Skip to content

A World Worth Protecting 298

บทที่ 298 อาจารย์วิชาอาวุธเวทคนใหม่

ระหว่างที่หวังเป่าเล่อกำลังร้อนๆ หนาวๆ กลัวกรมวินัยอาณานิคมเรียกตัวไป   จิบชาพูดคุยเรื่องการขายหุ่นเชิด ภาระหน้าที่ในการสอนวิชาอาวุธเวทชั่วคราวของเขาก็จบลงเสียก่อน อาจารย์ประจำวิชาอาวุธเวทคนใหม่เดินทางมาถึงเรียบร้อยแล้ว

หวังเป่าเล่อประหลาดใจแต่ก็ดีใจไปพร้อมกัน เมื่อเห็นในเอกสารว่าอาจารย์คนใหม่นี้คือใคร

ใบหน้าคุ้นเคยในต่างแดน หวังเป่าเล่อถอนหายใจ เขาใคร่ครวญอยู่สักพักก่อน  ส่งคนไปรับอาจารย์คนใหม่ที่ประตูโรงเรียน พร้อมกำชับให้พาอาจารย์ใหม่มาหาเขาทันทีที่มาถึง

หวังเป่าเล่อกินขนมรอหมดไปสองสามถุง อาจารย์คนใหม่ก็มาถึงพอดี…        เสียงเคาะประตูดังขึ้น หวังเป่าเล่อลุกแล้วเดินไปยืนอยู่หน้าแผนที่ที่แขวนอยู่บนผนังห้องทำงานของเขา หันหลังให้ประตู ก่อนจะเอ่ยว่า

“เข้ามาได้”

อาจารย์วิชาอาวุธเวทคนใหม่มีสีหน้าไม่สู้ดีนักขณะเคาะประตู เขาได้ยินเสียงที่  ดังลอดออกมา ลังเลอยู่สักพัก ก่อนเปิดประตูเข้าไป เมื่อเห็นแผ่นหลังของหวังเป่าเล่อ สีหน้าของอาจารย์คนใหม่ก็บูดบึ้งขึ้นในทันที ความรู้สึกกระวนกระวายไม่สบายใจ   ก่อตัวขึ้นในจิตใจ ความไม่สบายใจนี้ปั่นป่วนอยู่ในท้องของเขา และค่อยๆ ลามขึ้นมาข้างบน แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากกัดฟันคารวะหวังเป่าเล่อ

“รองเจ้าสำนักหวัง…หลินเทียนหาวรายงานตัวขอรับ!”

อาจารย์วิชาอาวุธเวทคนใหม่คือ หลิวเทียนหาวนั่นเอง!

ความหงุดหงิดใจของหลินเทียนหาวกำลังพุ่งขึ้นถึงขีดสุด หากเขารู้แต่แรกว่า   หวังเป่าเล่อประจำการอยู่ที่นี่ เขาคงเลือกไปประจำที่อื่นแทน แต่กว่าชายหนุ่มจะรู้ว่าใครคือผู้บังคับบัญชาคนใหม่ของตนก็สายไปเสียแล้ว คำสั่งออกมาเรียบร้อย         และคำสั่งนี้ก็เป็นสิ่งที่บิดาเขาเสียเงินฝากฝังไปไม่น้อยเลยด้วย ด้วยเหตุนี้            หลินเทียนหาวจึงทำได้เพียงก้มหน้ารับชะตากรรม และย้ายมาประจำการที่นี่ในที่สุด

ขณะที่หลินเทียนหาวกำลังหงุดหงิดใจอยู่นั้น หวังเป่าเล่อที่ยังคงหันหลังให้        คู่สนทนาก็พูดออกมาว่า

“เทียนหาว มานี่สิ”

หลินเทียนหาวรู้สึกกระอักกระอ่วนที่ถูกหวังเป่าเล่อเรียกแบบนั้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ชายหนุ่มถอนหายใจอยู่ภายใน ก่อนเดินเข้าไปหาหวังเป่าเล่อหน้าบูดบึ้ง ก่อนหยุดอยู่ข้างกายเขา

หวังเป่าเล่อเหลือบมองอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากมองแผนที่ต่อไป

ความเงียบปกคลุมอยู่ราวครึ่งชั่วโมง แม้หลินเทียนหาวจะว้าวุ่นใจเพียงใด          ก็ยังรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาเห็นว่าตำแหน่งที่ตัวเองยืนอยู่เสมอกับ        หวังเป่าเล่อ ก็พลันนึกถึงคำสอนของบิดา นึกได้ว่าตนเองยืนผิดที่เข้าเสียแล้ว

หากคนอื่นเป็นรองเจ้าสำนัก หลินเทียนหาวคงไม่ทำผิดพลาดเช่นนี้ แต่ความรู้สึกของเขาที่มีต่อหวังเป่าเล่อนั้นซับซ้อนเกินไป ชายหนุ่มขุ่นเคืองใจและรับรู้ได้ถึงความ  ไร้อำนาจของตัวเอง แต่ก็ดันทุรังไม่ยอมถอยหนีเช่นกัน หลังจากเวลาผ่านไปหลาย    อึดใจ หลินเทียนหาวก็ลอบถอนหายใจแล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าวแต่โดยดี

ทันทีที่หลินเทียนหาวถอยหลังไป หวังเป่าเล่อก็ฉีกยิ้มกว้าง เขาหันมาหัวเราะร่าพร้อมเอ่ยอย่างกระตือรือร้น

“เทียนหาว ยินดีต้อนรับสู่สำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา!”

หวังเป่าเล่อพาหลินเทียนหาวมานั่งด้วยกันที่เก้าอี้รับรอง รอยยิ้มยังคงเปื้อนใบหน้า ส่วนดวงตาก็เต็มไปด้วยแววให้กำลังใจ เขามองหลินเทียนหาวลดตัวลงนั่งและพูดด้วยรอยยิ้ม

“สำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาของเรามีภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ ภารกิจของเราคือการสร้างเด็กรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพให้กับทั้งดาวอังคารและสหพันธรัฐ วิชาการ       หลอมอาวุธเวทเป็นวิชาที่สำคัญมาก แต่ข้าคงวางใจได้แล้วเมื่อมีเจ้าอยู่ หน้าที่ของเจ้าสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ข้าหวังว่าเจ้าจะทุ่มเทกับงานนี้”

“รองเจ้าสำนักหวัง ข้าจะทำให้ดีที่สุดขอรับ” หลินเทียนหาวไม่คุ้นชินกับความสัมพันธ์แบบหัวหน้าลูกน้องระหว่างเขากับหวังเป่าเล่อนี้เลย รวมไปถึงวิธีการพูดอย่างมีพิธีรีตองต่อกันด้วย ทำอย่างไรเขาก็ไม่รู้สึกดีขึ้นมาแม้แต่น้อย ความหงุดหงิด   ก็ยิ่งทบทวีขึ้นเรื่อยๆ ในจิตใจ

“ทำให้ดีที่สุดเช่นนั้นหรือ เทียนหาว บัดนี้เจ้าไม่ได้เป็นศิษย์จากสำนักศึกษา     เต๋าศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปแล้ว เจ้าเป็นอาจารย์แล้ว เจ้าเปรียบเสมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในโลกของสานุศิษย์ แค่ทำให้ดีที่สุดนั้นยังไม่พอ เจ้าต้องทุ่มเททุกสิ่งอย่างให้กับมัน เจ้าต้องถ่ายทอดวิชาความรู้ด้านการหลอมอาวุธเวททั้งหมดที่มีให้กับเด็กๆ เหล่านี้!” หวังเป่าเล่อปั้นสีหน้าเด็ดขาดจริงจังหลังจากประกาศโพล่งออกไป เขาเหลือบมองบั้นท้ายของหลินเทียนหาวที่ยังคงนั่งอยู่เต็มเบาะ

หลินเทียนหาวสูดหายใจเข้าลึก เขายืดตัวตรงขึ้น พยักหน้า กำลังจะพูดต่อ       แต่หวังเป่าเล่อก็ชิงตบบ่าเขาเสียก่อน แล้วพูดอย่างเป็นกันเองว่า

“เทียนหาว เราสองคนก็รู้จักกันมานาน แม้เราจะเคยไม่ลงรอยกันบ้างในอดีต   แต่เจ้าก็รู้จักข้าดี ข้าเป็นคนอารมณ์ดีและใจเย็นเสมอ ข้าไม่เคยอาฆาตแค้นต่อใคร    ไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้าไม่ได้แค้นเคืองอะไรเจ้าเลย ไม่แค้นเลยแม้แต่นิดเดียว”      ทุกครั้งที่หวังเป่าเล่อพูดคำว่า ‘แค้น’ เขาก็ตบบ่าหลินเทียนหาวตามคำพูดของตนเองไปด้วย หวังเป่าเล่อพูดคำว่าแค้นสามครั้ง และตบบ่าหลินเทียนหาวเข้าไปถึงสามครั้ง

เขาได้รับบทเรียนนี้มาจากต้นไม้ยักษ์ และนำมาใช้กับหลินเทียนหาวเพื่อให้อีกฝ่ายยอมศิโรราบต่อตัวเอง หวังเป่าเล่ออยากเปลี่ยนหลินเทียนหาวให้กลายเป็นลูกน้องและผู้น้อยที่ซื่อสัตย์ จะได้ไม่ต้องหัวเดียวกระเทียมลีบอยู่บนดาวอังคารแห่งนี้อีกต่อไป

บทเรียนที่ได้รับมานี้ดูเหมือนจะได้ผล ความขุ่นเคืองใจของหลินเทียนหาวแปรเปลี่ยนเป็นความกระวนกระวายและความไม่มั่นใจ หลินเทียนหาวจำนิสัยมุทะลุดุดันของหวังเป่าเล่อได้เป็นอย่างดี จนต้องลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่

หากผู้บังคับบัญชาของเขาเป็นคนอื่น หลินเทียนหาวคงใช้เส้นสายของครอบครัวทำอะไรได้บ้าง แต่หวังเป่าเล่อเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่มีคนไม่ธรรมดาหนุนหลังอยู่ สมัยที่เรียนร่วมสำนักกับหวังเป่าเล่อ เขาได้รู้ซึ้งถึงความจริงข้อนี้ไปแล้ว               หลินเทียนหาวยังเชื่ออีกด้วยว่าหวังเป่าเล่อมีผู้อุปถัมภ์สุดลึกลับคอยสนับสนุนเขาอยู่เบื้องหลัง เพราะคงไม่มีสิ่งใดอธิบายเหตุการณ์ที่หวังเป่าเล่อเอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิดหลายต่อหลายครั้งอีกแล้ว

หลินเทียนหาวคิดว่าตนเองต้องอยู่ใต้อาณัติของหวังเป่าเล่อไปอีกหลายปี ในเมื่อเปลี่ยนแปลงชะตาไม่ได้ เขาก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวมาข้างหน้าให้ตนเองนั่งอยู่บนเบาะเก้าอี้เพียงครึ่งก้น ชายหนุ่มกัดฟันกรอดราวกลืนยาขม เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขา    หยิบเอากำไลคลังเวทออกมาวางลงบนโต๊ะอย่างบรรจง

“รองเจ้าสำนักหวัง…โปรดรับสินน้ำใจเล็กน้อยจากข้าด้วยเถิด”

รอยยิ้มบนใบหน้าหวังเป่าเล่อกว้างขึ้นเมื่อเห็นหลินเทียนหาวเปลี่ยนความคิด     ที่มีต่อตน เขาพูดย้อนถึงวันวานสมัยเรียนสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์กันอยู่สักครู่จึง    ตัดจบบทสนทนา ด้วยการยกถ้วยชาขึ้นจิบเพื่อส่งหลินเทียนหาวออกจากห้องไป     ชายหนุ่มบอกให้หลินเทียนหาวเก็บกำไลคลังเวทของตนไปเสีย ดวงตาของเขาดูเต็มไปด้วยความตั้งใจจริงขณะพูดกับอาจารย์วิชาอาวุธเวทคนใหม่

“เทียนหาว เราเป็นสหายร่วมสำนักเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องให้สินน้ำใจอะไรกันหรอก สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นเพราะความอ่อนประสบการณ์และความเลือดร้อนของเราทั้งคู่ ทุกอย่างถือว่าจบสิ้นลงแล้วที่งานฉลองผลไม้นครศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเมืองหลี่ เจ้าจงอย่าคิดถึงเรื่องนี้อีกเลย ข้าหวังว่าเราทั้งสองคนจะนำพาสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาไปสู่ความเป็นเลิศด้วยกันได้ โดยไม่ผิดพลาดหรือย่อท้อต่อขวากหนามที่ขวางกั้น!”

คำพูดของหวังเป่าเล่อดูจริงใจจนทำให้หลินเทียนหาวรู้สึกคล้อยตาม ชายหนุ่มมองหน้าหวังเป่าเล่อเป็นเวลานานก่อนจะเก็บกำไลคลังเวทไป เขาประสานมือคารวะหวังเป่าเล่อก่อนโค้งตัวลงต่ำ

“ข้าจะทำให้ดีที่สุดขอรับ!” หลินเทียนหาวจากไปหลังจากพูดจบ วันนี้เป็นวันแรกในการเข้าประจำตำแหน่งที่สำนักศึกษา เขาจึงมีเรื่องที่ต้องจัดการสะสางอยู่มาก      หวังเป่าเล่อมองแผ่นหลังของหลินเทียนหาวเดินออกจากห้องและหายลับประตูไป แล้วจึงค่อยวางจอกน้ำชาลง หยิบเอาน้ำเย็นหล่อวิญญาณขวดใหญ่ออกมาดื่มอึกๆ เขาพึงพอใจในผลงานของตนเองเป็นอย่างมาก

ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนดึงหลินเทียนหาวมาเป็นพวกของข้าแต่อย่างใด ข้าจะค่อยๆ เดินหมากไปทีละก้าวเช่นนี้ละ…หวังเป่าเล่อได้ข้อสรุปว่าแม้ต้นไม้ยักษ์จะยังเป็น  หนามยอกอกเขาอยู่ แต่ชีวิตบนดาวอังคารก็ยังเต็มไปด้วยเรื่องสนุกสนานน่าตื่นเต้น เขามีทรัพย์สมบัติในครอบครองมากขึ้น แถมยังได้หลินเทียนหาวมาเป็นพรรคพวกอีก ทั้งสองเรื่องนี้ทำให้ชายหนุ่มพึงพอใจเป็นอันมาก

หวังเป่าเล่อครวญเพลงและกำลังจะเปิดถุงขนมกินเล่นต่อ พลันแหวนสื่อสารของเขาก็ดังขึ้นเสียก่อน ชายหนุ่มก้มหน้าลงมองเพื่อที่จะพบกับสิ่งอันเหลือเชื่อ

หลี่อี้โทรมาเช่นนั้นหรือ หวังเป่าเล่อไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง เขารับสายก่อนที่เสียงของหลี่อี้จะดังลอดออกมาทันที เสียงของแม่นางดูสงบและอิดโรยเล็กน้อย

“หวังเป่าเล่อ ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่ดาวอังคาร ข้าเองก็ถูกส่งมาประจำการที่นี่เช่นกัน…

“ข้าคิดน้อยเกินไปสมัยที่เพิ่งเรียนจบ แต่หลังจากที่เข้าทำงานกับสหพันธรัฐแล้ว ข้าก็รู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน…ข้าย้อนนึกถึงอดีตของเราและความไม่พอใจมากมายที่ข้าเคยมีต่อเจ้า ข้าคิดได้แล้วว่าความรู้สึกเหล่านั้นเป็นเพียงเรื่องชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น ไม่มีเหตุอันใดที่เราสองคนจะต้องมุ่งจงเกลียดจงชังกันสักนิด

“เราต่างฝ่ายต่างยังมีอนาคตอีกยาวไกล ข้าต้องการสมานความสัมพันธ์ระหว่างเรา เจ้าพอมีเวลาว่างหรือไม่ ข้าอยากจะเลี้ยงอาหารเจ้าสักมื้อ”

หวังเป่าเล่องุนงงไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น ข้อความจากหลี่อี้เหนือความคาดหมายเกินไป จนทำให้เขาทั้งกังขาและเริ่มสงสัยในเจตนาของนาง หวังเป่าเล่อมั่นใจว่าหลี่อี้เป็นคนชอบคิดเล็กคิดน้อยและอาฆาตแค้นผู้อื่น เหตุใดจู่ๆ นางจึงเอ่ยปากเช่นนี้กัน

“เจ้าถูกลักพาตัวเช่นนั้นหรือ มีศัตรูของข้าคนใดลักพาตัวเจ้าไปหรือเปล่า ไม่ใช่แล้ว ศัตรูของข้าคงไม่เลือกลักพาตัวเจ้าแน่นอน เช่นนั้นหมายความว่าเจ้าไม่ใช่หลี่อี้      บอกข้ามาว่าเจ้าเป็นใคร!”

ในอาณาเขตที่ 18 ของนครอาณานิคมดาวอังคาร หลี่อี้นั่งอยู่ที่ห้องทำงาน       ตึกบัญชาการของรองเจ้านคร และกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะที่ฟังเสียงปลายสายของหวังเป่าเล่อ หลังจากที่สูดหายใจเข้าลึกสองสามที นางก็พูดเสียงแผ่วอีกครั้ง พยายามทำให้ตนเองฟังดูเหนื่อยอ่อนและหมดพลังที่สุดเท่าที่จะทำได้

“หวังเป่าเล่อ เจ้าเข้าใจข้าผิดแล้ว ข้า…”

หวังเป่าเล่อตัดสายในทันทีก่อนที่นางจะพูดจบ แม่นางหลี่อี้คนงามจ้องไปที่แหวนสื่อสารในมือของตนเอง ก่อนจะตบโต๊ะอย่างหมดความอดทน

ไอ้คนระยำ! กล้าดีอย่างไรมาตัดสายใส่ข้า! หลี่อี้โมโหร้ายขึ้นมาทันที หน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงด้วยแรงโทสะ นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แววมุ่งมั่นฉายแรงกล้าขึ้นในดวงตา

ก่อนหน้านั้นข้ายังลังเลใจอยู่ แต่บัดนี้ข้าตัดสินใจได้แล้ว ต้องเป็นเจ้านี่นี่แหละ! ข้าจะใช้มันเป็นหมากให้ตนเองบรรลุกระบวนเวทให้จงได้! หลี่อี้สูดหายใจเข้าลึก เหตุผลที่นางพยายามเข้าหาหวังเป่าเล่อขอคืนดี เป็นเพราะนางได้รับกระบวนเวทลึกลับมาไว้ในครอบครอง การจะบรรลุกระบวนเวทลึกลับนี้ได้นั้นมีเงื่อนไข        แปลกประหลาดถึงที่สุด คือนางต้องตกหลุมรักคนที่ตนเองเกลียดที่สุดในโลกและ   บอกเลิกเขาเสีย นี่เป็นทางเดียวที่นางจะพิชิตกระบวนเวทลึกลับนี้ได้

ชื่อของกระบวนเวทลึกลับนี้คือ กระบวนเวทต้นหลิวไร้หัวใจ!

เคล็ดวิชานี้ไม่ได้มาจากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาว แต่เป็นเคล็ดวิชาที่รองเจ้านครมอบให้นางทันทีที่นางเดินทางมาถึงดาวอังคาร เพื่อเข้าประจำการในฐานะเลขานุการส่วนตัวของเขา

หลี่อี้แอบติดต่อกับสำนักของตนเพื่อแจ้งข่าวเรื่องกระบวนเวทลึกลับให้ทาง  สำนักทราบ บรรดาผู้อาวุโสชั้นสูงของสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวตกใจเป็นอันมาก    เมื่อรู้เรื่องนี้ และบอกให้นางรีบดำเนินการบรรลุวิชาโดยเร็วที่สุด!

ด้วยเหตุนี้แม่นางหลี่อี้คนงามจึงวางใจและเริ่มเดินหน้าฝึกวิชานี้ในทันที          นางใคร่ครวญอยู่นานเพราะมีผู้ชายหลายคนในชีวิตที่นางทนไม่ได้ แต่ในบรรดา     ชายหนุ่มทั้งหมดนั้น คนที่นางเกลียดที่สุดก็คือหวังเป่าเล่อผู้นี้นี่เอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version