บทที่ 300 เหตุวิวาท
หวังเป่าเล่อรีบบึ่งออกจากสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาทันที ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่หน้าประตูสำนักศึกษา นอกจากบรรดาศิษย์จะเริ่มทุ่มเถียงกันอย่างดุเดือดแล้ว บรรดาคณาจารย์ที่เห็นเหตุการณ์ก็ไม่ได้ต่างกัน เจ้าสำนักยืนสังเกตการณ์อยู่ที่หน้าต่างมองความโกลาหลขนาดย่อมๆ เบื้องล่างด้วยความสนอกสนใจ
หลี่อี้กำลังเดือดดาลด้วยรู้สึกว่าตนเองตัดสินใจผิดอย่างมหันต์ แต่นางก็ตั้งมั่น เด็ดเดี่ยวเอาไว้แล้ว หญิงสาวเป็นคนแน่วแน่ ไม่เปลี่ยนใจอะไรง่ายๆ ความท้าทายของภารกิจนี้มากเกินกว่าที่นางประมาณการไว้คราวแรก แต่ครั้นนางสังเกตเห็นสายตาของหวังเป่าเล่อที่จ้องมองมายังรูปร่างของตน จึงยังพอมีความมั่นใจอยู่ว่าแผนการนี้จะสำเร็จ
เจ้าอ้วนน่าขยะแขยงเอ๋ย ข้าหลี่อี้คนงามคนนี้ จะเหยียบหัวเจ้าเพื่อบรรลุกระบวนเวทลึกลับให้จงได้!
หวังเป่าเล่อยืนอยู่ในเรือบินของตน กำลังมุ่งหน้าไปยังโรงแรมขวานศึก ชายหนุ่มทั้งโกรธทั้งพิศวงในเสน่ห์อันล้นเหลือของตนเหลือเกิน
ฮ่าๆ แม่นางนั่นถึงกับตื่นเต้นจนตัวสั่นเพียงเพราะได้กอดข้า แถมยังดูหงุดหงิด ยิ่งนักเมื่อได้ยินคำขอให้นางพิสูจน์ตนเองเช่นนั้น…หวังเป่าเล่อแค่นหัวเราะเยาะเย้ย ประกายเย็นวาบฉายผ่านแววตา
แม่นางหลี่อี้คนนี้ไม่ได้มาดีแน่นอน นางเกลียดข้าเสียยิ่งกว่าอะไร แต่เมื่อครู่นี้ กลับทนให้ข้ากอดและพูดจากวนประสาทอยู่ได้…นางต้องกำลังวางแผนทำอะไรชั่วช้าเป็นแน่ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง การแสดงออกของเขาเมื่อครู่อาจดูเหมือนการคุกคามทางเพศ แต่ความจริงแล้วเขาพยายามทดสอบนางเท่านั้น
หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าคำขอคืนดีของหลี่อี้ และการปรากฏตัวของนางหน้าประตูสำนักศึกษานั้นน่าสงสัยถึงที่สุด ผลจากการทดสอบปฏิกิริยาของหลี่อี้เมื่อครู่ยิ่งยืนยันความผิดวิสัยนี้ได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรเสีย ชายหนุ่มก็ตัดสินใจว่าจะยังเก็บ ความเคลือบแคลงใจนี้ไว้กับตัวก่อน
หวังเป่าเล่อเลิกคิดเรื่องนี้และเตรียมตัวให้พร้อมแทน เรือบินกำลังมุ่งหน้าด้วยความเร็วสูงไปยังโรงแรมขวานศึก คืบเข้าใกล้โรงแรมเข้าไปทุกที
ในเวลาเดียวกันนั้น บริเวณหน้าโรงแรมขวานศึกกำลังเกิดเหตุการณ์ชุลมุน ศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาและสำนักศึกษาเปลววิญญาณกำลังยืนประจันหน้ากัน ความตึงเครียดอบอวลอยู่ในอากาศ ราวกับว่าเหตุตะลุมบอนพร้อมจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ
“จินตั้วจื่อ นามของเจ้าไม่ได้เข้ากับเจ้าเลยแม้แต่น้อย ต้องเรียกว่าไอ้ลูกหมูจินถึงจะถูก!”
“ซุนเฉา เจ้าบังอาจแย่งเรือบินที่ข้าหมายตา วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!”
“หลี่เหอ เจ้ามันดีแต่พูด แต่ความจริงไร้น้ำยา พี่ชายข้าอัดพี่ชายเจ้าเสียน่วมไปเหมือนหลายวันก่อน วันนี้ถึงตาข้าอัดเจ้าให้น่วมบ้างละ!”
บรรดาศิษย์กว่าร้อยคนมารวมตัวกันอยู่หน้าโรงแรมขวานศึก ส่วนใหญ่เป็นศิษย์จากสำนักศึกษาเปลววิญญาณ แต่ก็มีศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาอยู่บ้างราวยี่สิบคน ฝ่ายหลังนั้นล้วนร่างกายสะบักสะบอมเขียวช้ำ
แม้จะถูกล้อมเอาไว้ด้วยศัตรูกลุ่มใหญ่กว่า แต่ศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋า หมอกขุนเขาเหล่านั้นก็ยังยืนหยัดอย่างกล้าหาญ เสียงสบถก่นด่าสาดไปทั่วบริเวณ จิตวิญญาณการแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันของสำนักศึกษาทั้งสองแห่งนี้ ส่งผลให้ บรรดาศิษย์จากทั้งสองสำนักจ้องจะเอาชนะกันอย่างเสียมิได้ ต่างฝ่ายต่างเกลียดชังกันเข้ากระดูกดำ
แม้หลายคนจะมาจากขุมอำนาจเดียวกัน แต่ภายในขุมอำนาจขนาดใหญ่เองนั้น ก็มีหลายก๊กหลายเหล่าแตกออกไป ความขัดแย้งภายในขุมอำนาจเหล่านั้นเองก็ไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน
จินตั้วจื่อกับสหายไม่ได้ตั้งใจมาที่โรงแรมเพื่อก่อความวุ่นวาย พวกเขาเพียงต้องการมาดูขวานศึกเท่านั้น แต่กลับมาเผชิญหน้ากับบรรดาศิษย์สำนักศึกษา เปลววิญญาณเข้าเสียได้ นับเป็นเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงและถือว่าเป็นโชคร้ายอย่างยิ่ง คำก่นด่าสาปแช่งจึงพลันทวีความรุนแรงกลายเป็นลงไม้ลงมืออย่างรวดเร็ว
ด้วยความที่สำนักศึกษาเปลววิญญาณอยู่ฝั่งตรงข้ามนี้เอง ทำให้มีพรรคพวกตามมาสมทบเป็นร้อยคน ฝ่ายพนักงานโรงแรมที่กำลังดูสถานการณ์จะเข้ามาห้ามทัพ แต่หลี่อู๋เฉินฉวยโอกาสใช้ความตึงเครียดระหว่างสองสถาบันให้เป็นประโยชน์เสียก่อน เขาก้าวเข้ามาทำลายขวานศึกพังราบไปสามด้ามในทันที!
การกระทำของเขาทำให้ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้น จนดูเหมือนจะไม่จบลงง่ายๆ
ก่อนหน้าที่หลี่อู๋เฉินจะรู้ว่าโรงแรมเปลี่ยนมือเรียบร้อยแล้วนั้น เขากลัวว่าหากบุ่มบ่ามทำลายขวานลงด้วยตนเองจะกลายเป็นหยามหน้ากลุ่มไตรจันทราเข้า จนเกิดผลกระทบรุนแรงตามมา แต่ในเมื่อเขาทราบแล้วว่าโรงแรมไม่ได้อยู่ในการควบคุมของกลุ่มไตรจันทราอีกต่อไป ชายหนุ่มก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรอีก เขามุ่งมั่นทำลายขวานศึกอย่างไร้ความเกรงกลัว
ระหว่างที่ศิษย์จากทั้งสองสำนักศึกษากำลังเผชิญหน้ากันอยู่ หลี่อู๋ฉินเองก็ตั้งหน้าตั้งตาทำลายขวานด้ามแล้วด้ามเล่า จนเกิดเสียงระเบิดกึกก้องเหมือนสายฟ้าฟาด ดังไปทั่วบริเวณ ขวานใหม่สิบด้ามพังราบเป็นหน้ากลองในไม่ช้า
ชายหนุ่มตั้งท่าจะโจมตีขวานด้ามสุดท้ายต่อไป ขวานด้ามนี้เป็นขวานดั้งเดิมที่ตั้งอยู่คู่โรงแรมแห่งนี้มาช้านาน
ดูเหมือนว่าวัตถุดิบที่ใช้หลอมจะไม่เหมือนกับอีกสิบด้ามที่เหลือ เพราะมันทนทานแรงโจมตีของเขาได้ และไม่หักสะบั้นลงเสียที กระนั้นก็ยังมีรอยร้าวเกิดขึ้นใหม่เรื่อยๆ ตามแรงกระแทกที่ได้รับ
บรรดาพนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงแรมระดับการฝึกตนสูงสุดเพียงแค่ลมหายใจเที่ยงแท้เท่านั้น เทียบชั้นกับหลี่อู๋เฉินไม่ได้โดยสิ้นเชิง ในเมื่อพวกเขาไม่อาจห้ามปรามได้ จึงทำได้แค่ยืนดูอย่างกระสับกระส่ายอยู่ห่างๆ เท่านั้น
“รองเจ้าสำนักหลี่จงเจริญ ทำลายโรงแรมขวานศึกให้ราบเป็นหน้ากลองไปเลย!
“รองเจ้าสำนักหลี่ผู้แข็งแกร่งของพวกเรา ฮ่าๆ!”
เศษหินระเบิดกระจุยกระจายไปทั่วบริเวณ ขณะที่หลี่อู๋เฉินมุ่งหน้าโจมตีขวานศึกด้ามดั้งเดิมต่อไป รอยแตกร้าวปรากฏเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จินตั้วจื่อเองก็เริ่มอกสั่น ขวัญแขวน
“พวกเจ้าชักจะเหิมเกริมเกินไปแล้ว รองเจ้าสำนักของเราคือหวังเป่าเล่อ เขาจะมาอัดพวกเจ้าให้น่วมเลยคอยดู!”
“พวกเจ้าไม่เคยได้ยินชื่อของหวังเป่าเล่อหรืออย่างไร”
บรรดาศิษย์จากสำนักศึกษาเปลววิญญาณระเบิดเสียงหัวเราะ แล้วมองจินตั้วจื่อและสหายด้วยสายตาเย้ยหยัน บางคนก็พูดจาเหยียดหยามกลับ
“ใครบ้างจะไม่เคยเล่า เจ้าหมายถึงไอ้อ้วนนั่นน่ะหรือ รองเจ้าสำนักหลี่ของ พวกเราจะเตะก้นเขาให้กระเจิงเลยทีเดียว ถ้าหากกล้าดีบากหน้ามา รับรองว่าเขาจะต้องตัวบวมเป่งกลับไปเป็นสองเท่าทีเดียว!”
“ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาว่ารองเจ้าสำนักหวังของพวกเจ้าอาจดูเหมือนแข็งแกร่งมากก็จริง แต่ความจริงแล้วเขาก็แค่ไอ้คนขี้ขลาด! เจ้าเองก็เหมือนกัน จินตั้วจื่อ เจ้ามันหน้าโง่ ยอมแลกโรงแรมกับหุ่นเชิด เจ้านี่รวยอย่างเดียวไม่ได้ ต้องโง่ด้วย”
“ข้าได้ยินมาว่ารองเจ้านครไม่ค่อยชอบรองเจ้าสำนักหวัง บิดาข้าทำงานกับ รองเจ้านครโดยตรง หากเขากล้าเสนอหน้ามาวันนี้ ข้าจะฟ้องเรื่องของเขากับ บิดาข้า!”
ความโกลาหลยังคงดำเนินต่อไป เสียงยุแหย่ถากถางของบรรดาศิษย์สำนักศึกษาเปลววิญญาณ เสียงก่นด่าตอกกลับของศิษย์สำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา ผสมปนเปกับเสียงทำลายขวานศึกของหลี่อู๋เฉิน กลายเป็นเหตุการณ์จลาจลขนาดย่อมๆ แต่ทันใดนั้นเสียงหวีดหวิวแหวกอากาศก็ดังมาแต่ไกล
เสียงคำรามกึกก้องระเบิดออกจากเรือบินที่กำลังเข้าใกล้ ดังกระทบเข้าโสตประสาทของพวกเขา ก่อนที่เรือบินลำนั้นจะปรากฎขึ้นบนน่านฟ้าเสียอีก
“หลี่อู๋เฉิน เจ้าอยากรนหาที่ตายมากนักหรือ!”
หวังเป่าเล่อกระโจนออกจากเรือบินของตนพร้อมส่งเสียงตะโกนก้อง ชายหนุ่มเคลื่อนไหวรวดเร็วมากจนแซงเรือบินของตนเองไป เขาคืบเข้ามาใกล้ในระยะ ร้อยเมตรจากการกระโดดลงมาเพียงครั้งเดียว ทุกคนที่ดูอยู่ตรงนั้นต่างพากันตื่นตะลึง ชายหนุ่มก้าวอีกเพียงสองก้าวก็มาหยุดอยู่ข้างหน้าหลี่อู๋เฉิน และปล่อยหมัดเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่านเสียแล้ว
รูม่านตาของหลี่อู๋เฉินหรี่ลงทันที เขารีบถอยหลังกรูด สองมือประสานกันเป็นผนึกมืออย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นหยดน้ำหยดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา หยดน้ำหยดนั้นสว่างใสบริสุทธิ์ แปรเปลี่ยนรูปทรงกลายเป็นเกราะ กำบังหมัดของ หวังเป่าเล่อที่พุ่งตรงเข้ามา
เสียงปะทะดังกึกก้องจนสะเทือนสวรรค์สนั่นปฐพี หลี่อู๋เฉินตกใจกับภาพตรงหน้า เกราะหยยดน้ำของเขาต้านทานพลังหมัดของหวังเป่าเล่อไม่ไหวและแตกสลายออกในทันที
ชายหนุ่มหัวล้านจ้องมองหวังเป่าเล่อพุ่งเข้าหาตนเองด้วยแววตากระหายเลือด ในตอนนั้นเอง เสียงแค่นจมูกเยาะเย้ยก็ดังแว่วออกมาจากทางสำนักศึกษา เปลววิญญาณ ร่างเจ็ดถึงแปดร่างกระโจนเข้าหาหวังเป่าเล่อทันที
ในบรรดากลุ่มคนเหล่านั้น มีชายวัยกลางคนขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นปลาย ซึ่งสูงกว่าคนอื่นๆ อย่างชัดเจนรวมอยู่ด้วย ชายวัยกลางคนผู้นั้นปล่อยมวลพลังรุนแรงกว่า ทุกคนรอบตัว รัศมีของมันอาบไปด้วยพลังอันยโสโอหังแต่ชวนครั่นคร้าม
ชายวัยกลางคนผู้นั้น…คือเจ้าสำนักศึกษาเปลววิญญาณนั่นเอง ส่วนผู้ที่ติดตามเขา มาด้วยคือคณาจารย์จากสำนักศึกษาเดียวกันนั่นเอง พวกเขาเป็นกองหนุนที่หลี่อู๋เฉินเรียกมาด้วยในครั้งนี้ เนื่องจากตนเองรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งเพียงใด เขาเคยได้ยินได้ฟังข้อมูลเหล่านั้นมาบ้าง แม้จะยังไม่เคยเห็นหวังเป่าเล่อลงสนามต่อสู้จริง แต่ชายหนุ่มก็ตระหนักดีว่าหวังเป่าเล่อเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งเพียงใด
บรรดาคณาจารย์ยินดีให้ความช่วยเหลือ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลี่อู๋เฉินร้องขอ อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาก็คิดว่าขวานศึกสิบเอ็ดด้ามนั้นดูน่าหวั่นใจเกินไปเช่นกัน แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือ ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างสองสำนักศึกษาที่มีมาอย่างยาวนาน พวกเขาอยากข่มขวัญคู่อริและแสดงความเหนือกว่าก็เท่านั้น
ได้รับการแต่งตั้งเข้ามาใหม่แล้วอย่างไร เจ้าสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาแก่ชราเต็มที มีแต่ทำให้สำนักศึกษาเริ่มถดถอยตามไปด้วย สำนักศึกษาเปลววิญญาณไม่ควรเป็นแค่หนึ่งในสองสำนักศึกษาที่ดีที่สุด แต่ควรเป็นสำนักศึกษาลูกคนรวยเพียง หนึ่งเดียวบนดาวอังคารเท่านั้น สำนักศึกษาเปลววิญญาณต้องเป็นสำนักศึกษาที่ดีที่สุดบนดาวเคราะห์นี้!
พวกเขาต้องการผงาดขึ้นมาเป็นที่หนึ่ง และหมายมั่นว่าต่อไป หวังเป่าเล่อจะต้องยอมก้มหัวจำนนทุกครั้งที่เห็นคนจากสำนักศึกษาเปลววิญญาณ เจ้าสำนักผู้นี้ได้ถามไถ่เรื่องความสามารถในการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อไปทั่ว
จนได้รับรู้มาว่าหวังเป่าเล่อเคยพยายามหลีกหนีการเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นปลายในเขตจันทราเวท ด้วยการใช้หมอกเวทเคลื่อนย้ายส่งพวกเขาเหล่านั้นไปที่อื่นแทน ข้อมูลที่ได้มานี้ทำให้เจ้าสำนักเปลววิญญาณยิ่งมั่นใจยิ่งขึ้น
เจ้าสำนักพุ่งตัวเข้าใส่หวังเป่าเล่อพลางคำรามก้อง
“ไสหัวไป!”
เสียงตะโกนดังกึกก้องแหวกผ่านอากาศเข้าปะทะหวังเป่าเล่อ ที่กำลังจะไล่ตาม หลี่อู๋เฉินไป
ชายหนุ่มหัวล้านเห็นดังนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะ และหันกลับมาพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อแทนเช่นกัน บรรดาอาจารย์จากสำนักศึกษาเปลววิญญาณต่างพุ่งเข้าล้อมหวังเป่าเล่อจากทั้งซ้ายขวา
“พวกเจ้าคิดว่าข้าต่อกรกับคู่ต่อสู้ขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นปลายไม่ได้อย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อตะโกนก้องบ้าง แววตาพลันฉายแววเหี้ยมเกรียมขึ้นมา ก่อนยกมือขวาขึ้นเรียกกระบี่อาวุธเวทระดับเจ็ดออกมาถือไว้ แล้วควงมันฟาดฟันเข้าใส่เจ้าสำนักศึกษาเปลววิญญาณทันที!
เมื่อคมดาบตวัดแหวกอากาศออกไป มรสุมสีดำก็อุบัติขึ้นรอบกายเขา ก่อนที่จระเข้สีดำจะปรากฏตัวขึ้นภายในนั้น ขณะที่จระเข้สีดำกำลังแผดเสียงคำรามลั่น ดอกบัวเขียวภายในกายของหวังเป่าเล่อก็สั่นไหวอย่างรุนแรง พลังปราณเข้มข้นระเบิดออกมาจากกายเขา เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ทั้งพลังปราณและร่างกายของหวังเป่าเล่อจนถึงขีดสุด
เหตุทะเลาะวิวาทปิดฉากลงแต่เพียงเท่านั้น เสียงคำรามของหวังเป่าเล่อดังลั่นกลบเสียงของเจ้าสำนักศึกษาเปลววิญญาณจนหมดสิ้น ชายหนุ่มเหาะเหินขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจ้วงคมกระบี่ลงมาจากสวรรค์ จนท้องฟ้าพลันแลดูเปลี่ยนไป ทุกสิ่งทุกอย่าง หยุดนิ่งในบัดดล!
หลี่อู๋เฉินผงะด้วยความตกใจแกมขยาดกลัว บรรดาอาจารย์คนอื่นจากสำนักศึกษาเปลววิญญาณก็ถึงกับตะลึงงันขยับตัวไม่ได้ ฝ่ายเจ้าสำนักเองก็เบิกตาโพลง รู้สึกได้ถึงภัยอันตรายที่ระเบิดอยู่เหนือหัว ราวกับมีคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าใส่หมายจะ กดเขาให้จมลงใต้พื้นพสุธา!
“เป็นไปไม่ได้!” หวังเป่าเล่อกำลังพุ่งตัวลงมาจากฟากฟ้าเหมือนพายุหมุนที่พร้อมทำลายล้าง ทุกคนต่างตกใจจนควบคุมสติไม่อยู่ ลำแสงวาบยาวหลายร้อยเมตรสะท้อนสว่างออกมาจากปลายกระบี่อาวุธเวทของเขา เฉือนตัดผ่านสวรรค์จนแหลกลาญ!