Skip to content

A World Worth Protecting 299

บทที่ 299 จะทอดสะพานให้ข้ารึ

นางเสียสติไปแล้วกระมัง! หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ในสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา    กดตัดสายกะทันหัน คำขอคืนดีของหลี่อี้ดูมีเลศนัยชอบกล มองมาจากโลกยังรู้ว่า   ไม่ใช่ปกติวิสัย

เขาว่ากันว่าคนที่หน้าอกใหญ่มักไม่มีหัวคิด แต่หน้าอกหลี่อี้ไม่ได้ใหญ่เสียด้วยซ้ำ เหตุใดนางจึงไม่มีสมองเสียได้ หวังเป่าเล่อพ่นลมเยาะเย้ย ชายหนุ่มคิดว่า           ตนเองฉลาดกว่าแม่นางอยู่หลายขุม ไม่มีทางที่นางจะแสดงความเอื้อเฟื้อโดยไม่หวัง  สิ่งตอบแทน ผู้ที่จู่ๆ ก็เข้ามาแสดงน้ำใจ ส่วนใหญ่จะเป็นโจรหรือไม่ก็อาชญากรข่มขืนเท่านั้น!

ไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน หรือนางหลี่อี้ผู้นี้พยายามจะ… หวังเป่าเล่อจดจ่ออยู่กับภาพโจรกับอาชญากรข่มขืนในหัว เสียงเตือนภัยดังก้องอยู่ในความคิดของเขา       ชายหนุ่มรีบหยิบกระจกขึ้นมาส่องดูรูปโฉมของตนเอง เสียงเตือนภัยนั้นก็ยิ่งดังขึ้น    ไปอีก หลี่อี้ต้องอยากได้เขาไปครอบครองเพราะเขาหล่อมากแน่ๆ!

ช่างหน้าไม่อายเสียจริง! หวังเป่าเล่อทำสีหน้าจริงจัง เขาทั้งพึงพอใจและขุ่นข้องอยู่ลึกๆ ก่อนจะสรุปได้ว่ารูปโฉมอันงดงามไม่เป็นรองใครของเขาเป็นทั้งของขวัญและคำสาป การเกิดมาหน้าตาดีเสียจนทุกคนตามติดอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของตั้งแต่ลืมตาเกิดมา ช่างเป็นความทรมานที่ทั้งน่าหงุดหงิดและขุ่นเคืองใจเป็นที่สุด

หวังเป่าเล่อถอนหายใจอย่างหัวเสีย ก่อนหยิบเอาถุงขนมกรุบกรอบมาเริ่มหยิบกินและเอนกายลงบนเก้าอี้อีกครั้ง นานทีก็จะมีอาจารย์บางคนมาเคาะประตูห้องเพื่อ    ส่งรายงานบ้าง เวลาเดินหน้าผ่านไปครึ่งวันในลักษณะนี้

อาจารย์ที่สำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขามีทั้งหญิงและชาย ส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกตนระดับการฝึกตนโบราณเป็นอย่างน้อย

รูปร่างของทุกคนล้วนกำยำแข็งแรง และต้องสวมเครื่องแบบเช่นเดียวกับเหล่าศิษย์ ภาพนี้ดูแล้วน่าชื่นตาชื่นใจอยู่พอสมควรเลยทีเดียว

ถึงการปกครองสำนักศึกษาจะไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมากมาย แต่ข้าก็ยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่หลายร้อยคน ก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าการเป็นเจ้าตำหนักอาวุธเวทเท่าใดหรอก

หวังเป่าเล่อกินขนมไปพลาง มองสังเกตการณ์ไปพลางจนหมดวัน หัวหน้าฝ่ายบริหารสำนักศึกษาเป็นสตรีออกเรือนอายุยังไม่สามสิบดี หน้าตาของนางใช้ได้         ยิ่งดวงตายิ่งสวยเป็นที่สุด ดวงตาของนางราวกับมีตะขอที่คอยเกี่ยวทุกคนที่มองจ้องมันเข้าไปหา ทุกครั้งที่นางมองมายังหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่ากำลังโดนสายตาของนางเกี่ยวและค่อยๆ ดึงเขาเข้าไปหาอย่างช้าๆ

ชายร่างท้วมพึงพอใจกับสถานการณ์ของตนเองในตอนนี้มาก เขาคิดว่าหากต้นไม้ยักษ์ไม่ได้อยู่บนดาวอังคารด้วยกันกับเขา ทุกอย่างคงเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ

เวลาเดินหน้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักพระอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้า บรรดาศิษย์เริ่มทยอยกลับบ้านตามกิจวัตร เล่นใหญ่เล่นโตด้วยเรือบินหรูหราของตน เสียงเรือบินแล่นออกจากสำนักศึกษาดังไปทั่วทั้งบริเวณ

ศิษย์หนุ่มจากกลุ่มไตรจันทราคนนั้นและเพื่อนร่วมสำนักศึกษาอีกกว่าสิบคน       เป็นกลุ่มแรกที่เดินทางออกจากสำนักศึกษา พวกเขามุ่งหน้าตรงไปยังโรงแรมขวานศึกในทันที หลังจากนัดกันไว้ว่าวันนี้จะไปเยือนโรงแรมเพื่อชมความยิ่งใหญ่ของขวานศึกสิบเอ็ดด้าม

เมื่อศิษย์ครึ่งสำนักกลับบ้านไปเรียบร้อยแล้ว หวังเป่าเล่อก็ออกจากอาคารเพื่อเตรียมตัวกลับที่พักเช่นกัน ในตอนนั้นเองที่เขาเห็นว่ามีแขกผู้ไม่คาดฝันมาเยือน    แขกผู้ที่อารมณ์เดือดพล่านอยู่ตลอดวันเดินทางมาถึงสำนักศึกษาในที่สุด

แขกผู้นั้นคือ หลี่อี้นั่นเอง!

หลี่อี้เป็นหญิงสาวหน้าตางดงาม แม้นางจะหลงตัวเองเป็นที่สุดจนถึงขั้นต้อง     พกกระจกไปทุกที่ แต่ก็จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในสาวงามโดยแท้จริง ผิวของนางขาวละเอียด รูปร่างยั่วยวนชวนให้นางดูมีเสน่ห์น่าหลงใหล

เมื่อมองจากด้านหลังของหลี่อี้ยิ่งดูเย้ายวนมากขึ้นไปอีก บั้นท้ายของนางกลมเด้ง เอวก็คอดกิ่ว แม่นางหลี่อี้ยืนรออยู่หน้าสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา ความงดงามของนางทำให้นางกลายเป็นจุดสนใจของบรรดาสานุศิษย์ที่กำลังเดินทางกลับบ้าน     หลายคนเป็นหนุ่มวัยกลัดมัน ความอ่อนวัยทำให้พวกเขาด้อยประสบการณ์จนแทบ    ตาถลนเมื่อเจอหลี่อี้

ครั้นหลี่อี้เห็นผลลัพธ์จากความงามของตนเองก็พอใจเป็นอันมาก นางหยิบเอากระจกมาส่องดูใบหน้าของตนเองอีกครั้ง อดคิดไม่ได้ว่าแม้แต่ตัวนางยังหลงใหลในความสวยของตนเองเลยด้วยซ้ำ

ว่าแล้วนางก็ถอนใจลึกให้กับความน่าพิศวงของรูปโฉมอันเลอค่าของตน…

บรรดาศิษย์หญิงที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างพากันจ้องหลี่อี้ราวจะกินเลือดกินเนื้อ พวกนางรู้สึกเหมือนโดนเขี่ยตกขอบทันทีที่เจอเข้ากับหลี่อี้ ต่างพากันมองจ้องด้วยสายตาหาเรื่อง หลายคนที่เลือดร้อนกล้าแสดงออกถึงกับโพล่งออกมา

“นางจิ้งจอกนี่เป็นใครกัน”

“แก่หงำเหงือกเป็นบ้า ออกจากบ้านมาได้อย่างไรไม่อายฟ้าอายดินบ้างหรือ”

“นางก้นบวมอัปลักษณ์!”

ท่ามกลางสายตาของศิษย์ชายที่มองไม่กะพริบ และแววตาเขียวขุ่นถมึงทึงของศิษย์หญิง หลี่อี้เชิดคางขึ้นและตะโกนเสียงแหลมดังไปทางหมู่อาคารของสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา

“หวังเป่าเล่อ ออกมาเดี๋ยวนี้!” พลังปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นของหลี่อี้ทำให้เสียงนางดังกึกก้องเหมือนสายฟ้าฟาด แผ่กระจายไปโดยรอบจนศิษย์ที่รายล้อมอยู่พากันตัวแข็งทื่อด้วยความประหลาดใจ แววตาใคร่รู้วาบขึ้นมาในดวงตาของพวกเขา ทุกคนเผยสีหน้าสนอกสนใจขึ้นมาทันที

หวังเป่าเล่อก้าวเท้าออกมาจากอาคารสำนักศึกษาพอดี ตอนที่เสียงตะโกนกึกก้องของหลี่อี้ดังขึ้น ชายหนุ่มมองผ่านกลุ่มลูกศิษย์ที่กำลังแยกย้ายกันกลับบ้านไป        แล้วก็พบแม่นางต้นเสียงกำลังยืนเชิดอยู่ที่หน้าประตูสำนักศึกษา

นางลงทุนใส่กระโปรงสั้นกุดมาล่อลวงข้าเลยหรือนี่ อยากได้ร่างกายอันงดงามของข้ามากจนถึงขั้นต้องบุกมาถึงที่เชียวหรือ หวังเป่าเล่อเริ่มระแวงในทันที ชายหนุ่มลูบใบหน้าอ้วนกลมของตัวเองแล้วตบหน้าผากหนึ่งที สีหน้าฉายแววชัดเจนว่า     ยุ่งยากใจ ก่อนตัดสินใจว่าอย่างไรก็ต้องจบเรื่องไร้สาระนี้ให้สิ้นเสีย จึงสาวเท้ามุ่งหน้าไปที่ปากประตูทันที

เมื่อหวังเป่าเล่อเดินมาถึง เขาไม่สนใจบรรดาศิษย์ที่จับตามองด้วยสายตาใคร่รู้อยู่โดยรอบแม้แต่น้อย และชิงพูดตัดหน้าหลี่อี้ทันที น้ำเสียงของหวังเป่าเล่อเข้มงวดจริงจังเป็นที่สุด

“หลี่อี้ ข้ารู้ว่าข้ามีทั้งร่างกายที่แข็งแกร่งและใบหน้าที่งดงาม ข้าไม่เพียงแต่เป็นหนึ่งในร้อยพันธุ์กล้าของสหพันธรัฐ แต่ยังเป็นหัวกะทิในบรรดาผู้ฝึกตนระดับเดียวกัน ความสามารถอันยอดเยี่ยมและความอัจฉริยะของข้าเหนือชั้นกว่าทุกคนในสหพันธรัฐ แม้แต่ผู้นำสหพันธรัฐยังพูดเองเลยว่าข้ามีพรสวรรค์ แต่เจ้าจงเข้าใจเสียใหม่ ข้ามิใช่คนไม่มีคุณธรรม คาวโลกีย์ และไร้มาตรฐานเช่นที่เจ้าคิดแน่นอน!”

บรรดาศิษย์รอบกายเขาเบิกตากว้างทันทีที่ได้ยินสิ่งที่หวังเป่าเล่อเอ่ย พวกเขาจ้องมองรองเจ้าสำนักของตนด้วยความกังขา ก่อนหันกลับไปมองหลี่อี้อีกครั้ง ทุกคนแทบไม่อยากเชื่อทั้งสายตาและโสตประสาทของตนเองเลย

“รองเจ้าสำนักหวังกำลังยกยอตนเอง และปฏิเสธแม่นางคนนี้เช่นนั้นหรือ”

“ไร้ยางอายเป็นบ้า…”

“แม่นางที่มีนามว่าหลี่อี้ผู้นี้ยังไม่ทันได้บอกว่ามีใจให้รองเจ้าสำนักหวังเลย!”

หลี่อี้อึ้งกับสถานการณ์เหนือความคาดหมายนี้เช่นกัน นางแทบควบคุมอารมณ์ตนเองไม่อยู่จนเกือบจะระเบิดออกมา คำพูดของหวังเป่าเล่อเหมือนจะสื่อเป็นนัยว่านางเองต่างหาก ที่ไม่มีคุณธรรม คาวโลกีย์ และไร้มาตรฐาน!

แต่ไม่นานนักแม่นางก็เริ่มรู้สึกลังเลสงสัย แม้สิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดจะน่าโมโหเพียงใด แต่ก็ถือว่ามองพฤติกรรมของนางได้อย่างทะลุปรุโปร่งในระดับหนึ่ง นางเอง   ก็มาเพื่อหลอกใช้หวังเป่าเล่อเพื่อบรรลุกระบวนเวท คิดได้เช่นนั้นนางก็ทำได้เพียง    สูดหายใจลึก

“หวังเป่าเล่อ ข้า…”

“ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว!” ชายหนุ่มโบกมือไล่ ดวงตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและรำคาญใจ แต่ก็ไม่วายมองจ้องไปที่ใบหน้าและรูปร่างอันแสนเย้ายวนของนาง ก่อนกระแอมกระไอแล้วเอ่ยต่อให้จบ

“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด เอาละ หวังว่าสิ่งนี้จะทำให้เจ้าหายเป็นบ้าได้บ้าง”   หวังเป่าเล่อทำทีถอนหายใจแล้วก้าวไปข้างหน้า บรรดาสานุศิษย์ที่รายล้อมมอง     ชายหนุ่มด้วยความตกใจ เขาสาวเท้าเข้าไปหาหลี่อี้ที่กำลังทำหน้างุนงงอยู่ ก่อนจะอ้าแขนกว้างและสวมกอดนางเสียแน่น

หลี่อี้ดวงตาเบิกโพลง นางเกือบจะสะบัดตัวให้พ้นอ้อมกอดของหวังเป่าเล่อ     และตบหน้าเขาหนึ่งฉาดตามสัญชาตญาณแล้ว แต่นึกถึงเป้าหมายหลักของตนขึ้นมาได้เสียก่อน หญิงสาวหายใจลึกเข้าปอด ร่างของนางสั่นสะท้านไปหมด แต่ในที่สุด      ก็ควบคุมความรู้สึกเกลียดชังรุนแรงและความรังเกียจขยะแขยงเอาไว้ได้

ภาพตรงหน้าทำให้บรรดาศิษย์ของสำนักศึกษาที่มุงดูอยู่เริ่มถกเถียงกันในทันที พวกเขาคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลี่อี้แหละหวังเป่าเล่อไม่น่าเป็นไปได้ ความคิดที่ว่าทั้งสองเป็นคู่รักกันนั้นเกินจินตนาการของพวกเขาไปมาก…

“สวรรค์ ตาข้าไม่ได้ฝาดไปหรอกกระมัง รองเจ้าสำนักของเราช่างสุดยอดจริงๆ!”

“แม่นางหน้าตาสะสวยเป็นผู้ไล่ตามขอความรักจากรองเจ้าสำนักอย่างนั้นหรือ…”

“โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!”

ขณะที่เสียงพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นดังเจื้อยแจ้วขึ้นในหมู่สานุศิษย์นั้น   หวังเป่าเล่าก็ฉวยโอกาสในลอบลวนลามหญิงสาวไปด้วย ความรู้สึกนี้ใช้ได้เลยทีเดียว ชายหนุ่มอยากแนบกอดนางต่อ แต่ก็คิดได้ว่าไม่อยากให้หลี่อี้เอาเปรียบตนได้          จึงปล่อยร่างนางไปอย่างรวดเร็ว ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“เอาละ เจ้ากอดข้าเรียบร้อยแล้วก็ไปเสียสิ”

หลี่อี้ได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจ นางเริ่มรู้สึกว่าตนเองตัดสินใจผิดพลาดขึ้นมาในบัดดล ได้แต่นึกถึงกระบวนเวทลึกลับเอาไว้แล้วกัดฟันทนเล่นตามแผนการต่อไป หญิงสาวเงยหน้าขึ้น พยายามมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่อ่อนโยนลง ก่อนแย้มริมฝีปากตั้งท่า    จะเอื้อนเอ่ยบางอย่าง

ทันใดนั้นแหวนสื่อสารของหวังเป่าเล่อก็ดังขึ้น เขาก้มลมมอง ความโกรธฉายขึ้นมาบนใบหน้าและดวงตาในทันที

คิดจะทำลายขวานศึกของข้ากระนั้นหรือ

ผู้ที่ส่งข้อความมาคือสวีเจินจิง หัวหน้าผู้จัดการโรงแรมขวานศึก เสียงของชาย   วัยกลางคนดูแตกตื่นขณะที่รายงานหวังเป่าเล่อว่าหลี่อู๋เฉินนำกองกำลังศิษย์หลายคนมาที่โรงแรมของเขา และกำลังพยายามทำลายขวานศึกทั้งสิบเอ็ดด้ามอยู่              ชายวัยกลางคนเองคงต้านไว้ได้ไม่นานนักจึงส่งข้อความมาขอความช่วยเหลือ

หลี่อู๋เฉิน เจ้ากลายเป็นคนบ้าระห่ำแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไรกัน! หวังเป่าเล่อได้ยินแล้ว     ก็ฉุนกึก เขาตั้งท่าจะมุ่งหน้าออกจากสำนักศึกษาไป แต่หันไปเห็นหลี่อี้เข้าเสียก่อน สายตาของชายหนุ่มกวาดลงมองส่วนเว้าส่วนโค้งของเจ้าหล่อน ก่อนพูดผ่านไหล่ของตนกลับไปอย่างไม่สนใจใยดี

“หลี่อี้ ข้ารู้ว่าเจ้าอยากได้ชายหนุ่มรูปงามอย่างข้าไว้ครอบครอง ข้าจะให้โอกาสเจ้าอาบน้ำร่วมกับข้าก็ได้ ข้าจะยอมรับน้ำใจของเจ้า หากเจ้าจะหาขนมทุกชนิดที่มีขายบนดาวอังคารมาประเคนให้ข้าได้อย่างละหนึ่งถุง!”

หวังเป่าเล่อไม่ใส่ใจเสียงฮือฮาอื้ออึงจากบรรดาศิษย์หลังจากเขาพูดประโยคนั้นออกไป รวมถึงดวงตาที่เบิกโพลงของหลี่อี้ด้วย แม่นางดูหัวเสียมากเมื่อได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มทำเพียงแค่กลับหันหลัง เรียกเรือบินของตนออกมา มุ่งหน้าไปยังโรงแรมขวานศึกในทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version