหัวเราะ

“ได้โอกาสจับมันเสียทีสินะ วันก่อนตอนไปรายงานตัว หัวหน้าศิษย์ยังถามเรื่องนี้กับข้าอยู่เลย”

“พูดถึงเรื่องนี้ หัวหน้าศิษย์มอบหมายภารกิจนี้ให้เรามาครึ่งปีแล้วสินะ ข้าคิดไม่ตก  จนหัวแทบระเบิดเป็นเสี่ยง หกเดือนที่ผ่านมาเจ้าอ้วนราวกับกลายเป็นภูตผีไปเสียอย่างนั้น ไม่มีผู้ใดได้พบเห็นเขาเลย แต่ข้าคิดว่าสาเหตุของภารกิจนี้คงไม่ใช่เพราะเขาไปมีปัญหากับหัวหน้าศิษย์โดยตรงหรอก”

“ฮ่าๆ เรื่องนั้นอย่าไปใส่ใจเลย หัวหน้าศิษย์คงกำลังช่วยเหลือใครสักคนอยู่       ถ้าเจ้าอ้วนนั่นมีปัญหากับหัวหน้าศิษย์จริงๆ มันคงไม่ลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนป่านนี้หรอก เราต้องทำตัวให้น่าเกรงขามเข้าไว้ เจ้าก้อนไขมันนั่นทำข้าหงุดหงิดใจไม่น้อยเหมือนกัน”

คนกลุ่มนั้นพูดคุยกันอย่างสบายอารมณ์ ขณะที่ออกมาจากฝ่ายวินัยสำนัก       ท่าทีของพวกเขาเปลี่ยนไปเป็นเข้มงวดเมื่อเดินออกมา ทั้งสิบกว่าคนนั้นได้เดิน      อย่างขึงขังไปตามเส้นทางที่จะนำไปสู่โถงศิลาวิญญาณ

การปรากฏตัวของพวกเขา ทำเอาศิษย์หลายคนที่ได้พบเห็นต่างเนื้อตัวสั่นเทา เพราะรู้ดีว่ามีคนกำลังเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้ว ศิษย์ทั้งหลายรอบข้างต่างจับกลุ่มคุยกัน บางคนคอยตามดูจากระยะไกล ด้วยหวังจะเห็นคนจากฝ่ายสำนักวินัยบังคับใช้กกฎของสำนักศึกษา

หลังจากนั้นไม่นาน หวังเป่าเล่อก็เดินมาถึงบนทางเดินเล็กๆ ด้านนอกโถง       ศิลาวิญญาณด้วยความตื่นเต้น ระหว่างทาง เขาได้เผชิญหน้ากับคณะศิษย์ฝ่ายวินัยเข้าอย่างจัง

ทางเดินไม่ได้กว้างนัก แต่ยังพอมีพื้นที่ให้คนห้าคนเดินหน้าเข้ามาแบบเคียงบ่าเคียงไหล่ หวังเป่าเล่ออารมณ์ดี เมื่อได้เห็นคณะศิษย์ฝ่ายวินัยเหล่านั้น ความคิดในหัวก็แล่นมาทันทีว่า อีกไม่นานเขาจะได้เป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนี้แล้ว ชายหนุ่มเผลอยิ้มและยกมือขึ้นทักทายพวกเขา

“ทุกท่าน…”

คณะศิษย์ฝ่ายวินัยชุดดำหัวเราะเยาะก่อนที่เขาจะพูดจบ หนึ่งในนั้นตะโกน      ขัดขึ้นมาทันควัน

“หวังเป่าเล่อ เจ้าเดินเตร็ดเตร่ไปมาในชุดกระเซอะกระเซิงอันผิดแปลกเช่นนี้    มันผิดกฎข้อสาม วรรคเจ็ดของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ จงมากับพวกเราเสียดีๆ!” ศิษย์ฝ่ายวินัยแผดเสียงออกคำสั่ง ก่อนจับไหล่ของชายผู้ต้องหา

ชายหนุ่มชุดดำไม่สนใจสถานะศิษย์คัดเลือกพิเศษ หรือระดับการฝึกตนของ     หวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย เพราะคิดว่าไม่มีผู้ใดกล้าขัดขืนการจับกุมของฝ่ายวินัยสาขาอาวุธเวทได้ โดยเฉพาะมีหลักฐานคาตาแบบนี้

แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับขมวดคิ้วเข้ม ก่อนถอยไปครึ่งก้าวเพื่อเลี่ยงการจับตัว

“สหายร่วมสำนักศึกษา ข้าต้องขออภัย ข้าอธิบายเรื่องนี้ได้ ข้าขอตัวไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกายสักครู่ แล้วจะรีบไปยังฝ่ายวินัยสำนักเพื่อให้ความร่วมมือกับท่านโดยเร็วที่สุด” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง และตอบอย่างใจเย็น จริงอยู่ที่เขาแต่งตัวราวกับ  ใช้ผ้าขี้ริ้วมาห่อ นั่นเพราะน้ำหนักที่พุ่งทะยานอย่างหนักทำเอาชุดคลุมนี่ฉีกขาดไปหมด และด้วยความกระหายจะเป็นหัวหน้าศิษย์นั้น ทำให้ไม่มีเวลาไปหาชุดคลุม     ตัวใหม่

ปัญหานี้เล็กน้อยยิ่งนัก หากไม่ใช่คำสั่งโดยตรงจากหัวหน้าศิษย์ ก็สามารถแก้ได้ด้วยการจ่ายศิลาวิญญาณจำนวนหนึ่ง เพื่อให้ฝ่ายวินัยสำนักแกล้งมองไม่เห็นการ     ผิดกฎพวกนี้ เป็นอีกหนึ่งในสิทธิพิเศษของศิษย์คัดเลือกพิเศษก็ว่าได้

แต่กว่าศิษย์ฝ่ายวินัยพวกนี้จะจับผิดหวังเป่าเล่อได้ไม่ใช่เรื่องง่าย มีหรือพวกเขาจะยอมแพ้แค่เพราะศิลาวิญญาณเท่านั้น หนึ่งในศิษย์ฝ่ายวินัยมีสีหน้าไม่พอใจทันที เมื่อหวังเป่าเล่อหลบเลี่ยงการจับกุมของเขา

“เจ้ากล้าขัดขืนงั้นรึ พอกันที พาตัวเขาไป!” เขาเอ่ยแล้วคว้ามือไปจับหวังเป่าเล่ออีกครั้ง ศิษย์ฝ่ายวินัยคนอื่นยิ้มเยาะก่อนพากันเข้ามารุม เห็นได้ชัดว่าคนกลุ่มนี้ตั้งใจจะจับกุมหวังเป่าเล่อเพื่อพาไปยังฝ่ายวินัยสำนักตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

แต่หากไปถึงที่นั่นแล้ว หวังเป่าเล่อไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนพวกนี้ตั้งใจจะยัดข้อหาอื่นๆ ให้กับเขาอีกหรือไม่ แม้จะไล่เขาออกจากสำนักศึกษาไม่ได้ แต่ก็อาจทำให้เขาถูกขึ้นบัญชีดำได้แน่นอน

กลุ่มสานุศิษย์ที่แอบตามมาดูแต่ไกล เบิกตากว้างทันทีเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า หากว่าคนอื่นถูกจับ พวกเขาคงไม่ใยดีนัก แต่นี่คือหวังเป่าเล่อศิษย์คัดเลือกพิเศษ       ผู้เป็นเป้าสายตาในหลายเหตุการณ์ จนใครๆ ต่างคิดว่านี่คือ คนสำคัญ

หวังเป่าเล่อหัวไวจึงพูดจาสุภาพเพราะรู้ว่ากำลังจะได้เป็นหัวหน้าศิษย์ แต่พอได้เห็นท่าทีแข็งกร้าวของเหล่าศิษย์ฝ่ายวินัยแล้ว เขาเองก็เริ่มระแวดระวัง

ทันทีที่ชายหนุ่มชุดดำยื่นมือออกมา เขาก็ยกมือขวาขึ้นไปจับข้อมือของอีกฝ่าย จ้องเขม็งเข้าไปในดวงตา แล้วพูดแต่ละคำออกมาอย่างช้าๆ

“กฎข้อไหนของฝ่ายวินัยสำนัก ระบุว่าต้องจับกุมคนสวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยกัน”

“กล้าดีอย่างไรมาจับข้อมือข้า อีกทั้งยังกล้าพูดถึงเรื่องกฎอีก เจ้ากำลังต่อต้านการบังคับใช้วินัย และทำให้ค่าปรับของเจ้าเพิ่มขึ้น จับตัวไว้!” เด็กหนุ่มตะโกนก้องอย่างเย่อหยิ่งและไร้ซึ่งความกังวล ก่อนชกหวังเป่าเล่อด้วยมืออีกข้าง

เมื่อได้ยินคำพูดและท่าทางของอีกฝ่าย สีหน้าของหวังเป่าเล่อจึงชักเริ่มถอดสี   เขามาโดยสันติและมีความสุข แต่เมื่อถูกรังแกเช่นนี้ ชายหนุ่มจึงไม่ลังเลที่จะโต้กลับ!

“ชักจะเอาใหญ่แล้ว ฝ่ายวินัยสำนักพวกนี้!” แววตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายขณะพูด ก่อนบิดข้อมือจนมีเสียงแตกเกิดขึ้น พร้อมๆ กับเสียงกรีดร้องอันแหลมสูงดังมาจากร่างของเด็กหนุ่มที่ถูกหวังเป่าเล่อเหวี่ยงกระเด็นปลิวออกไป เขาล้มไปกองอย่างเสียศูนย์ ก่อนส่งเสียงครวญครางด้วยใบหน้าที่ปกคลุมด้วยเหงื่อ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version