Skip to content

A World Worth Protecting 358

บทที่ 358 ข่มขวัญ!

ภาพที่ฉายผ่านการถ่ายทอดสดดูน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง บนหน้าจอวิญญาณ หวังเป่าเล่อยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวต่อหน้ากองทัพอสูรจำนวนมาก เขาเพียงแค่ส่งเสียงคำรามเท่านั้น เหล่าอสูรร้ายก็พร้อมใจกันล่าถอยหนีตายตัวสั่นงันงกด้วย            ความหวาดกลัวเหมือนลูกสุนัขว่าง่าย

ทุกคนที่ดูอยู่หน้าจอวิญญาณล้วนตกตะลึง ตัวแทนคนอื่นและผู้ติดตามใน       เขตนครใหม่รู้สึกถึงบรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัวได้อย่างชัดเจน บรรนากาศนั้น   กระจายอยู่เพียงในบริเวณเล็กๆ แต่ก็เพียงพอให้ทุกคนจิตว้าวุ่น และใจสั่นด้วย    ความหวาดกลัว

“เกิดอะไรขึ้นกัน”

“เมื่อครู่นี้…หวังเป่าเล่อ…มันทำอะไรน่ะ”

“จะเป็นไปได้อย่างไร เจ้าอ้วนนั่นเพียงแค่บอกอสูรให้ล่าถอยไป แล้วอสูรก็กลัวจนถอยไปจริงเสียด้วย!” ตัวแทนคนอื่นๆ และผู้ติดตามตกใจจนพูดไม่ออก ทุกคนมองหวังเป่าเล่ออย่างไม่อยากเชื่อสายตาด้วยความหวาดกลัว โดยเฉพาะกงเต๋าและหลี่อี้

หวังเป่าเล่อมันเล่นลูกไม้สกปรกอะไรกัน หลี่อี้สงสัย ขณะที่ม่านตาของกงเต๋า   หดเล็กลง เขาเกิดในท้องทะเลแห่งอสูรและมีพื้นเพลึกลับ สัญชาตญาณของเขา    เฉียบคมกว่าทุกคน ทำให้เขารับรู้ได้มากกว่าคนอื่น

พลังที่น่าสะพรึงนั้นมาจากห้วงอวกาศ…กงเต๋าสูดหายใจเข้าลึก ในสายตาของเขา บัดนี้หวังเป่าเล่อมีชั้นแห่งความลึกลับซ้อนทับเข้าไปอีกชั้นแล้ว

บรรดาอสูรร้ายในอาณาเขตอื่นก็ได้รับอานิสงส์จากพลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้ไปด้วย พวกมันวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต เพื่อพาตนเองไปให้ห่างหวังเป่าเล่อให้ได้มากที่สุด

ความโกลาหลเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วบนสมรภูมิรบ และขณะเดียวกันก็ทำให้หวังเล่อยิ่งดูไร้เทียมทานขึ้นไปอีก!

หวังเป่าเล่อดูสงบนิ่ง ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเรียบง่ายและตรงไปตรงมาไม่ต่างจากการหายใจเข้าออก ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ จากนั้นก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยสายตานิ่งสงบ เขาดูเหมือนจอมยุทธ์ผู้น่าเกรงขามไม่มีผิด

แม้หวังเป่าเล่อจะอ้วนไปหน่อย แต่ใบหน้าของเขาก็ดูดีใช้ได้ ความสามารถในการทำให้คนอื่นตื่นกลัวของเขาก็แนบเนียนจนไม่มีใครดูออก

ทว่าในความเป็นจริงแล้ว หวังเป่าเล่อกำลังดีใจจนเนื้อเต้นและรู้สึกพอใจกับผลงานของตนเองอยู่เงียบๆ ก่อนหน้านี้เขาไม่เหลือทางเลือกอื่น จึงตัดสินใจร่าย      บทสวดแห่งเต๋าอยู่ในใจ

หวังเป่าเล่อไม่กลัวว่าคนอื่นจะสงสัยการปรากฏของพลังอำนาจลึกลับนี้ ระหว่างกำลังเตรียมตัวก่อนการทดสอบ เขาคิดอยู่แล้วว่าจะต้องมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ชายหนุ่มคิดคำนวณข้อดีข้อเสีย และสรุปกับตนเองว่าหากไม่มีทางเลือกจริงๆ เขาก็ต้องใช้ทางนี้

ชายหนุ่มยังมีความทะนงตนอยู่ในใจ มีคำกล่าวอันแสนคมคายในอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงกล่าวไว้ว่า เรื่องที่คนส่วนน้อยรู้ถือได้ว่าเป็นความลับ ตอนนี้   หวังเป่าเล่อเหมือนคนที่อยู่ในเงามืด ใครก็ตามที่ได้รู้ความลับในเงามืดนี้ ย่อมถูกความโลภครอบงำและจะต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง

แต่เมื่อ…ทุกคนต่างรู้เรื่องนี้ มันก็ไม่ถือเป็นความลับอีกต่อไป แต่จะถุกเผยออกมาไม่ต่างจากคนที่ยืนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ส่องสว่าง และความโลภก็จะทำให้คนมากมายเริ่มขัดแข้งขัดขาเพื่อถ่วงความเจริญกันเอง แล้วตัวเขาก็จะปลอดภัยในที่สุด

นอกเสียจากว่าทุกคนที่โลภมากอยากได้ความลับของเขาจะรวมตัวกันเพื่อเอาชนะ แต่ตอนนี้ทุกคนในสหพันธรัฐกำลังดูการแข่งขันในเขตนครใหม่นี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เหล่าคนโลภมากจะรวมหัวกันรีดความลับจากเขา

หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าตราบใดที่กฎของสหพันธรัฐยังถูกบังคับใช้ และตราบใดที่ทุกคนในที่แห่งนี้ไม่รวมหัวกัน ทฤษฎีเกี่ยวกับความลับในอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงก็จะเป็นจริงเสมอ!

อย่างไรเสียยุคกำเนิดวิญญาณก็เพิ่งจะอุบัติขึ้น ดังนั้นคงไม่มีใครกล้าพูดว่าตนเองไม่มีความลับและไร้ซึ่งโอกาสทอง มิเช่นนั้นเหตุใดบางคนจึงมีปราณขั้นกำเนิดแก่นใน ในขณะที่บางคนฝึกได้เพียงขั้นลมหายใจเที่ยงแท้เล่า

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความสามารถเฉพาะบุคคล รวมถึงโชคชะตาด้วยเช่นกัน!

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง บรรดาผู้ทรงอิทธิพลในสหพันธรัฐ รวมถึงเจ้านครดาวอังคารต่างพากันหรี่ตามอง ความคิดมากมายผ่านเข้ามาในสมอง ฝ่ายต้นไม้ยักษ์นั้น          กำหมัดแน่น แม้ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อครู่นั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ชายหนุ่มพลันนึกถึงเหตุการณ์ในแอ่งแผ่นดินเค่อหลุนขึ้นมาได้ และมันก็ทำให้เขาต้องกัดฟันแน่น        ด้วยความแค้น เขารู้ว่าหวังเป่าเล่อเล่นละครอีกแล้ว ประกายประหลาดวาบเข้ามา   ในดวงตา ต้นไม้ยักษ์คิดจะเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง เพื่อทำลายชื่อเสียงของหวังเป่าเล่อ ให้กลายเป็นคนน่ารังเกียจ เป็นที่อิจฉาและหวาดกลัวของคนมากมาย!

แต่ก่อนที่เขาจะอ้าปากพูด ต้นไม้ยักษ์ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและคิดทบทวนอีกครั้ง สุดท้ายเขาก็ทำเพียงก่นด่าความเจ้าเล่ห์ของหวังเป่าเล่ออยู่ในใจ และล้มเลิกความคิดที่จะกระพือความเกลียดชัง

ต้นไม้ยักษ์เป็นคนเดียวที่รับรู้ความคิดของตนเอง คนอื่นไม่ได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่เขาคิดด้วย

ทว่าบัดนี้ผู้ทรงอิทธิพลในหลายกลุ่มอำนาจต่างมองหวังเป่าเล่อที่อยู่บนหน้าจอด้วยสายตาประหลาด ทุกคนต่างรู้แจ่มแจ้งว่าหวังเป่าเล่อมีเครื่องมือพิเศษบางอย่างอยู่ในมือ

มีหลายคนที่คิดอยากหาความจริงว่าเครื่องมือนั้นคืออะไรกันแน่ แต่ไม่นานนัก    ก็เริ่มลังเลใจ หวังเป่าเล่อเริ่มกลายเป็นคนที่ทรงอำนาจ และจะได้เลื่อนชั้นเป็นขุนนางระดับสี่ชั้นสูงหากได้รับตำแหน่งนายกเทศมนตรีประจำเขตนครใหม่ ซึ่งจะทำให้เขากลายเป็นเจ้าพนักงานระดับสูงของสหพันธรัฐ และอาณาเขตที่เขาปกครองก็ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ ซึ่งอาจทำให้เขาเทียบชั้นได้กับขุนนางระดับสามชั้นสูงเลยทีเดียว

แต่ต่อให้หวังเป่าเล่อไม่ได้เป็นนายกเทศมนตรีประจำเขตนครใหม่ของดาวอังคาร ความคิดที่จะเปิดเผยความลับของเขาต่อสาธารณชนก็ทำให้คนเหล่านั้นลังเลใจอยู่ดี

คนที่ก้าวมายืนอยู่ในจุดนี้ได้ย่อมไม่ใช่คนโง่ แม้หลายคนจะมีความคิดนี้อยู่ในหัว แต่ไม่นานนักก็ตั้งสติได้…

ความจริงก็คือ การสืบค้นจนรู้ความลับด้วยกำลังของตนเอง กับการเปิดเผยความลับให้สาธารณชนรู้นั้นแตกต่างกัน ทุกคนอยากเป็นเจ้าของความลับและทำให้คนอื่นเข้ามาอยู่วงในได้ยาก ความลับนี้ไม่ควรถูกเปิดเผย แม้ทุกคนจะเห็นพ้องต้องกัน หรือตกลงกันก็ตามที มิเช่นนั้นจะกลายเป็นบาดแผลที่คนทั้งสหพันธรัฐไม่มีวันลืม

นี่เป็นเรื่องที่ผู้คนที่มีสถานะ ขั้นปราณ และเป้าหมายไม่ควรเข้าไปยุ่ง

ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่อยังมีพื้นเพที่ไม่ธรรมดา…อาจพูดได้ว่าหากเขาได้เป็นนายกเทศมนตรีของเขตนครใหม่ ผู้ที่คิดจะเสี่ยงเสี่ยงย่อมไม่มีทางเลือกนอกจากล้มเลิกแผนเสีย

ตัวหวังเป่าเล่อเองก็รู้ดีว่าเขากำลังเสี่ยงอยู่ แต่ชายหนุ่มก็ประเมินว่าในชีวิต       ไม่มีอะไรแน่นอน การยอมเสี่ยงในช่วงเวลาที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตจึงไม่ใช่เรื่อง      คอขาดบาดตาย!

หากข้าชนะ ข้าจะก้าวกระโดดไปเป็นนายกเทศมนตรีของเขตนครใหม่ หากข้าแพ้ ข้าก็แค่กลับไปที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เงียบๆ แล้วประจบท่านผู้อาวุโสสูงสุด     หวังเป่าเล่อที่อยู่ในสมรภูมิเงยหน้าขึ้นมองไปทุกทิศทาง เขาเอามือจับกระเป๋าคลังเก็บของตนที่ใส่รูปปั้นสามชิ้นที่หลอมขึ้นมา

รูปปั้นชิ้นหนึ่งคือต้วนมู่ฉี ประธานสหพันธรัฐ อีกชิ้นคือท่านผู้อาวุโสสูงสุด      และชิ้นสุดท้ายคือเจ้านครดาวอังคาร รูปปั้นทั้งสามชิ้นนี้คือทางหนีทีไล่ที่เขาคิดขึ้นมา หากมีใครถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนี้ หวังเป่าเล่อแค่ต้องแสดงรูปปั้นทั้งสามชิ้นนี้ให้ดู และบอกว่าเป็นเพราะบุญญาธิการของวีรบุรุษทั้งสามท่านนี้ที่ทำให้เขารอดมาได้

คนอย่างหวังเป่าเล่อ ไม่ว่าจะทำอะไร ย่อมต้องมีแผนรัดกุมไว้รองรับเสมอ!     หวังเป่าเล่อสบายอกสบายใจขึ้นเมื่อรู้สึกได้ว่า พลังน่าสะพรึงกลัวที่เขาเรียกมา     ก่อนหน้านั้นค่อยๆ สลายไป ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี

เมื่อคิดว่าเขาเพียงพูดออกมาสองคำ ก็สามารถปล่อยแรงกดดันน่าสะพรึงได้ถึงขนาดนี้ หวังเป่าเล่อก็เริ่มย่ามใจเหมือนว่าตนเองสามารถสร้างความหวาดกลัวในใจศัตรูได้เพียงแค่ดีดนิ้ว ชายหนุ่มไม่ได้สนใจมากนักว่าการร่ายบทสวดของตนจะไปปลุกสิ่งใดที่อยู่ในจักรวาลอันไกลโพ้นเข้า

แต่หากข้าใช้พลังนี้บ่อยครั้งเกินไป มันจะตื่นขึ้นมาไหมนะ หวังเป่าเล่อที่กำลังยินดีปรีดาเริ่มฉุกคิด เขารู้สึกตกใจ แต่เมื่อนึกได้ว่าแม่นางน้อยซึ่งพูดความจริงเสมอมา บอกว่าบทสวดนี้เป็นเรื่องหลอกลวง เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่หวังเป่าเล่อก็ยังคงกลัวอยู่ และคิดว่าต้องไปยืนยันกับแม่นางน้อยให้แน่ใจอีกครั้งหลังจากที่      การทดสอบสิ้นสุดลง

มิเช่นนั้นทุกครั้งที่ข้าร่ายบทสวด มันก็จะเหมือนข้าเดินเข้าไปตบหน้าคนหลับก่อนวิ่งหนีไป แล้วค่อยวิ่งกลับมาตบอีกครั้ง…ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ หวังเป่าเล่อยิ่งกระสับกระส่ายมากเท่านั้น ชายหนุ่มตัดสินใจว่าจะเลิกคิดเรื่องนี้เสีย

เขาหันไปมองเหล่าอสูรที่กำลังหนีออกจากอาณาเขตของเขาเข้าไปยังอาณาเขตของตัวแทนคนอื่นๆ และรู้สึกได้ว่าตนเองปลอดภัยแล้ว เขาจึงเก็บอาวุธเวทลง       และเดินเอามือไพล่หลังกลับฐานที่มั่นอย่างใจเย็นเจือโอหัง

ทันทีที่หวังเป่าเล่อกลับมาถึงฐานที่มั่น เขาก็เรียกใช้งานหุ่นเชิด และสั่งให้มันเดินหน้าไปยังอาณาเขตของตัวแทนที่ถูกกำจัดไปเรียบร้อยแล้ว เพื่อทำลาย            สิ่งปลูกสร้างและนำทรัพยากรกลับมาใช้งานท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จับจ้อง

ตอนนั้นเองความตกใจของหลี่อี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังในตัวหวังเป่าเล่อ ทันทีที่กองทัพอสูรหลั่งไหลเข้ามาในอาณาเขตของนาง หลี่อี้ก็มองหวังเป่าเล่อที่กำลังทำลายสิ่งปลูกสร้างของคนอื่นอย่างไร้ยางอายด้วยสายตารังเกียจ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยายามต้านทานฝูงอสูรร้ายไว้ให้ได้นานที่สุดด้วยกำลังทั้งหมดที่นางมี

แต่เหล่าอสูรในรอบนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ไม่นานนักฐานที่มั่นของตัวแทน   คนหนึ่งก็ถูกทำลาย ตัวแทนผู้นั้นไม่มีทางเลือกจึงต้องทำลายแผ่นหยกเคลื่อนย้ายและจากสนามรบไป

หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจเมื่อเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ เขาเรียกใช้งานหุ่นเชิดอีก       ชุดหนึ่งเพื่อเข้าเก็บเกี่ยวทรัพยากรจากอาณาเขตที่ถูกทิ้งร้าง หวังเป่าเล่อติดตาม     หุ่นเชิดพร้อมท่องบทสวดไปด้วยในใจ เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าอสูรเข้ามาขัดขวางภารกิจของหุ่นเชิด…

ด้วยเหตุนี้กระบวนการทำลายและแย่งชิงทรัพยากรจึงเป็นไปอย่างราบรื่น ขณะที่ตัวแทนคนอื่นกำลังต่อกรกับเหล่าอสูรร้ายพร้อมสบถในใจ หวังเป่าเล่อก็ทลายฐานที่มั่นรกร้างสองแห่งอย่างขะมักเขม้น และย้ายทรัพยากรมาไว้ที่ฐานของตนเอง

บัดนี้เหลือตัวแทนเพียงห้าคนเท่านั้นจากสิบคน ในหมู่คนทั้งห้า นอกจากหลี่อี้ กงเต๋า และหวังเป่าเล่อแล้ว อีกสองคนที่เหลือกำลังตกที่นั่งลำบาก

ไม่นานนักหนึ่งในสองคนนั้นก็ต้านทานต่อไปไม่ไหว แต่ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะทันได้ส่งหุ่นเชิดเข้าไปเก็บเกี่ยวทรัพยากร และก่อนที่เหตุอสูรหลั่งไหลครั้งที่ห้าจะจบลง      เหตุอสูรหลั่งไหลครั้งที่หกก็เริ่มต้นขึ้น!

เสียงระเบิดดังก้องมาจากสุสานอาวุธเทพใต้ดิน เหล่าอสูรที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเดิมปรากฏกายออกจากโพรงมรณะจนเต็มทุกหย่อมหญ้า ทุกตัวประสานเสียงคำราม    น่าสยดสยอง!

ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็รวบรวมทรัพยากรได้เพียงพอที่จะสร้างปราการที่แข็งแกร่งพอจะต่อสู้ได้ ขณะที่เสียงก่อสร้างโคร้งเคร้งดังออกมาจากฐานที่มั่นของเขา ปราการทรงกล่องสี่เหลี่ยมมหึมาก็ส่งเสียงดังกึกก้องออกมา

ปราการนิรันดร์เริ่มทำงานแล้ว!

หวังเป่าเล่อกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขายกมือขวาขึ้นและชี้ไปยังฝูงอสูรที่อยู่ไกลๆ

“ปราการนิรันดร์ กำจัดมัน!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version