Skip to content

A World Worth Protecting 313

บทที่ 313 ความจงเกลียดจงชังของแม่นางน้อย

จินตั้วหมิงรู้ถึงเรื่องราวระหว่างโรงแรมขวานศึกและสำนักศึกษาเปลววิญญาณเป็นอย่างดี ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วเขาเคยภาคภูมิใจกับเรื่องราวเหล่านี้เป็น        อย่างมาก แม้ว่าโรงแรมขวานศึกอาจไม่ได้เป็นทรัพย์สมบัติของกลุ่มไตรจันทรา       แต่ในแง่หนึ่งโรงแรมนั้นก็เป็นสมบัติของตระกูลเขา

แม้ว่าขณะนี้โรงแรมจะตกเป็นของหวังเป่าเล่อ แต่จินตั้วหมิงก็ไม่ได้กังวลใจนัก เขาไม่ใช่คนที่จะยอมให้ข่าวลือมาทำให้กังวลใจ ชายหนุ่มเดินทางมาถึงสำนักศึกษาเปลววิญญาณพร้อมกับขบวนอันยิ่งใหญ่และยังได้รับการต้อนรับจากเจ้าสำนักและพนักงานจากสำนักศึกษาคนอื่นๆ แต่ทันใดนั้นเอง จินตั้วหมิงก็มองไปเห็นขวานศึก   ห้าร้อยด้ามวางอยู่ด้านนอกของโรงแรม ห่างจากที่พวกเขายืนอยู่เพียงข้ามถนนไปเท่านั้น

แม้ว่าจะเชื่อมั่นในความร่ำรวยตัวเองและไม่เคยเกรงกลัวข่าวลือใดๆ แต่การได้เห็นขวานศึกห้าร้อยด้ามนั้นก็ทำเอาจินตั้วหมิงแอบสยองอยู่ในใจ เขาใคร่ครวญอยู่     ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยตัวเองโดยไม่ต้องผ่านหวังเป่าเล่อ

สิ่งแรกที่จินตั้วหมิงทำเมื่อเดินเข้ามาถึงห้องทำงานที่สำนักศึกษาเปลววิญญาณ คือสั่งการให้ใครสักคนไปสร้างโล่ขนาดใหญ่และตั้งเอาไว้หน้าสำนักศึกษาเพื่อป้องกันรังสีอาฆาตมาดร้ายที่แผ่ออกมาจากขวานศึกทั้งห้าร้อยด้ามนั้น

โล่นั้นมีขนาดใหญ่มหึมา แต่กระนั้นก็ใช้เวลาสร้างไม่นาน และข่าวเรื่องการตั้งโล่  ก็แพร่กระจายไปทั่วนครอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง ก็ได้ยินข่าวนี้เช่นกัน

หากว่าโล่นี้เป็นผลงานของใครคนอื่น หวังเป่าเล่ออาจเลิกคิ้วและตั้งคำถาม      แต่เพราะจินตั้วหมิงเป็นคนสั่งการและหวังเป่าเล่อก็นิยมชมชอบเขาอยู่ไม่น้อย      ชายหนุ่มจึงส่งข้อความไปหาสวีเจินจิงแห่งโรงแรมขวานศึกเพื่อให้นำขวานศึกทั้งหมดออกเสีย

แน่นอนว่าขวานศึกด้ามแรกที่มอบชื่อให้โรงแรมแห่งนี้ยังคงอยู่ แต่หวังเป่าเล่อ    ก็ออกคำสั่งให้หันคมขวานออกไปทางทิศอื่นเสีย

อันที่จริงแล้วการแข่งขันกับสำนักศึกษาเปลววิญญาณนั้นจบลงไปพร้อมๆ กับ  การประลองนัดกระชับมิตรและการที่เจ้านครมอบนามให้หมวดนักรบผู้ฝึกตนของสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา ชื่อเสียงของสำนักศึกษาเปลววิญญาณเสื่อมเสียลงไปมากหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมด ส่งผลให้สำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขากลายมาเป็นสำนักศึกษาชั้นนำเพียงแห่งเดียวภายในอาณานิคมดาวอังคาร ขณะนี้ทั้งสำนักศึกษากำลังมีความสุขเป็นอย่างยิ่งกับสถานะและความโด่งดังที่เพิ่งได้รับมา

ไม่มีเหตุผลที่หวังเป่าเล่อจะต้องสู้รบปรบมือกับสำนักศึกษาคู่แข่งอีกต่อไป แม้ว่าจินตั้วหมิงจะได้รับตำแหน่งมาแล้ว หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกว่าพวกเขานั้นสามารถต่างคนต่างอยู่ไปได้ เหตุที่ชายหนุ่มตัดสินใจนำขวานศึกทั้งห้าร้อยด้ามออกไปก็เพื่อเป็นการสงบศึกนั่นเอง

หลังจากจบความล้มเหลวไม่เป็นท่าของสำนักศึกษาเปลววิญญาณ หวังเป่าเล่อ   ก็หันกลับมาตั้งสมาธิกับการฝึกตนอีกครั้ง แม้ว่าชายหนุ่มจะใช้เวลาสามเดือนที่ผ่านมาในการช่วยบรรดาสานุศิษย์ฝึกตนและเตรียมพร้อมในการประลองนัดกระชับมิตร    แต่เขาก็ไม่ได้หยุดฝึกตนแม้แต่น้อย

เหตุการณ์ในเขตจันทราเวทได้ทิ้งความทรงจำอันยากจะลบเลือนเอาไว้ในใจของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้ดีว่ารากฐานความแข็งแกร่งและชื่อเสียงของเขาขึ้นอยู่กับระดับการฝึกตนและความชำนาญในการต่อสู้ และนั่นเป็นเหตุว่าทำไมเขาจึงเพียรพยายามฝึกฝนกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นต้นอยู่ไม่ขาด

แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะฝึกวิชาใบหน้าซากศพแห่งความมืดได้ไม่ถึงไหน แต่ความทุ่มเท    ที่เขาใช้ไปกับวิชากระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นต้นก็ทำให้ชายหนุ่มใกล้บรรลุเคล็ดเวทขั้นต้นเข้าไปทุกขณะ

หากข้าไปถึงขั้นที่สองของกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นต้นได้เมื่อใด ข้าก็จะสามารถบรรลุไปสู่ขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นกลางได้…และข้าก็จะได้สักสัญลักษณ์อัสนีชิ้นที่สองและทำให้อัสนีสวรรค์รุนแรงขึ้นอีกด้วย

น่าเสียดายที่วิชาใบหน้าซากศพแห่งความมืดนั้น…ช่างซับซ้อนเสียเหลือเกิน!   หวังเป่าเล่อทั้งสุขสมและท้อแท้ในเวลาเดียวกัน ความสุขใจของชายหนุ่มมาจากการที่เขาใกล้จะบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นต้นเต็มทีแล้ว แต่ในขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อ     ก็ท้อแท้เพราะเขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงปราณมืดที่วิชาใบหน้าซากศพแห่งความมืดระบุไว้ หากเขาสัมผัสถึงมันไม่ได้ แล้วจะสร้างเปลวไฟสีดำขึ้นมาได้อย่างไรกัน

หวังเป่าเล่อยอมบากหน้ากลับไปยังมิติมายาเพื่อปรึกษาแม่นางน้อย แต่สีหน้าของแม่นางน้อยบ่งบอกถึงความไม่เข้าใจ สำหรับนางแล้วเคล็ดเวทนี้ช่างง่ายดายนัก อีกทั้งสีหน้าของนางยังเคลือบแคลงว่าหวังเป่าเล่อฝึกเคล็ดเวทแสนง่ายนี้ไม่สำเร็จ    ได้อย่างใดกัน อาการของแม่นางน้อยหยามเกียรติหวังเป่าเล่อเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากที่ออกมาจากมิติมายา หวังเป่าเล่อก็กัดฟันและทดลองใหม่อีกนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่ว่าจะลองกี่ครั้งเขาก็เพียงรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกและแรงกระตุกที่แล่นพล่านไปทั่วร่างก่อนที่เหลือทิ้งไว้เพียงความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอันแสนสาหัส หวังเป่าเล่อเกือบจะถอดใจจากการฝึกเคล็ดเวทนี้อยู่แล้ว

โชคยังดีที่เมื่อเขากำลังปริ่มๆ จะถอดใจนั่นเอง หวังเป่าเล่อก็บรรลุขั้นใหม่ในการหลอมวัตถุเวทซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เขาได้บ้าง ชายหนุ่มเริ่มหลอมสมบัติเวท  ระดับสี่มาตั้งแต่เมื่อมาถึงดาวอังคาร และรู้สึกได้ว่าน่าจะหลอมสมบัติเวทระดับห้า    ได้ในอีกไม่นานเกินรอ

สิ่งที่กั้นขวางไม่ให้ข้าทำสำเร็จไม่ใช่ทักษะแต่คือระดับการฝึกตนของข้าเอง…   หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ความคาดหวังฉายวับอยู่ในดวงตา ชายหนุ่มมั่นใจมากว่า         เมื่อระดับการฝึกตนของเขาถึงชั้นกลางเมื่อใด เขาจะสามารถหลอมสมบัติเวท     ระดับห้าได้อย่างแน่นอน

เวลาผ่านไปเจ็ดวัน ในช่วงนี้หวังเป่าเล่อมอบหมายงานบริหารสำนักศึกษาทั้งหมดให้หลินเทียวหาวขณะที่ตนเองเข้าไปถือสันโดษเพื่อฝึกตน

ไม่นานนักชายหนุ่มก็สำเร็จเคล็ดเวทกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นต้น ก่อนจะก้าวเข้าไปสู่ขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นต้นอย่างสมบูรณ์ เขาใกล้จะบรรลุสู่ชั้นต่อไปเต็มแก่

ข้าจะต้องบรรลุขั้นได้ภายในหนึ่งเดือนอย่างแน่นอน! หวังเป่าเล่อได้บทสรุปหลังจากลองวัดพลังการฝึกตนของตนเองดู ชายหนุ่มรู้สึกพอใจกับอัตราความรุดหน้าในการฝึกตนของตนเอง ระหว่างการฝึกตน ขณะที่เมล็ดดูดกลืนกำลังหายใจเข้าออกแลกเปลี่ยนปราณวิญญาณอยู่นั่นเอง ดอกบัวเขียวของเขาก็ดูมีพลังยิ่งขึ้น               มันแข็งแกร่งขึ้นไปพร้อมๆ กันความแข็งแกร่งของร่างกายเขา

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังตั้งใจฝึกหนักโดยไม่หยุดพักเพื่อบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นกลางอยู่นั้นเอง เขาก็ได้รับข้อความจากหลี่อี้…

เมื่ออ่านข้อความจากหลี่อี้เสร็จหวังเป่าเล่อก็ถึงกับทำหน้าคว่ำและตั้งใจจะเมินข้อความของนางเสีย กระทั่งหลี่อี้บอกเขาว่านางได้นำขนมแทบทุกชนิดที่หาได้บน  ดาวอังคารมาด้วย

หวังเป่าเล่อถึงกับผงะ ชายหนุ่มคิดว่าหลี่อี้จะต้องอยากได้สิ่งสำคัญอะไรสักอย่างจากเขาเป็นอันมากแน่นอน มิเช่นนั้นแล้วก็คงไม่ทำเช่นเดียวกับที่นางทำ

แม้ว่าตัวข้านั้นจะเป็นชายหนุ่มผู้ทรงเสน่ห์ และหล่อเหลาเสียจนนางตกหลุมรักหัวปักหัวปำ แต่ข้าก็ไม่ได้หล่อขนาดที่นางจะต้องทำถึงขั้นนี้…หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว แววตาเขาส่องประกายเยือกเย็นก่อนจะรีบส่งข้อความไปหาหลินเทียนหาวเพื่อให้เขาตรวจสอบหน้าที่การงานของหลี่อี้บนดาวอังคาร

หลิวเทียนหาวรีบจัดการตามคำสั่งทันที เขาจัดแจงหาข่าวจากผู้คนที่รู้จักและแจ้งกลับไปยังหวังเป่าเล่ออย่างไม่รอช้า เมื่อหวังเป่าเล่อรู้ว่าหลี่อี้ทำงานเป็นผู้ช่วยของต้นไม้ยักษ์ ความสงสัยที่มีต่อนางก็พุ่งสูงขึ้นในบัดดล

ชายหนุ่มหรี่ตาลงก่อนจะใคร่ครวญทางเลือกของตัวเอง หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจปฏิเสธนัดของหลี่อี้ แต่ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะได้ตอบปฏิเสธ      ไปนั้น เสียงของแม่นางน้อยก็ดังขึ้นในศีรษะเขา น้ำเสียงของนางมีความเหี้ยมเกรียมอยู่ในทีเมื่อพูดออกมา

“ไปเจอนางเจ้าเล่ห์นั่นกันเถอะ ข้าอยากจะรู้นักว่านางวางแผนสิ่งใดอยู่!”

หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงความเกลียดชังที่ชัดเจนอยู่ในน้ำเสียงของแม่นางน้อย        ชายหนุ่มกะพริบตาปริบก่อนจะกระแอมกระไอออกมา เขารู้สึกพึงใจอยู่ลึกๆ        และหลังจากที่ใคร่ครวญอยู่อีกครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ตอบตกลงจะรับประทานอาหารกลางวันกับหลี่อี้ที่โรงอาหารของสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา

หลี่อี้ขณะนั้นกำลังนั่งอยู่ในห้องทำงาน ณ ตึกสำนักงานของรองเจ้านคร ดวงตาของนางส่องประกายวาบเมื่อเห็นคำตอบของหวังเป่าเล่อ นางยิ้มมุมปากอย่างพึงใจ

เจ้าอ้วนนี่ท่าทางจะหื่นกามไม่น้อย เขาไม่มีทางทนเสน่ห์ของข้าได้หรอก! หลี่อี้  มั่นอกมั่นใจในตนเองเป็นอย่างยิ่ง แต่ในความเป็นจริงนางทั้งพึงใจและวิตกกังวลอยู่พร้อมๆ กัน

ประการหนึ่งเพราะนางถูกจินตั้วหมิงแห่งกลุ่มไตรจันทราก่อกวนด้วยการตามเกี้ยวพาราสีอย่างไม่หยุดหย่อน นางไม่รู้สึกอะไรกับเขาทั้งสิ้น ไม่กระทั่งจะรู้สึกไม่ชอบ แต่กระนั้นพฤติกรรมของเขาก็รบกวนการฝึกเคล็ดเวทต้นหลิวไร้หัวใจของนาง

แม้ว่าสิ่งนี้จะขัดใจนางเป็นอย่างยิ่ง แต่ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกพึงใจ เพราะการที่จินตั้วหมิงมาสนใจนั้นเพิ่มความมั่นใจให้นางเป็นอันมาก

ผู้ชายก็บ้ากามเหมือนกันทุกคน! หลี่อี้ดึงเอากระจกออกมาส่องดูเงาตนเอง       นางถึงกับทอดถอนใจเพราะกลุ้มใจในความงามของตน จากนั้นนางจึงลุกขึ้นแต่งตัวให้สวยขึ้นไปอีก ก่อนจะออกเดินทางไปยังสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา

หลี่อี้มาถึงสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาภายในเวลาไม่นานนัก เป็นอีกครั้งที่รูปร่างอันเย้ายวนของนางดึงดูดความสนใจของบรรดาศิษย์น้อยใหญ่ที่ได้พบเห็น ความมั่นใจของนางพุ่งสูงขึ้นไปอีกเมื่อเห็นสายตาเปี่ยมความปรารถนาที่จ้องมองมา

เมื่อหญิงสาวหย่อนกายลงนั่ง แผ่นหลังของนางก็สร้างเงาทรงนาฬิกาทรายสุดงดงาม ศิษย์หลายคนที่รับประทานอาหารค่ำอยู่ในโรงอาหารต่างก็พากันกลืนน้ำลายพลางจ้องมองไปที่หวังเป่าเล่อผู้นั่งอยู่ตรงข้ามนางด้วยความริษยา

หลี่อี้ยิ้มอย่างสุภาพ นางส่งสายตาเอียงอายไปหาหวังเป่าเล่อพลางดึงเอากำไลคลังเวทออกมาวางตรงหน้าเขา

“เป่าเล่อ ข้าซื้อขนมเหล่านี้มาฝากเจ้า…”

หวังเป่าเล่อจ้องไปที่ขนม ก่อนจะเบนสายตามามองหลี่อี้ สายตาของเขาอ้อยอิ่งอยู่บนส่วนโค้งเว้าได้สัดส่วนบนร่างของนาง แม่นางน้อยพ่นลมออกมาทางจมูก    อย่างเย็นชาในศีรษะเขาก่อนจะตะโกนเสียงดังจนหวังเป่าเล่อหูแทบดับ

“น่าสนใจดี คราวที่แล้วยังไม่ชัดเจนเท่าใดนักแต่ว่าครั้งนี้แจ่มแจ้งขึ้นมาก นางแม่มดนี่กำลังฝึกเคล็ดเวทต้นหลิวไร้หัวใจ และนางวางแผนจะใช้เจ้าเป็นเครื่องมือในการบรรลุเคล็ดเวทนั่น” เสียงของแม่นางน้อยสะท้อนก้องชัดเจนอยู่ในศีรษะของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มถึงกับชะงักเมื่อได้ยิน จากนั้นแม่นางน้อยจึงเริ่มอธิบายว่าองค์ประกอบของเคล็ดเวทนั้นมีสิ่งใดบ้าง

หลังจากที่ได้รู้เงื่อนไขในการบรรลุเคล็ดเวท นัยน์ตาทั้งคู่ของหวังเป่าเล่อก็เบิกโพลง เขาจ้องมองหลี่อี้อย่างไม่เชื่อสายตา

หลี่อี้เข้าใจสายตาที่จ้องมองมาของชายหนุ่มผิด ใบหน้าสะสวยของนางเป็นสีแดงระเรื่อ นางเหมือนจะนึกบางสิ่งขึ้นมาได้จึงรีบยกศีรษะและเอี้ยวตัวมาใกล้หวังเป่าเล่อพลางกระซิบ

“เป่าเล่อ นอกจากมาส่งขนมแล้ว ข้ามีข่าวมาบอก…”

“จั่วอี้เซียนถูกส่งตัวมายังดาวอังคารเช่นกัน เขาจะมาถึงในเร็ววันนี้และได้รับแต่งตั้งให้อยู่กับกองวินัยอาณานิคม ยังมีเจ้ากงเต๋าอีก…เจ้าจำเขาได้ไหม เขาเป็นลูกบุญธรรมของท่านผู้นำแห่งสหพันธรัฐ และถูกส่งตัวไปอยู่กับกองทัพดาวอังคารมาได้พักหนึ่งแล้ว

“ทั้งคู่มีอำนาจทางการเมืองไม่น้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งจั่วอี้เซียน ข้ารู้มาว่าพวกเจ้า    ไม่ค่อยถูกกัน ข้ากลัวว่าหากเจ้าไม่รู้เรื่องคนพวกนั้นแล้วจะตกที่นั่งลำบาก ข้าจึงต้องมาที่นี่เพื่อบอกเจ้า”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version