Skip to content

A World Worth Protecting 293

บทที่ 293 สำนักศึกษาลูกคนรวย

หวังเป่าเล่อไม่รอช้า ระหว่างทางก็ติดต่อไปยังสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา     เพื่อแจ้งว่าตนเองกำลังจะเข้าไปถึงแล้ว จากนั้นก็ใช้เครือข่ายวิญญาณเข้าดูเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของอาณานิคมดาวอังคาร เขาเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสำนักแห่งนี้

สำนักศึกษาลูกคนรวยแห่งอื่นบนดาวอังคารมีข้อมูลให้เข้าถึงได้อิสระและง่ายดายบนเครือข่ายวิญญาณ เช่นกันกับสำนักศึกษาวิญญาณเปลวไฟ แค่หวังเป่าเล่อค้นหาง่ายๆ ก็เข้าถึงข้อมูลมหาศาลเกี่ยวกับสำนักที่ต้องการ

สำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาค่อนข้างมีชื่อเสียงพอตัว การเมืองของที่นั่นซับซ้อนยิ่งนักเพราะเป็นถึงสำนักศึกษาลูกคนรวยอันดับสองของดาวอังคาร ขุมอำนาจหลักทั้งหมดในสหพันธรัฐมีส่วนได้ส่วนเสียกับสำนักนี้ โดยเฉพาะกลุ่มไตรจันทราซึ่งเป็น    ผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุด

จะพูดว่าสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาก่อตั้งขึ้นเพื่อทายาทของผู้มีอำนาจและอิทธิพลบนดาวอังคารก็ไม่ได้เกินความจริงนัก ที่นี่คือสำนักศึกษาชั้นนำที่สอนแทบ   ทุกศาสตร์ที่มี แม้จะไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า แต่สำหรับมาตรฐานสำนักศึกษา ที่ให้การศึกษาและอบรมลูกศิษย์จนบรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้แล้ว    ก็นับว่าที่นี่เป็นตัวเลือกที่น่าพึงพอใจ

ศิษย์ของสำนักศึกษานี้ ถ้าไม่เกิดในตระกูลร่ำรวยก็เป็นเชื้อสายขุนนาง กลายเป็นที่มาของชื่อว่าสำนักลูกคนรวย ที่เรียกขานกันในหมู่ปุถุชนทั่วไป

เจ้าสำนักคนปัจจุบันมาจากกลุ่มไตรจันทรา เขาดำรงตำแหน่งนี้ที่สำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขามานานกว่าห้าปี เนื่องด้วยเหตุผลต่างๆ แม้เขาจะไม่ได้มีผลงานดีเด่น    น่ายกย่อง แต่ก็ไม่ได้พาสำนักแห่งนี้ไปพบเจอกับปัญหาใหญ่โตแต่อย่างใด ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นดีทุกประการ

สำนักศึกษาลูกคนรวยอะไรกัน ก็แค่สนามเด็กเล่นเท่านั้นเอง หวังเป่าเล่อไล่ดูข้อมูลสำนักแล้วพ่นหัวเราะเยาะ เขาไม่พอใจที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรองเจ้าสำนัก จึงตั้งแง่กับตัวสำนักตั้งแต่ตอนนี้

ทว่าไม่นานเขาก็เปลี่ยนใจ จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อเขามาถึงหน้าสำนัก และได้ทอดสายตามองประตูสำนัก

ประตูบานนั้น…ยาวกว่าห้าร้อยเมตร สลักเป็นรูปมังกรและวิหคเพลิงสวยสง่า    ให้บรรยากาศของขนบดั้งเดิมที่แสนงดงาม หากไม่รู้มาก่อนว่าที่นี่คือสำนักศึกษา     คงจะคิดว่าตนได้มาถึงทางเข้าตำหนักเจ้านครแห่งอาณานิคมดาวอังคารเสียแล้ว

แต่สิ่งที่เปลี่ยนใจเขาไม่ใช่แค่นั้น ในฐานะนักหลอมวัตถุเวทแล้ว หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นสดชื่นในอากาศอย่างรวดเร็ว เขาพิจารณาอย่างระมัดระวังแล้วไม่อาจห้ามตัวเองมิให้ตกใจได้

ประตูบานนี้หลอมขึ้นจาก…ดินเหนียววิญญาณของจริง! แพงกว่าบานประตูในร่างต้นไม้ยักษ์เสียอีก! ลูกตาของหวังเป่าเล่อแทบถลนหลุดจากเบ้า ลมหายใจเขา    ผิดจังหวะ ดินเหนียววิญญาณเป็นวัตถุดิบสำหรับหลอมวัตถุ ราคาตายตัวและเป็นไปตามน้ำหนักก็จริง แต่ราคาไม่ได้ถูกเลย แทบไม่น่าเชื่อว่าประตูสำนักตรงหน้าเขาสร้างจากดินเหนียววิญญาณทั้งหมด กระทั่งหวังเป่าเล่อที่บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นแล้ว      ยังต้องใช้เวลาครู่หนึ่งคำนวณราคาของวัตถุดิบที่ใช้ก่อสร้าง

เขามาถึงในช่วงพักเที่ยงพอดี ขณะที่เขากำลังยืนตะลึงกับประตูสำนักอยู่ข้างนอกนั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นเรือบินหรูหราจำนวนมากทะยานเข้าออกสำนักเป็นว่าเล่น

หวังเป่าเล่อคิดว่าเรือบินบางลำดูคุ้นตา เขาเคยเห็นเรือบินลักษณะคล้ายกันนี้ที่งานเลี้ยงฉลองผลไม้ศักดิ์สิทธิ์มาก่อน บางลำดูหรูหราโอ่อ่ากว่านั้นด้วยซ้ำ บางลำเป็นเพชรทั้งลำ บางลำมีการออกแบบที่น่าตื่นตาตื่นใจ บางลำรูปทรงเป็นอสูร มีเรือบินปรากฏให้เห็นทุกรูปแบบเลยทีเดียว

ถ้ามีเพียงเท่านั้นคงไม่เท่าไร ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังยืนอึ้งกับภาพตรงหน้าอยู่นั้นนั่นเอง อาจารย์ผู้หนึ่งก็สังเกตเห็นหวังเป่าเล่อตะลึงอยู่ตรงประตูทางเข้า เขาคือคนที่สำนักศึกษาส่งมาต้อนรับหวังเป่าเล่อถึงหน้าประตู หลังจากได้รับข้อความจาก       ชายหนุ่ม อาจารย์ผู้นั้นเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างผอม เขาดูจนแน่ใจดีแล้วว่า        หวังเป่าเล่อคือคนที่ตนมารอพบ ก่อนเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหาหวังเป่าเล่ออย่างกระตือรือร้น

“สหายเต๋าที่รัก ท่านคือหวังเป่าเล่อใช่หรือไม่”

หวังเป่าเล่อยังจมอยู่ในห้วงอารมณ์ปั่นป่วนจากอาการตกใจ ทั้งตอนที่เห็นบานประตูสำนักและเรือบินที่รีบร้อนไปมารอบด้าน เขาได้ยินคำถามของอาจารย์คนนั้นแล้วหันไปหา หลังจากพูดคุยกันสั้นๆ ทางอาจารย์ก็รับทราบว่าเขาคือหวังเป่าเล่อ     ตัวจริง แล้ววางตัวเป็นมิตรยิ่งขึ้น เขานำทางหวังเป่าเล่อเข้าไปในสำนัก

“ท่านรองเจ้าสำนักเป่าเล่อ พวกข้ารอคอยท่านมานานมาก ในที่สุดท่านก็มาถึงเสียที” อาจารย์วัยกลางคนผู้นั้นยิ้มกว้าง เขาเริ่มแนะนำสำนักศึกษาให้หวังเป่าเล่อฟัง      ขณะนำทางเข้าไปข้างใน

อาณาเขตของสำนักศึกษาแผ่ขยายออกไปไกลถึงหนึ่งตารางกิโลเมตร ที่แห่งนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกรูปแบบและคณาจารย์ที่แข็งแกร่ง ตอนหวังเป่าเล่อเดินเข้าไปภายใน เขารู้สึกเหมือนอยู่ในสวนหย่อมมากกว่าอยู่ในสำนักศึกษา

มีทั้งทะเลสาบขุดใหม่ ภูเขาเทียม และพื้นที่กว้างขวางอยู่ทุกหนแห่ง           ปราณวิญญาณลอยฟุ้งทั่วทั้งสำนักศึกษา ที่แห่งนี้ไม่น้อยหน้าเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เลย

ทุกอย่างทำให้หวังเป่าเล่อกระจ่างแจ้งว่าความหมายแท้จริงของคำว่าสำนักศึกษาลูกคนรวยทันที…

เขาเห็นบรรดาศิษย์จำนวนมากตลอดทางที่เดินผ่าน แล้วพลันดวงตาเขาถลน    อีกครั้งหนึ่ง ดูเหมือนว่า…ศิษย์หญิงของสำนักศึกษาแห่งนี้จะได้กินดีอยู่ดีมีคุณภาพ    ทั้งยังมีสรีระที่โดดเด่นเกินวัยซ่อนอยู่ใต้เครื่องแบบมาตรฐาน

หวังเป่าเล่อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเอามือไพล่หลังออกมาจากตึก มีศิษย์สำนักอายุไล่เลี่ยกันเดินตามหลังเขามาเป็นจำนวนมาก พวกเขาหยิบเอาศิลาวิญญาณออกมาจากกำไลคลังเวท…ใครก็ตามที่ประสานมือคารวะชายหนุ่มผู้นั้นตอนที่เดินผ่าน จะได้รับศิลาวิญญาณจากผู้ติดตามของเขาทันที…

“นั่น…เขากำลังทำอะไรหรือ ตระกูลเขาทำเหมืองศิลาวิญญาณหรืออย่างไร”   หวังเป่าเล่อถึงกับงงงัน

“อย่าไปสนใจเลยขอรับ รองเจ้าสำนักหวัง เขามาจากกลุ่มไตรจันทรา พวกเขาเรียกการแจกศิลาวิญญาณเช่นนี้ว่าการอวดรวย!” อาจารย์คนนั้นอธิบายโดยไม่   สะทกสะท้านแม้แต่น้อย

“อวดรวยอย่างนั้นรึ…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ไม่ทราบว่าควรจะตอบเช่นไรดี       เขารู้สึกเหมือนตนเป็นขอทานอยู่ข้างถนนริมพระราชวัง ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างคอยปรามเขาไม่ให้จินตนาการไปไกลกว่านั้น

หวังเป่าเล่อผู้ตะลึงงันยังคงตกใจกับภาพที่เห็น ชายหนุ่มค่อยๆ ปรับตัวให้ชินกับสภาพแวดล้อมพิลึกพิลั่นระหว่างทางไปจนถึงห้องทำงานเจ้าสำนัก ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปภายในห้องทำงานแห่งนั้น เขาก็พบกับชายชราพุงโตโดดเด่นคนหนึ่ง ดูราวกับเป็นตัวเขาอีกคนหนึ่ง แต่ขนาดใหญ่กว่าเท่าตัว กำลังลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างยากลำบาก    บนหน้าฉายรอยยิ้มกว้าง

ชายชราผู้นี้คือ เจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา

หวังเป่าเล่อรู้ว่าตรงหน้าเขาคือชายผู้จะมีอำนาจเหนือเขาไปอีกตลอดทั้งปี แม้ว่าเขาจะไม่พอใจกับงานที่ได้รับมอบหมายเพียงใด แต่ตัวเขาก็อดประหลาดใจกับความยิ่งใหญ่ของสำนักนี้ไม่ได้ สัญชาตญาณบอกให้เขาทำตามบทเรียนที่เคยได้รับจากอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูง และจากหลิวต้าวปิน แล้วแสดงความเคารพ       อีกฝ่ายทันที

เจ้าสำนักชราเห็นหวังเป่าเล่อมาถึงก็ตื่นเต้น เขากระตือรือร้นต้อนรับหวังเป่าเล่อแล้วดึงให้ลงมานั่งด้วยกัน ครั้นเห็นว่าหวังเป่าเล่อนั่งเพียงครึ่งเดียวของที่นั่ง          และสีหน้าแสดงความเคารพนอบน้อม ปราศจากซึ่งเศษเสี้ยวหยิ่งยโสเฉกเช่นที่       คนทั่วไปมักมีกันเมื่อตนเองได้ความนิยมพุ่งพรวดขึ้นมาใหม่ๆ รอยยิ้มของเจ้าสำนัก    ก็ยิ่งอบอุ่นขึ้น

เขาคุยสัพเพเหระกับหวังเป่าเล่อ แบ่งปันเรื่องราวของสำนักเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยอย่างจริงใจ

“เป่าเล่อ ข้าแก่แล้ว ไม่เหลือพลังงานจะบริหารสำนักมากนัก ความรับผิดชอบของเจ้าต่อจากนี้ไปจะยิ่งใหญ่ทีเดียว เจ้ายังหนุ่มและจบมาจากสำนักศึกษา            เต๋าศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นหน้าที่นี้ไม่ควรจะเป็นปัญหากับเจ้าแต่อย่างใด

“ศิษย์สำนักของเราถ้าไม่มาจากตระกูลร่ำรวย ก็มีบิดามารดาทำงานอยู่ระดับบนของฝ่ายบริหารอาณานิคมดาวอังคาร หรือมีบรรพชนที่เคยสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ไว้ให้กับอาณานิคม กล่าวก็คือ…พวกเขาล้วนมีพื้นเพครอบครัวที่น่าประทับใจ          บิดามารดาพวกเขาฝากความหวังมากมายไว้กับพวกเขา อยากให้ลูกของพวกเขาเติบโตขึ้นอย่างงดงาม…

“ความรับผิดชอบของพวกเราจึงใหญ่หลวงนัก ภารกิจของสำนักเราคืออบรม   บ่มเพาะพวกเขาให้เก่งกล้าสามารถต่อไปในอนาคต ตรงนี้จะเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบหลักของงานเจ้า นอกจากนี้แล้วเจ้ายังจะต้องดูแลชีวิตคณาจารย์สำนักอีกกว่าแปดร้อยคนด้วย”

หลังจากให้กำลังใจอีกชุดใหญ่ ชายชราก็พาหวังเป่าเล่อไปชมรอบๆ แล้วแนะนำให้รู้จักกับฝ่ายบริหารสำนักที่เหลือ เพื่อยืนยันเรื่องการแต่งตั้งหวังเป่าเล่อ กลุ่มบริหารที่เหลือมีทีท่าเคารพยำเกรงกับชายหนุ่มทันที ไม่ว่าใจจริงพวกเขาจะคิดเช่นไร อย่างไรเสียหวังเป่าเล่อก็เป็นถึงขุนนางระดับห้าชั้นสูง เป็นตำแหน่งสูงสุดและมีอำนาจมากที่สุดในสำนักรองจากเจ้าสำนักเท่านั้น

ก่อนเจ้าสำนักชราจะจากไป เขาก็ไหว้วานให้หวังเป่าเล่อช่วยเหลือบางอย่าง

“เป่าเล่อ ย้อนไปก่อนหน้านี้มีปัญหาเกิดขึ้นกับอาจารย์ผู้สอนวิชาอาวุธเวทคนหนึ่ง  ทำให้เขาต้องออกจากสำนักศึกษาของเราไป และอาจารย์ที่จะมาดำรงตำแหน่งแทน  ก็ยังเดินทางมาไม่ถึง ระหว่างนี้เจ้าช่วยสอนชั้นเรียนนั้นก่อนได้หรือไม่”

เจ้าสำนักชราปฏิบัติกับหวังเป่าเล่ออย่างอ่อนโยนมีไมตรีจิตตลอดการสนทนา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชื่อเสียงของหวังเป่าเล่อและพื้นเพของเขา แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะนิสัยส่วนตัวและวัยวุฒิของเจ้าสำนักเอง

หวังเป่าเล่อเป็นคนประเภทใครดีมาก็ดีกลับ เขาจึงยอมรับคำขอของเจ้าสำนัก

“อายุยังน้อยนี่ดีแท้” เจ้าสำนักชราตบบ่าหวังเป่าเล่อ แล้วจากไปพร้อมกับรอยยิ้ม

หวังเป่าเล่อมองร่างท้วมของเจ้าสำนักชราเดินอุ้ยอ้ายจากไปตามระเบียงทางเดิน ดูพร้อมจะสะดุดล้มได้ทุกเมื่อ หลังจากเจ้าสำนักหายลับระเบียงทางเดินไปแล้ว      หวังเป่าเล่อก็หันไปอีกทาง แล้วเริ่มทำตัวให้คุ้นเคยกับสำนัก อย่างไรเสียวันนี้ก็เป็นวันทำงานวันแรกของเขา เขามีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าจะมีอารมณ์ร่วมหรือไม่       ก็ตาม

ไม่นานนักหัวหน้าสาขาผู้หนึ่งก็หาตัวหวังเป่าเล่อพบ เขาคอยจัดการด้าน      ความเป็นอยู่ให้หวังเป่าเล่อ และถามไถ่เผื่อว่าชายหนุ่มต้องการผู้ช่วย

นอกจากประวัติส่วนตัวของบรรดาอาจารย์และศิษย์จำนวนมหาศาลแล้ว ก็ยังมีงานบริหารอื่นๆ อีกเพียบที่ต้องให้หวังเป่าเล่อจัดการ ชายหนุ่มงานยุ่งไปจนหมดวัน กว่าเขาจะได้มีเวลาพักหายใจก็ตกกลางคืนเสียแล้ว

หลังจากทำงานมาทั้งบ่าย หวังเป่าเล่อก็เข้าใจการทำงานภายในสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขามากขึ้น

สำนักนี้ตามใจศิษย์เป็นใหญ่…พวกเขาไม่สนใจเรียนกันเลยแม้แต่น้อย และ     พวกอาจารย์เองก็คุมพวกเขาไม่ได้ เพราะอย่างไรเสีย ลูกศิษย์แต่ละคนก็มีขุมอำนาจทางการเมืองหนุนหลังอยู่ ทำให้ยุ่งยากไปกันใหญ่ พวกอาจารย์จะปรามอะไรก็ต้องระวังตัว ชวนให้ปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นที่สุด…หวังเป่าเล่อชักรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันทีที่ตนวางเอกสารลง

เจ้าสำนักชราบอกว่าหน้าที่ของข้าคือ อบรมเด็กพวกนี้ให้เก่งกล้าสามารถ…เป็นไปไม่ได้เลยสักนิด หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วมุ่น ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กอ่อนมากกว่าจะเป็นสำนักศึกษา…

อาจารย์ที่นี่ไม่ใช่อาจารย์ พวกเขาเป็นแค่พี่เลี้ยงเด็กเท่านั้น! หวังเป่าเล่อหงุดหงิดกับตำแหน่งที่ตนได้รับแต่งตั้งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อได้เรียนรู้เกี่ยวกับ      สำนักศึกษาแห่งนี้เพิ่ม ก็ยิ่งไม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version