Skip to content

A World Worth Protecting 294

บทที่ 294 จุดเริ่มต้นที่ดี

หวังเป่าเล่อส่ายหัวพลางวางเอกสารลง เขากลับไปยังที่พักที่ทางสำนักเตรียมไว้ให้      ที่พักของเขาเป็นตำหนักสูงสามชั้นสร้างอยู่ริมทะเลสาบขุดใหม่ ปราณวิญญาณ       แผ่ตัวหนากระจายอบอวลอากาศ รอบด้านเงียบสงบ หวังเป่าเล่อนั่งลงตรง             ริมทะเลสาบและเริ่มทบทวนทุกอย่างที่ผ่านมาในวันนี้ แล้วก็ถอนหายใจ

ตอนแรกก็เจอกับต้นไม้ยักษ์ แล้วก็ได้รับแต่งตั้งให้มาประจำการที่สำนักศึกษานี้…ข้าเป็นถึงหนึ่งในพันธุ์กล้าหนึ่งร้อยต้นของสหพันธรัฐ แถมยังเป็นชายหนุ่มผู้หล่อเหลาที่สุดในสหพันธรัฐ ข้าหมายจะไปให้ถึงฝั่งฝัน ไม่ควรต้องมาทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กเช่นนี้! หวังเป่าเล่อพ่นลมหายใจฮึดฮัด ยังคงกังวลเรื่องที่ตนเจอกับต้นไม้ยักษ์ไม่หาย

สภาพแวดล้อมภายในสำนักศึกษาไม่เลวเลยสักนิด แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับสมัยที่เขาเป็นเจ้าตำหนักของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์

ช่างมันประไร ในเมื่อข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว ข้าก็ควรจะพยายามขึ้นอีกสักหน่อย        ให้หนึ่งปีผ่านพ้นไปโดยไว ประมุขสำนักก็จะทำเรื่องย้ายข้ากลับไปแล้ว…

เมื่อคิดถึงตรงนั้น หวังเป่าเล่อก็ลอบถอนหายใจอีกครั้ง เขาพักความกังวล      เรื่องต้นไม้ยักษ์กับการหาทางกลับสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ไว้ก่อน แล้วถอนหายใจอีกครั้งให้กับความสุรุ่ยสุร่ายของสำนักศึกษาแห่งนี้ ชายหนุ่มไขว้ขานั่งขัดสมาธิแล้วอยู่เงียบๆ เช่นนั้นไปตลอดทั้งคืน

เช้าวันต่อมา หวังเป่าเล่อเข้าไปที่ห้องทำงานของตัวเอง ชายหนุ่มไม่มีอารมณ์จะรับมืองานบริหารสำนักทั้งหลาย และไม่มีกะจิตกะใจจะอ่านประวัติส่วนตัวของคณาจารย์และศิษย์สำนักทั้งหลายอีกต่อไป เขาขบเคี้ยวของกินพลางครุ่นคิดว่าจะยกเครื่องสมบัติเวทของตัวเองครั้งใหญ่อีกสักหน

ขณะหมกมุ่นอยู่กับความคิดจะยกเครื่องสมบัติเวทของตน รวมถึงหาหนทางรับมือกับค่าใช้จ่ายในการหลอมอยู่นั้น เขาก็ได้รับแจ้งเตือนว่าชั้นเรียนที่เขาต้อง     เข้าสอนแทนชั่วคราวกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

ข้าสงสัยเสียจริงว่าจั่วอี้ฟานกับเจ้าเยี่ยเหมิงกำลังทำอะไรอยู่ แต่ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ ข้ามั่นใจว่าสองคนนั้นต้องทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กว่าที่ข้าทำอยู่เป็นแน่ หวังเป่าเล่อแทบไม่สนใจชั้นเรียนที่ตนต้องเข้าสอนแม้แต่น้อย แต่ในเมื่อเขารับปากกับ             เจ้าสำนักชราไว้แล้ว เขาก็ต้องทำตามสัญญา ชายหนุ่มคว้าตำราการเรียนการสอนแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องเรียน

ห้องเรียนค่อนข้างเล็กเมื่อมองว่าต้องจุศิษย์ถึงสามสิบกว่าคน ชั้นเรียนแบ่งเป็นศิษย์ชายหญิงจำนวนเท่าๆ กัน บางคนนั่ง บางคนยืน บางคนเดินไปเดินมา เสียงพูดคุยในชั้นเรียนดังเซ็งแซ่ทันทีที่เขาเดินเข้าไป ศิษย์ทุกคนหันมาจ้องหวังเป่าเล่อกันเป็นตาเดียว

“อาจารย์วิชาอาวุธเวทคนใหม่อย่างนั้นรึ”

“หน้าตาคุ้นๆ”

“พวกเจ้าไม่ได้ติดตามข่าวสารเลยรึอย่างไร เขาคือหวังเป่าเล่อ หนึ่งในพันธุ์กล้าหนึ่งร้อยต้นของสหพันธรัฐ ทั้งยังเป็นรองเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักศึกษาของเราด้วย!” บรรดาลูกศิษย์ประมาณสามสิบคนทั้งหญิงชายต่างกระซิบกระซาบคุยกันอย่างเผ็ดร้อน หลายคนบังเกิดความสนใจขึ้นมาพอทราบว่าหวังเป่าเล่อเป็นใคร

หวังเป่าเล่อประเมินบรรดาศิษย์ของตนขณะที่ทุกสายตาจับจ้องมา เขารู้สึกได้และไม่ค่อยพอใจนักที่หนึ่งในลูกศิษย์ชายของเขา คือคนที่เดินอวดรวยแจก           ศิลาวิญญาณเมื่อวาน นับว่ายังดีที่ศิษย์หญิงในชั้นเรียนมีขนาดหน้าอกค่อนข้างใหญ่   น่ามอง ช่วยให้หวังเป่าเล่ออารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

ข้าน่าจะลองกล่อมให้ทางสำนักศึกษาเปลี่ยนเครื่องแบบดู อาภรณ์เหล่านี้หลวมเกินไป ไม่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางร่างกายของศิษย์เอาเสียเลย หวังเป่าเล่อกระแอมไอแล้วฟาดฝ่ามือลงกับโต๊ะ

“มาเริ่มกันได้แล้ว!”

ศิษย์ทั้งหลายเดินเอื่อยเฉื่อยกลับโต๊ะตัวเอง พวกเขามองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาใคร่รู้มากกว่าเคารพยำเกรง

หวังเป่าเล่อไม่สนใจสายตาเหล่านั้น เขามาอยู่ตรงนี้ในฐานะอาจารย์ชั่วคราวเพราะความรับผิดชอบเท่านั้น

รีบสอนให้จบๆ จะได้เลิกแล้วต่อกันไวๆ ข้าจะได้กลับไปหลอมยกระดับสมบัติเวทของข้าเสียที หวังเป่าเล่อถอนสายตากลับมา ชายหนุ่มไม่มีอารมณ์ร่วมกับงานพี่เลี้ยง   นี้เลย เขาดึงเอาถุงมันฝรั่งอบกรอบออกมา แล้วเริ่มกินกร้วมต่อหน้าชั้นเรียนไปด้วยสอนไปด้วย บรรดาศิษย์ทั้งหลายมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

หวังเป่าเล่อท่องตามทุกอย่างที่เขียนอยู่ในตำรา มีแทรกความรู้ส่วนตัวเกี่ยวกับอาวุธเวทเพิ่มเข้าไปบ้างเป็นบางครั้ง ส่วนแรกเป็นข้อมูลพื้นฐานทั่วไป ส่วนหลังเป็นความรู้อันเลอค่าที่สรุปความเข้าใจของเขาเองเกี่ยวกับอาวุธเวท แต่พวกลูกศิษย์ต่างไม่มีสมาธิและไร้วินัยอย่างเห็นได้ชัด

มีเพียงชาวดาวอังคารแต่กำเนิดบางคนที่ตั้งใจฟังการสอนของเขา พวกศิษย์ที่มาจากครอบครัวหรือขุมอำนาจชั้นสูงให้ความสนใจเพียงช่วงแรก หลักๆ แล้วเพราะสนใจในตัวหวังเป่าเล่อ จากนั้นก็เลิกสนใจวิชาเรียนกันอย่างรวดเร็ว

พวกที่มาจากตระกูลนภาห้าสมัยล้วนทำหน้าเหยียดหยามชิงชังหวังเป่าเล่อมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังมีพวกที่มาจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพอยู่ในชั้นเรียนด้วย

เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเขตจันทราเวทถือเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงของสำนักรุ่งสางจักรพิภพ แต่บุพการีของศิษย์เหล่านี้ล้วนมาจากอาณานิคมดาวอังคาร      จึงแทบไม่ได้รับผลกระทบใดจากเรื่องนั้น แต่พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงออกถึง    นิสัยเย็นชาและความไร้อารมณ์ที่ฝังรากลึกในกรรมพันธุ์

มีศิษย์อีกไม่กี่คนที่มาจากสำนักสหชุมนุมสกุณา ทายาทของสมาชิกจากสำนักใหญ่   ทั้งสองจะเลือกสำนักได้เอง แต่กระนั้นก็ไม่ได้บังคับใช้อย่างจริงจัง หลายรายเลือกจะส่งบุตรหลานมาฝึกตนและเข้ารับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่สำนักศึกษาบนดาวอังคารแห่งนี้

ส่วนชายหนุ่มอวดรวยและพวกผู้ติดตามของเขามาจากกลุ่มไตรจันทรา ทุกคนดูจะติดนิสัยเกียจคร้านไม่กระตือรือร้น ยังคงกระซิบกระซาบพูดจาโอ้อวดกันดังมาเป็นระยะๆ

เมื่อจบการสอน หวังเป่าเล่อกินขนมหมดไปแล้วห้าถุง ชายหนุ่มเช็ดปากแล้ว     ตั้งท่าจะออกไป อยากจะกลับไปจัดการหลอมยกระดับสมบัติเวทของตัวเองใจจะขาด แต่ขณะที่เขากำลังจะก้าวเท้าออกจากชั้นเรียนนั้นเอง ก็มีศิษย์คนหนึ่งลุกขึ้นตะโกนขัดขึ้นเสียก่อน ศิษย์ผู้นั้นคือชายหนุ่มอวดรวยที่หวังเป่าเล่อประทับใจไม่รู้ลืม        ตั้งแต่แรกพบ

“ท่านอาจารย์ โปรดรอก่อน!”

ศิษย์ผู้นั้นรีบปรี่ตรงมาหาหวังเป่าเล่อพร้อมบรรดาลูกน้องตามหลังมาติดๆ เขามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ ขวางประตูทางออกเอาไว้

หวังเป่าเล่อชะงักเท้าเอาไว้แล้วเลิกคิ้วขึ้น อารมณ์เขาไม่ได้ดีขึ้นเลยนับตั้งแต่มาถึงดาวอังคาร ชายหนุ่มจ้องมองคนที่บังอาจมาขวางทางตาเขม็ง ตอนที่เขากำลังจะ    เปิดปากพูด อีกฝ่ายก็ฉีกยิ้มแล้ววางมาดเป็นผู้ใหญ่มากประสบการณ์ เขาประสานมือคำนับหวังเป่าเล่อแล้วพูดอย่างสบายๆ

“ท่านอาจารย์ ข้าได้ยินมาว่าหุ่นเชิดของท่านสมจริงยิ่งกว่าสิ่งใด จนชื่อเสียงระบือไปทั่วสหพันธรัฐ ท่านผลิตขายบ้างหรือไม่ขอรับ”

บรรดาศิษย์คนอื่นต่างเงยศีรษะขึ้นมามองหวังเป่าเล่อโดยพร้อมเพรียงกันอย่างกระหายใคร่รู้ บางคนได้ยินเรื่องหุ่นเชิดของเขามาบ้างก็มีสีหน้าสนอกสนใจ

หวังเป่าเล่อไม่ทันตั้งตัว ชายหุน่มไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะถามถึงหุ่นเชิดของเขา เขาพอใจขึ้นมาบ้างพอคิดว่าหุ่นเชิดของตนอาจจะกลายเป็นที่รู้จักไปแล้ว แต่ยังคงรักษาสีหน้าขึงขังเอาไว้

“เจ้าตาแหลมดีนี่ เจ้าหนุ่ม แต่ของพวกนั้นไม่ดีต่อเจ้านักหรอก อย่าหมกมุ่นกับหุ่นเชิดนักเลย ของพวกนั้นไม่ใช่ของเล่น เจ้าโตขึ้นเมื่อไรเดี๋ยวเจ้าก็หามาครอบครองได้เอง!” หวังเป่าเล่อชำเลืองมองยังชายหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยเตือนไว้สองสามคำ แล้วเดินต่อไป

ศิษย์หนุ่มตื่นตกใจกับท่าทีไม่แยแสของหวังเป่าเล่อ จึงรีบตะโกนออกมา

“ท่านอาจารย์ ข้าเป็นผู้ใหญ่แล้วนะขอรับ บิดาของข้าเพิ่งซื้อโรงแรมบน          ดาวอังคารให้ข้าเป็นของขวัญวันบรรลุนิติภาวะ โรงแรมตั้งอยู่ข้างหน้าสำนักศึกษาเปลววิญญาณเลยนะขอรับ ตรงนั้นเป็นชัยภูมิที่ดีทีเดียว ข้าขอแลกโรงแรมนั่นกับ    หุ่นเชิดของท่านหนึ่งตัวได้หรือไม่!”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ” หวังเป่าเล่อชะงักไป เขาหันกลับไปจ้องชายหนุ่มด้วยดวงตาเบิกโพลงตกใจ

“แลกโรงแรมกับหุ่นเชิดอย่างนั้นรึ”

“ขอรับ ท่านอาจารย์ ท่านจะขายให้ข้าได้หรือไม่” ชายหนุ่มเชิดคางขึ้นอย่างยโสโอหัง ท่าทีบ่งบอกชัดเจนว่าตนเองร่ำรวยและเป็นผู้ใหญ่เพียงใด

หวังเป่าเล่อสูดหายใจเฮือก ต่อให้ตระกูลอีกฝ่ายจะเป็นใครมาจากที่ใด เขาก็ยังรู้สึกว่ามันช่างน่าเหลือเชื่อเกินไปนัก จนอดคิดมิได้ว่าหรือบางทีสมาชิกจากกลุ่ม     ไตรจันทราจะมีแต่พวกรวยแต่โง่ เขาอดสงสัยไม่ได้จึงเอ่ยถามต่อ

“ในเมื่อมีนักหลอมหุ่นเชิดอยู่มากมายเต็มท้องตลาด เหตุใดเจ้าต้องมาซื้อของข้าด้วยเล่า”

พอได้ยินคำถามนั้น ศิษย์หนุ่มก็เชิดคางสูงยิ่งขึ้นแล้วกล่าวอย่างโอหังต่อ

“จินตั้วหมิงเคยได้รับหุ่นเชิดมาจากท่าน ข้าเห็นพวกมันตอนกลับไปที่ดาวโลกเมื่อไม่นานนี้ แล้วเขาก็เอามาอวดต่อหน้าข้าอยู่ร่ำไป ข้าจะไม่ยอมก้มหัวให้เขาเป็นอันขาด ข้าต้องการหุ่นเชิดให้ตัวข้าเองบ้าง ข้าอยากได้หุ่นเชิดหญิงแบบเดียวกัน!”

หวังเป่าเล่อมองศิษย์หนุ่มผู้ยิ้มมั่นใจด้วยนัยน์ตาแฝงความหมาย ชายหนุ่มสีหน้าแปลกไป หากเขาเป็นบิดาของเจ้าเด็กคนนี้ คงจะตบกะโหลกให้หน้าทิ่ม เจ้าเด็กคนนี้เป็นตัวป่วนชัดๆ

ข้าว่าคนจากกลุ่มไตรจันทราไม่ปกติสักคน มีแต่พวกลูกคุณหนูมือเติบ…จินตั้วหมิงเอาอาวุธเวทมาแลกกับเศษชิ้นส่วนของข้า เจ้าเด็กนี่ก็ยังจะเอาโรงแรมมาแลกกับหุ่นเชิดของข้าอีก…หวังเป่าเล่อทอดถอนหายใจ พลางคิดว่าตัวเองชอบมาเจอเข้ากับพวก    คนรวยล้นฟ้าอยู่เรื่อย เขาชักอยากจะยอมจำนนต่อชะตากรรมเสียดื้อๆ ท่าทางชีวิตของเขาจะถูกกำหนดมาให้คอยรับใช้คนรวยมือเติบพวกนี้แล้วกระมัง

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ข้าไม่ควรฝืนโชคชะตาที่หยิบยื่นสิ่งตรงหน้าให้ข้า เมื่อคิดเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ คลี่รอยยิ้มสดใสบนใบหน้า ก่อนตบบ่าศิษย์หนุ่ม

“เจ้าหนุ่ม เจ้าจะมีอนาคตกว้างไกลทีเดียว!” หวังเป่าเล่อคว้าเเอาหุ่นเชิดที่     ฝ่ายนั้นขอออกมาทันที หลังจากพวกเขาแลกเปลี่ยนสินค้ากันเสร็จสิ้น หวังเป่าเล่อ    ก็เดินออกจากห้องเรียนด้วยความสุขใจ โฉนดโอนกรรมสิทธิ์โรงแรมอยู่ในมือของเขาแล้ว เช่นกันกับภายในห้องเรียน ศิษย์หนุ่มคนนั้นจ้องมองหุ่นเชิดอย่างมีความสุข ดวงตาเป็นประกายตื่นเต้นด้วยความดีใจ

เมื่อหวังเป่าเล่อกลับไปถึงห้องทำงาน ยังไม่ทันข้าธรณีประตู เขาก็ชะงักไปเสียก่อน แล้วตบหน้าผากตัวเอง

ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ เป้าหมายของข้าคือการย้ายออกไปจากที่แห่งนี้ แล้วเหตุใด    ข้าจึงต้องมาริเริ่มทำธุรกิจบนดาวอังคารด้วย…หวังเป่าเล่อเกิดความรู้สึกผสมปะปนแยกไม่ถูก หากเขาจากที่นี่ไปเมื่อไร เขาไม่มีทางย้ายโรงแรมไปด้วยได้แน่นอนอยู่แล้ว แต่จะให้ขายทิ้งก็คงเสียดายเปล่า เขาหาข้อมูลเกี่ยวกับดาวอังคารก่อนมาถึง         และพบว่าที่ดินบนนี้มีมูลค่าสูงมาก

ลืมไปเสียเถอะ อย่าเพิ่งมาคิดมากตอนนี้เลย ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีบนดาวอังคาร  ก็แล้วกัน หวังเป่าเล่ออารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาครวญเพลงพลางผลักประตู  ห้องทำงานเปิดออก สำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาดูไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เขาคิดไว้ในตอนแรก

ข้าควรจะหลอมหุ่นเชิดเพิ่ม เอาไว้จัดแสดงหน้าชั้นเรียนและช่วยข้าสอนหนังสือดีหรือเปล่านะ หวังเป่าเล่ออยากทำแบบนั้น ดูเหมือนมันจะเป็นหนทางสู่ความมั่งคั่งที่ดีทีเดียว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version