Skip to content

A World Worth Protecting 314

บทที่ 314 อาวุธเวทระดับเก้าอย่างนั้นหรือ

หวังเป่าเล่อมองดูหลี่อี้เสแสร้งแกล้งเป็นห่วงเขา ขณะที่นางกำลังแบ่งปันข้อมูล ชายหนุ่มก็รู้สึกสะอิดสะเอียนกับความกลับกลอกของอีกฝ่าย หวังเป่าเล่อเริ่มรู้สึกไม่ดีพลางนึกสงสัยว่าตนเองจะต้องเป็นบุตรแห่งโลกไม่ผิดแน่ เพราะตั้งแต่เขาจากโลกมา  ก็เหมือนกับว่าโชคชะตาจะเลวร้ายลงไปทุกขณะ

เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ครั้งที่เขาอยู่บนดวงจันทร์ ขณะนี้เมื่อเขามาอยู่บนดาวอังคาร เรื่องเลวร้ายเช่นเดิมก็กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง แรกเริ่มคือการต้องพบเจอกับศัตรูที่   ร้ายกาจจนสู้ไม่ไหวอย่างต้นไม้ยักษ์ ต่อมาคือการได้มาพบหลี่อู๋เฉิน

หลังจากที่ได้สะสางปัญหาและสร้างรากฐานอันมั่นคงให้ตนเองแล้ว หวังเป่าเล่อ  ก็ยังไม่อาจขจัดปัญหาใหญ่เช่นต้นไม้ยักษ์ไปให้พ้นได้ ที่ย่ำแย่ยิ่งกว่านั้นอีกก็คือ       หลี่อี้ดูเหมือนจะให้ความสนใจเขาและนำข่าวร้ายยิ่งกว่ามาบอก

ทำไมศัตรูของข้าทุกคนถึงมุ่งหน้ามาที่ดาวอังคารกันนะ นี่มันช่าง…ความหงุดหงิดใจค่อยๆ ก่อตัวขึ้นภายในใจของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าศัตรูทั้งหมดของเขามารวมตัวกันอยู่ในที่เดียว ในขณะที่เหล่ามิตรสหายกลับกระจัดกระจาย เขารู้สึกว่าต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว

โชคยังดีที่ขณะนี้ศัตรูเก่าของข้าอย่างหลินเทียนหาวกลับใจมาเป็นมิตรเสียแล้ว    มิเช่นนั้นคงจะวุ่นวายกันไม่ใช่น้อยทีเดียว ต้องมีใครวางแผนเล่นงานข้าอยู่อย่างแน่นอน! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขาจ้องมองไปที่หลี่อี้ก่อนจะถามโพล่งออกมาว่า    “ใครเป็นคนรับรองคำสั่งโยกย้ายของพวกเขาหรือ”

หลี่อี้จ้องหวังเป่าเล่อด้วยสายตาที่ลุ่มลึกเปี่ยมความหมายทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น นางนิ่งคิดอยู่เป็นนาน ก่อนจะเอนตัวเข้ามาใกล้ชายหนุ่มขึ้นไปอีก หวังเป่าเล่อได้   กลิ่นน้ำหอมจางๆ จากกายนาง หญิงสาวฉีดพรมน้ำหอมนี้ก่อนมุ่งหน้ามาที่         สำนักศึกษาเพราะได้ยินมาว่ามันกระตุ้นตัณหาของบุรุษได้ผลดีนัก

“ท่านรองเจ้านคร…”

หวังเป่าเล่อยิ้มกริ่มขณะสูดดมเอาน้ำหอมและฟังคำพูดของหลี่อี้ หัวใจของชายหนุ่มขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอย เขาเข้าใจแล้วในที่สุด ต้นไม้ยักษ์ไม่อาจจะขัดขวางชีวิตเขาได้อย่างเอิกเกริกนัก จึงไปพาเอาศัตรูเก่าของหวังเป่าเล่อขึ้นมายังดาวอังคารเพื่อทำหน้าที่นั้นแทน

แต่แผนครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่แผนง่ายๆ ที่แค่พาเพื่อนมารุมรังแกเขาเท่านั้น ต้นไม้ยักษ์ต้องกำลังวางแผนอื่นใดอยู่เป็นแน่ อย่างไรเสียแม้ว่าหวังเป่าเล่อจะอ่านอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงมามากเพียงใด เขาก็สุดจะคาดเดาแผนของต้นไม้ยักษ์ได้

ช่างยุ่งยากเสียจริง หวังเป่าเล่อถอนใจ ก่อนจะหันไปมองหลี่อี้

“เจ้าต้องชอบข้ามากแน่ๆ ถึงได้ตัดสินใจแบ่งปันข้อมูลนี้กับข้า แถมยังซื้อขนมมาฝากข้าตั้งมากมาย ได้ ได้ ไปที่ห้องของข้ากันเถอะ ข้าจะยอมให้เจ้าอาบน้ำให้ก็แล้วกัน” หวังเป่าเล่อผุดลุกขึ้นยืน สายตาเขาที่จ้องมองหลี่อี้แฝงไปด้วยความรำคาญใจ

หลี่อี้สูดลมหายใจเข้าลึก หากว่าหญิงสาวไม่กลัวจะทำลายอารมณ์ของเขาที่นางอุตส่าห์สร้างมาอย่างยากลำบาก นางคงจะพลิกโต๊ะคว่ำทับศีรษะหวังเป่าเล่อไปแล้วเป็นแน่ นางพยายามอย่างยิ่งที่จะข่มใจก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา

“เป่าเล่อ วันนี้ข้าไม่สะดวกนัก…คงต้องขอตัวก่อน” หลี่อี้พูดอย่างเร่งรีบก่อนจะเตรียมตัวเดินไป นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อลุกวาว เขายิ้มก่อนจะเดินไปส่งนาง ชายหนุ่มจ้องมองขณะที่หลี่อี้เดินออกประตูสำนักศึกษาไป จากนั้นเมื่อเขาหันหลังกลับมา รอยยิ้มที่ฉาบอยู่บนใบหน้าเมื่อครู่ก็มลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ต่อให้ถูกศัตรูรายล้อมข้าก็ไม่สน หวังเป่าเล่อนึกดูถูกอยู่ในใจ หากเป็นแค่ต้นไม้ยักษ์เพียงคนเดียว เขาก็อาจพิจารณายอมหนีไปจากดาวอังคาร ทว่าขณะนี้ชายหนุ่มมีชีวิตอย่างสบายแถมยังสร้างชื่อให้ตนเองไว้บนดาวดวงนี้แล้ว ขณะนี้เมื่อมีผู้ที่เขาไม่ค่อยชอบหน้ามารวมกันอยู่ที่เดียว หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจอยู่ต่อ

ข้าจะต้องกลัวสิ่งใดกัน พวกเขาสู้ข้าไม่ได้ด้วยซ้ำตอนที่อยู่บนโลก ตอนอยู่บน  ดวงจันทร์ก็ยังเอาชนะข้าไม่ได้ ตอนนี้พวกเราอยู่บนดาวอังคาร ข้าก็ยังสามารถเอาชนะพวกเขาได้อยู่เช่นเดิม! คิดได้เช่นนั้น ความหวังและความทะเยอทะยานก็   เอ่อท้นหัวใจของหวังเป่าเล่ออีกครั้ง ชายหนุ่มเร่งฝีเท้ากลับไปยังที่พัก เพื่อกลับเข้า    ถือสันโดษและฝึกตนต่อทันที เขาตัดสินใจว่าต้องบรรลุขั้นการฝึกตนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ที่สุดแล้วการฝึกตนก็เป็นรากฐานของทุกสิ่ง หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าหากเขาบรรลุถึง  ขั้นกำเนิดแก่นในได้เมื่อใด ปัญหาที่เหล่าศัตรูจะก่อให้เขาได้ก็เป็นเรื่องผิวเผินเท่านั้น

แม้แต่หลี่อี้ผู้ตั้งใจจะใช้เขาเป็นทางผ่านเพื่อฝึกเคล็ดเวท แล้วอย่างไร เขาจะทำให้นางต้องชดใช้เป็นเท่าทวีคูณ และหลังจากที่จัดการกับนางแล้ว นางจะไม่เหลืออะไรเลยนอกจากเสื้อตัวเดียวเท่านั้น

ขณะที่หวังเป่าเล่อกลับไปที่พักและเริ่มต้นฝึกตน หลี่อี้ก็เดินออกมาจาก       สำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาและขึ้นเรือบินออกไป ส่วนจินตั้วหมิงนั้นกำลังนั่งอยู่ภายในสำนักศึกษาเปลววิญญาณ เขาคบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะจ้องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านหน้าจอวิญญาณตรงหน้า

หน้าจอวิญญาณแสดงบันทึกภาพและเสียงของหลี่อี้และหวังเป่าเล่อซึ่งอยู่ด้วยกันในโรงอาหารของสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาอย่างชัดแจ้ง ศีรษะของคนทั้งคู่ก้มต่ำขณะที่นั่งแนบชิดและกระซิบกระซาบกันเบาๆ อยู่ไปมา

ในบันทึกนั้นปรากฏให้เห็นรอยยิ้มบนในหน้าของหลี่อี้ สายตานางก็ยั่วยวน     หวังเป่าเล่อเองก็ยิ้มอยู่เช่นกัน ดวงตาของเขาหรี่เล็กราวกับว่ากำลังมีความสุขกับ   การจ้องมองเรือนร่างและสูดดมน้ำหอมจากกายนาง

หลังจากที่จินตั้วหมิงทราบข่าวว่าหลี่อี้กำลังมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา เขาก็เริ่มใช้เส้นสายและจ่ายเงินให้ศิษย์ในสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาคนหนึ่งไปบันทึกภาพของนางมา

ตั้งแต่ที่จินตั้วหมิงมาถึงดาวอังคารเมื่อหลายวันก่อน เขาไม่ได้ไปหาหลี่อี้ทุกวัน แต่ก็ส่งข้อความไปบอกรักนางอยู่เสมอ การที่หลี่อี้หมางเมินกลับทำให้ชายหนุ่มสนใจในตัวนางมากขึ้นไปอีก เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้ตนเอง จินตั้วหมิงได้จัดแจงให้มีคนคอยติดตามหลี่อี้ เพื่อที่ว่าเขาจะได้รู้ทุกความเคลื่อนไหวของนาง

แผนเหล่านี้เองที่นำพาเขามาอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบัน…

จินตั้วหมิงไม่อยากทำตัวเอิกเกริกนัก เพราะแม้จะมีคนรู้เรื่องของเขาแต่ก็เป็นเพียงคนจำนวนน้อย อย่างไรเสียเขาก็เพิ่งมาถึงดาวอังคารได้ไม่นาน แต่หากเขาปล่อยให้ผ่านไปอีกสัปดาห์หรือกว่านั้น ผู้คนก็จะเริ่มรู้เรื่องที่เขาตามจีบหลี่อี้มากขึ้น และ  เมื่อนั้นข่าวเรื่องความรักของเขาก็จะแพร่ไปไวราวกับไฟป่า

หลี่อี้ หวังเป่าเล่อ! จินตั้วหมิงจ้องไปยังร่างทั้งสองบนหน้าจอและกัดฟันแน่น ความรู้สึกในใจตอนนี้แบ่งออกเป็นสองฝั่ง เขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับหวังเป่าเล่อใน       เขตจันทราเวทและหวังว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนกันได้ จินตั้วหมิงไม่ได้อยากจะเป็นศัตรูกับหวังเป่าเล่อหากไม่จำเป็นจริงๆ

แต่การไปตามเกี้ยวคนที่เพื่อนหมายปองนั้นเป็นสิ่งที่ผิด จินตั้วหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้สึกสับสนไปหมด ในขณะเดียวกัน จากข้อมูลที่เขามีอยู่ เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อจริงๆ ที่หลี่อี้และหวังเป่าเล่อจะมาพบรักกันได้ จินตั้วหมิงหันไปหาผู้ฝึกตนหญิง     ข้างกายแล้วเอ่ยถาม

“ตั้วตั้ว สมมติว่ามีบุรุษและสตรีคู่หนึ่ง ทั้งสองทะเลาะกันทุกครั้งที่เห็นหน้า      จะเป็นไปได้ไหมที่พวกเขาจะตกหลุมรักกันและตัดสินใจครองรักกันในที่สุด”

ผู้ฝึกตนหญิงนามว่าตั้วตั้วยิ้มออกมาขณะที่มือยังคงหั่นผลไม้ นางพูดขึ้นว่า

“นายน้อยเจ้าคะ มีโอกาสเป็นไปได้สูงเจ้าค่ะ ท่านไม่เข้าใจสตรีเสียเลย ถ้าหากว่าถามข้า ข้าคิดว่าหลี่อี้นั้นสนใจหวังเป่าเล่ออยู่ไม่น้อย นี่คือ สิ่งที่เรียกว่าคู่กัดอย่างไรเล่าเจ้าคะ”

เมื่อจินตั้วหมิงได้ยินคำที่ตั้วตั้วใช้เรียกคนทั้งคู่ เขาก็ยกมือตบหน้าผากดังเพียะ ดวงตาทั้งคู่ของเขาที่อยู่ภายใต้ฝ่ามือนั้นบ่งบอกถึงการครุ่นคิดอย่างหนัก เมื่อชายหนุ่มลดมือลง อาการนั้นก็จางหายไป ความวุ่นวายใจและโทสะเข้ามาแทนที่ จินตั้วหมิงดึงเอาแผ่นหยกม่วงออกมาและกดลงไปอย่างแรง ปราการขนาดยักษ์ที่จอดนิ่งอยู่ที่ท่าอากาศยานดาวอังคารสั่นไหวขึ้นมาในทันที

ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของผู้คนบนท่าอากาศยาน ปราการยักษ์ไร้คนขับก็พุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้ามุ่งหน้าไปทางเขต 12 ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของสำนักศึกษา         เปลววิญญาณ ระหว่างทางมีสายตาจ้องมองมามากมาย ปราการยักษ์เดินทางมาถึงสำนักศึกษาวิญญาณแห่งเปลวไฟอย่างรวดเร็ว จินตั้วหมิงก้าวขึ้นไปบนปราการนั้นและออกตัวมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาในทันที

ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นภายในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น หวังเป่าเล่อกำลังเริ่มฝึกตนอยู่พอดีเมื่อปราการปรากฏขึ้นบนน่านฟ้าเหนือสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา          การปรากฏตัวของมันส่งผลให้ทั้งอาจารย์และบรรดาศิษย์ในสำนักศึกษาพากันตื่นกลัว ความโกลาหลกระจายไปทั่วบริเวณ

“นั่นมันบ้าอะไรกัน”

“สวรรค์ ดูอักขราจารึกบนนั้นสิ!”

“ช่างมากมายนัก หรือมันคือปราการอวกาศในตำนาน”

ขณะที่สานุศิษย์และอาจารย์พากันยืนนิ่งตะลึงงันอยู่นั้น เสียงของจินตั้วหมิงก็ดังออกมาจากปราการ

“หวังเป่าเล่อ สหายของเจ้ามาถึงแล้ว ไม่ออกมาคุยกันเสียหน่อยหรือ” เสียงของจินตั้วหมิงสะท้อนไปทั่ว มีระเบียงยื่นออกมาจากขอบของปราการ จินตั้วหมิงผู้ซึ่งยืนอยู่บนระเบียงนั้นกวาดสายตามองลงมายังสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา การมาเยือนของจินตั้วหมิงไม่ได้แปลว่าเขาเชื่อว่าหวังเป่าเล่อและหลี่อี้กำลังคบหากันอยู่จริงๆ   ชายหนุ่มเพียงต้องการจะข่มขู่หวังเป่าเล่อในฐานะศัตรูหัวใจเท่านั้น เป็นเหตุให้เขาเลือกวิธีการปรากฏตัวเช่นนี้

หวังเป่าเล่อเดินออกมาจากที่พักเพราะเสียงของจินตั้วหมิงซึ่งดังกึกก้องไปในอากาศ เขาเงยหน้าขึ้นมองและอ้าปากค้างเมื่อเห็นปราการงดงามขนาดยักษ์           มาปรากฏอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มเพียงได้เห็นปราการอยู่ไกลๆ เมื่อหลายวันก่อนแต่    ไม่เคยเห็นจังๆ เช่นนี้ ขณะนี้ปราการมาลอยเท้งเต้งอยู่กลางอากาศตรงหน้า เขาจึงได้มีโอกาสเห็นอย่างชัดๆ เสียที

ช่างฟุ่มเฟือยเสียเหลือเกิน! เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นวัสดุที่ใช้หลอมปราการ เขายิ่งตกตะลึงมากขึ้นไปอีก ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงรัศมีแห่งความอลังการที่จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากผู้มีทรัพย์ล้นฟ้าทะลักล้นออกมาจากปราการหลังนั้น ดูราวกับว่าจะสามารถกลบเอาทุกอย่างไปได้ เมื่อเทียบกันแล้ว สิ่งที่บรรดาลูกหลานของคณะเสนาบดีเอามาอวดกันในงานเลี้ยงผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเพียงของไร้ราคาเท่านั้น เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้

หวังเป่าเล่อหรี่ตามองไปทางเสียงร้องเรียกของจินตั้วหมิง ในใจเขาก็ครุ่นคิดว่าเหตุใดเมื่อหลี่อี้เพิ่งจะจากไป ห่างกันเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นจินตั้วหมิงก็มาปรากฏตัว

ชายหนุ่มสงสัยว่าอาจจะมีสิ่งใดอยู่เบื้องหลัง แต่ถึงกระนั้นหวังเป่าเล่อก็มั่นใจในพลัง อีกประการหนึ่งก็คือที่นี่เป็นถิ่นของเขา ชายหนุ่มไม่อาจยอมให้การเปิดตัวสุดอลังการของจินตั้วหมิงมาข่มขู่เอาได้

หวังเป่าเล่อพุ่งตัวเข้าไปหาปราการบนท้องฟ้าและกระโดดขึ้นไปบนระเบียงในชั่วพริบตา เขาไปยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าจินตั้วหมิงก่อนจะหันหน้าไปหา

“สหายเต๋าจิน การปรากฏตัวของเจ้าช่างน่าประทับใจ เจ้ามีธุระอันใดหรือ”

จินตั้วหมิงจ้องหน้าหวังเป่าเล่อและโพล่งออกมาอย่างเถรตรงเพราะเขาเป็นคนตรงไปตรงมาที่ไม่ชอบพูดจาอ้อมค้อม

“หวังเป่าเล่อ ข้าสนใจในตัวหลี่อี้ เจ้าช่วยเลิกเป็นคู่แข่งกับข้าในการเอาชนะใจนางได้หรือไหม พวกเราต่างก็เป็นมิตรสหายกัน หากมีสิ่งอื่นใดที่เจ้าปรารถนาข้าจะยอมให้!”

หวังเป่าเล่อถึงกับชะงัก เขาไม่คาดคิดว่าจินตั้วหมิงจะเข้ามาอย่างยิ่งใหญ่เพื่อการนี้ หัวใจของชายหนุ่มเต้นรัวเร็วและดวงตาก็เริ่มเปล่งประกาย สิ่งที่จินนตั้วหมิงทำนั้นราวกับเป็นการยื่นเงินไม่จำกัดให้เขาก็ไม่ปาน…หวังเป่าเล่อจ้องหน้าจินตั้วหมิง กะพริบตาทีหนึ่งและตัดสินใจเสี่ยงโชค

“ต่อให้ข้าอยากได้อาวุธเวทระดับเก้าก็ได้งั้นหรือ”

จินตั้วหมิงถึงกับเงียบงันไปเมื่อได้ยินคำขอของหวังเป่าเล่อ อึดใจต่อมาเขาก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงแผ่วเบา

“เจ้ามีอาวุธเวทระดับเก้าหรือ ข้ายอมยกหลี่อี้ให้ก็ได้หากเจ้าเอาอาวุธนั่นมาให้ข้า…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version