บทที่ 370 ก่อตั้งเขตนครใหม่
“ข้าเข้าใจแล้ว จากการวิเคราะห์ของท่าน ข้าสามารถปรับใช้วิธีเดียวกันนี้กับจินตั้วหมิงได้ด้วย ข้าแค่ต้องผูกมิตรกับจินตั้วหมิงต่อไปเนื่องจากไม่เคยมีอะไรบาดหมางกัน!” หวังเป่าเล่อพูดออกมาในทันที เสียงของเขาลอยผ่านเข้าไปในแหวนสื่อสาร หลินโยวยกถ้วยชาขึ้นจิบพร้อมกับยกยิ้มขึ้น
“ถูกต้อง เจ้าควรรู้ไว้ว่ากลุ่มไตรจันทรานั้นกำลังตกที่นั่งลำบากในด้านการเมือง ภายในกลุ่มไตรจันทรามีการแบ่งพรรคแบ่งพวกต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจการปกครองกลุ่มในอนาคต จินตั้วหมิงไม่ได้เป็นเพียงผู้เดียวในการแข่งขันครั้งนี้! พวกเขาต้องเผชิญกับการต่อสู้อย่างหนักหน่วงในภายภาคหน้าแน่
“แม้สหายเต๋าจินจะมองจินตั้วหมิงเป็นผู้สืบทอดกลุ่มไตรจันทรา แต่เขาเอง ก็ได้รับบาดเจ็บหนักจากสงครามอสูรครั้งก่อน ยังต้องสู้กับผลข้างเคียงจากอาการบาดเจ็บ ทำให้อาจจะ…ไม่สามารถบรรลุถึงขั้นกำเนิดแก่นในหรือขั้นจุติวิญญาณได้ ทางเลือกเดียวของกลุ่มไตรจันทราคือต้องผูกสัมพันธ์กับทางสหพันธรัฐไว้
“อย่างไรเสียสหพันธรัฐก็ต้องรักษาชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของตัวเองมากกว่าอยู่แล้ว หากเทียบกับกลุ่มอำนาจทางการเมืองอื่นๆ ตอนที่พวกเขาพยายามกลืนกินองค์กรที่ร่ำรวยและมีทรัพยากรมหาศาล เจ้าคิดว่าทำไมกลุ่มไตรจันทราถึงลงทุนลงแรงช่วยเหลือเจ้าจัดตั้งนครแห่งใหม่มากขนาดนี้กันล่ะ นั่นก็เพราะเป็นการทำให้มั่นใจว่าเจ้าจะมีไมตรีจิตกับพวกเขา รวมถึงเป็นการรักษาสัมพันธ์อันดีกับฝ่ายปกครอง ดาวอังคารและทางสหพันธรัฐด้วย
“สหายเต๋าจินนั้นเป็นนักธุรกิจ ไม่เหมือนพวกเรา…” สิ่งที่หลินโยวพูดแสดงให้เห็นถึงความรู้ความเข้าใจในกลุ่มอำนาจทางการเมืองต่างๆ สิ่งที่เขาอธิบายนั้นประเมินค่าวางราคาไม่ได้เลย คนในสหพันธรัฐที่จะมีความรู้ความเข้าใจเรื่องเช่นนี้คงมีแต่บุคคลที่อยู่ในระดับเท่าเทียมกันเท่ากัน
เห็นได้ชัดว่าหลินโยวเปิดอกกับหวังเป่าเล่อหมดเปลือกในการสนทนาครั้งนี้ ไม่ปิดบังอะไรแม้แต่น้อย เขาลดตัวเองลงมายืนอยู่จุดเดียวกับหวังเป่าเล่อและช่วย ชายหนุ่มวางแผนอนาคต
หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึกขณะฟังที่อีกฝ่ายพูดมาทั้งหมด ดวงตาของชายหนุ่มฉายแสงประหลาด พลางนึกถึงสัญญาระหว่างตนกับจินตั้วหมิงขึ้นได้… แท้จริงแล้วเป็นสัญญาระหว่างเขากับกลุ่มไตรจันทราที่มีจินตั้วหมิงเป็นตัวแทน
สิ่งต่างๆ ที่จินตั้วหมิงเคยพูดมาดูลึกซึ้งและมีชั้นเชิงยิ่งนักเมื่อนำกลับมาคิดอีกรอบ
“จะมองข้ามกลุ่มไตรจันทราไปไม่ได้ แม้สหายเต๋าจินจะไม่สามารถบรรลุไปถึง ขั้นจุติวิญญาณได้ อีกทั้งยังเกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกกันภายในกลุ่ม แต่สถานการณ์จะเปลี่ยนไปแน่หากมีใครบรรลุขั้นการฝึกตน นอกจากนี้…สหายเต๋าจินยังเก่งกาจ ด้านสรรค์สร้างสิ่งใหม่ๆ เขาร่วมมือกับทางสหพันธรัฐประดิษฐ์ระเบิดต้านทานวิญญาณขึ้น อิงตามทฤษฎีแล้ว หากสร้างระเบิดต้านวิญญาณได้สำเร็จ พลานุภาพของมันจะมีกำลังมหาศาล แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณก็ไม่สามารถต้านทานพลังได้…หลายกลุ่มอำนาจทางการเมืองพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับระเบิดแต่ก็หาข้อมูลอะไรไม่ได้เลย มีข่าวลือว่ามีการทดสอบระเบิดต้านทานวิญญาณและประสบความสำเร็จไปแล้วหลายครั้ง”
“ที่ข้าพูดมาทั้งหมดก็เพื่อเสริมความรู้ความเข้าใจให้เจ้า ที่เจ้าต้องจำไว้คือด้วยสถานะของจินตั้วหมิงทำให้เขาต้องวางตัวเป็นกลางในเกมการเมืองของสหพันธรัฐ ที่เขาต้องการไม่ใช่เพื่อน…แต่เป็นพันธมิตร!” หลินโยวพูดเน้นย้ำอย่างระมัดระวัง ได้ยินเสียงหายใจถี่รัวจากปลายสายเมื่อสิ้นประโยค เขาวางถ้วยชาลง นัยน์ตาฉายแสงวาบโดยที่หวังเป่าเล่อไม่อาจเห็นได้ หลินโยวหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นอย่าง นิ่มนวล
“เป่าเล่อ เจ้าคิดว่าการเมืองนั้นเป็นเรื่องซับซ้อนเกินไปใช่หรือไม่ เหมือนกับว่าเจ้ากำลังเดินจมหายไปในทะเลสาบที่ลึกเกิดจะหยั่งถึง”
หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองแหวนสื่อสาร หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพักเขาก็พยักหน้า
แม้หลินโยวจะไม่ได้เห็นว่าหวังเป่าเล่อกำลังพยักหน้าอยู่ แต่ก็สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำเช่นนั้น เขากดเสียงต่ำลง
“ไม่ว่าทะเลสาบจะดูใสเพียงใด เมื่อเจ้าลุยลงไปเป็นครั้งแรกจะคิดว่าทะเลสาบนี้ช่างลึกล้ำสุดจะหยั่งถึง ช่างกว้างใหญ่ มืดมน ราวกับว่ามีความลับมากมายนับไม่ถ้วนซ่อนเอาไว้…
“แต่ถ้าเจ้าขึ้นจากทะเลสาบมาหยุดยืนอยู่ตรงริมน้ำ มองลงไปอีกครั้งจะรู้ว่าน้ำในทะเลสาบนั้นใสสะอาดจนมองเห็นก้นทะเลสาบได้
“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เจ้ารู้คำตอบดี เจ้าโดนบดบังมองไม่เห็นอะไรเพราะอยู่ในน้ำ ไม่ได้หมายความว่าควรขึ้นจากทะเลสาบหนีไป แต่หมายความว่าเมื่อถึงวันที่เจ้าไม่ได้ยืนอยู่ที่ริมน้ำแต่เป็นบนฟากฟ้าเหนือทะเลสาบและมองลงมา จะรู้ว่านอกจากน้ำจะใสจนเห็นทุกอย่างได้ชัดแล้ว…ยังพบว่าทะเลสาบมีขนาดใหญ่เพียงฝ่ามือของเจ้าเท่านั้น…
“หากมองออกไปไกลจะเห็นมหาสมุทรกว้างใหญ่เหนือทะเลสาบหลายพันเท่า หากเงยหน้ามองขึ้นฟ้าเบื้องบนจะพบจักรวาลสุดยิ่งใหญ่ เหนือชั้นกว่าโลกที่เจ้าอาศัยอยู่เสียอีก!
“มีบางเรื่องที่ข้าไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะบอกออกไปได้…เป่าเล่อ มนุษย์เช่นพวกเรานั้น…เป็นแค่เมล็ดพันธุ์เล็กๆ ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่” หลินโยวเหมือนอยากพูดอะไรต่อแต่ก็เลือกที่จะหยุดไปด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาถอนหายใจออกมา เสียงถอนหายใจนั้นแฝงไปด้วยความไร้ซึ่งพลังและไร้ซึ่งความสามารถในการขีดเขียนชะตาของตน บทสนทนาของทั้งสองจบลงเพียงเท่านั้น
เสียงถอนหายใจยังก้องอยู่ในสองหูและภายในหัวของหวังเป่าเล่อแม้การสนทนาจะสิ้นสุดไปแล้ว เขานั่งเงียบๆ ตื่นตะลึงกับสิ่งที่ได้รับฟังมา
เมล็ดพันธุ์เล็กๆ ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่… ผ่านไปพักใหญ่ หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้นมองออกไปยังฟากฟ้าที่แต้มไปด้วยแสงดวงดารา จ้องมองอยู่เนิ่นนานจากนั้นก็หลับตาลง เขาไม่ใช่คนที่จะเฝ้าไขว่คว้าอะไรที่ยังมาไม่ถึง ชายหนุ่มรู้ดีว่าสิ่งที่ควรสนใจที่สุดในตอนนี้คือเขตนครใหม่ของดาวอังคาร อนาคตข้างหน้าก็ค่อยจัดการ เมื่อถึงเวลานั้น
เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็เตรียมการสิ่งต่างๆ ต่อ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดวันที่ต้องออกเดินทางก็มาถึง
หวังเป่าเล่อเสนอรายชื่อรองนายกเทศมนตรีทั้งหมดไปก่อนกำหนด เจ้านครอนุมัติโดยไร้ข้อกังขา รองนายกเทศมนตรีของเขาได้แก่ หลี่อี้ กงเต๋า จินตั้วหมิง และหลินเทียนหาว
หลินเทียนหาวจะติดตามหวังเป่าเล่อไปเขตนครใหม่ทันที ส่วนอีกสามคนนั้นจะตามไปทีหลังเนื่องจากต้องเตรียมทรัพยากรตามที่ต้นสังกัดของตนให้การสัญญาไว้ หวังเป่าเล่อตั้งเงื่อนไขไว้กับพวกเขาเพื่อแลกกับตำแหน่งรองนายกเทศมนตรี นั่นก็คือต้องนำทรัพยากรมาส่งมอบก่อนจึงจะขึ้นดำรงตำแหน่งได้
แม้หลี่อี้และกงเต๋าจะไม่พอใจกับการตกลงในครั้งนี้ ทั้งสองก็ได้แต่จำใจทำตาม จินตั้วหมิงไม่ได้แสดงความเห็นอะไร ไม่ได้บอกว่าจะไปหรือไม่ไป หรือถ้าจะไปจะไปเมื่อใด เขตนครใหม่เป็นเพียงดินแดนรกร้างว่างเปล่า ถ้าออกเดินทางไปเร็วคงจะ น่าเบื่อหน่ายน่าดู
ระหว่างการต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีนั้น ไม่มีกลุ่มอำนาจทางการเมืองใดออกมาโต้แย้งเรื่องที่หลี่อี้และกงเต๋าได้รับการเสนอชื่อ ทว่า จินตั้วหมิงเกือบจะเสียตำแหน่งไป แม้กลุ่มไตรจันทราจะเสนอทรัพยากรถึงร้อยละ ห้าสิบจากจำนวนที่ต้องการทั้งหมดก็ยังเกือบแพ้ไปอย่างเฉียดฉิว
สำนักรุ่งสางจักรพิภพและตระกูลนภาห้าสมัยต่างอยากได้ตำแหน่ง รองนายกเทศมนตรีกันมาก แต่ความบาดหมางระหว่างหวังเป่าเล่อและสำนักรุ่งสางจักรพิภพทำให้ข้อเสนอของพวกเขาถูกปฏิเสธ ตระกูลนภาห้าสมัยนั้นทำตามเงื่อนไขได้หมด อีกทั้งยังพร้อมสนับสนุนทรัพยากรจำนวนที่มากกว่ากลุ่มไตรจันทราเสนอด้วย
แต่สุดท้ายแล้ว…ทั้งสองก็พลาด
หวังเป่าเล่อเองก็ได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน ดูเหมือนว่าหัวหน้าเสนาบดีได้ออกตัวในช่วงเวลาสำคัญ ทำให้ตระกูลจั่วจากตระกูลนภาห้าสมัยต้องถอนตัวไป อีกทั้ง จั่วอี้เซียนก็โดนสั่งย้ายออกจากดาวอังคารด้ววย หลังจากแบ่งสันปันส่วนกันในฝ่ายต่างๆ แล้ว เขาก็ไม่เหลือส่วนแบ่งใดจนโดนขับออกไป
คนภายนอกอาจมองว่าเป็นการสู้กันภายในระหว่างกลุ่มอำนาจทางการเมือง หวังเป่าเล่อไตร่ตรองสักพักก็คิดว่าที่จั่วอี้ฟานดื้อดึงตรวจสอบเหตุการณ์ที่หวังเป่าเล่อและหลี่หว่านเอ๋อร์อยู่ด้วยกันสองต่อสองในคืนนั้น เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
ไม่มีเหตุผลอื่นแล้ว การที่เขามัวแต่ดื้อดึงตรวจสอบเรื่องนั้นก็เท่ากับว่าเลือกที่จะขุดหลุมฝังตัวเอง… หวังเป่าเล่อพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและมองเรื่องนี้เป็นเรื่องบันเทิงใจ จากนั้นก็เลิกใส่ใจไป
วันเดินทางมาถึง หวังเป่าเล่อและหลินเทียนหาวเข้ารับตำแหน่งใหม่ เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารและเจ้าพนักงานระดับสูงคนอื่นๆ จากฝ่ายปกครอง ดาวอังคารมายืนส่งพวกเขา ฝูงเรือบินห้าร้อยลำค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจาก ท่าอากาศยานนครดาวอังคารขึ้นสู่ฟากฟ้า
ในฝูงเรือบินกว่าห้าร้อยลำนั้น สามร้อยลำขนผู้คนจำนวนหนึ่งแสนคนที่มีหน้าที่ก่อสร้างเขตนครใหม่ พวกเขาเหล่านั้นต้องปฏิบัติงานตามคำสั่งของหวังเป่าเล่อ อีกสองร้อยลำนั้นอัดแน่นไปด้วยทรัพยากรจากสหพันธรัฐและฝ่ายปกครองดาวอังคาร
เสียงดังสนั่นก้องไปทั่วผืนฟ้า หวังเป่าเล่อยืนอยู่บนดาดฟ้าของเรือบินที่นำหน้าเป็นจ่าฝูง มีหลินเทียนหาวยืนอยู่ข้างกาย ทั้งสองก้มมองดินแดนเบื้องล่าง เลื่อนสายตาไปมองนครดาวอังคาร ก่อนจะทอดสายตาไปทางเขตนครแห่งใหม่ ในหัวของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและเป้าหมายอันยิ่งใหญ่
“เทียนหาว สั่งให้ทุกลำมุ่งหน้าด้วยความเร็วเต็มพิกัด!” หวังเป่าเล่อประกาศกร้าว หลินเทียนหาวสูดหายใจลึกและทำตามที่อีกฝ่ายสั่ง เรือบินทั้งห้าร้อยลำพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
มองไกลๆ เห็นเป็นเหมือนเส้นสายรุ้งห้าร้อยเส้นที่กำลังวาดผ่านสรวงสวรรค์มุ่งหน้าไปยังสถานที่ไกลออกไป…
หลายชั่วโมงต่อมา เรือบินทั้งห้าร้อยลำก็มาถึงเขตอาวุธเทพ ซากปรักหักพัง ที่กระจายอยู่รอบๆ พื้นที่หายไปหมดแล้ว เจ้าลานอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นอย่าง อิ่มหนำสำราญ หลังจากที่ได้เก็บกวาดพื้นที่จนเกลี้ยง ก็ดูเหมือนว่ามันจะบรรลุระดับการฝึกตนไปเป็นระดับลมหายใจเที่ยงแท้ชั้นสมบูรณ์
หวังเป่าเล่อไม่สนใจเจ้าลา เมื่อเรือบินลงจอด หวังเป่าเล่อก็สั่งการแจกจ่ายพิมพ์เขียวสำหรับการก่อสร้างปราการนิรันดร์ระยะแรก มีเพียงส่วนประกอบหลักสำคัญของปราการนิรันดร์เท่านั้นที่ไม่ได้ระบุในแผน แรงงานหนึ่งแสนคนรีบดำเนินการก่อสร้างทันที
หุ่นเชิดของหวังเป่าเล่อก็มีส่วนร่วมเช่นกัน แต่ละตัวเข้าไปช่วยในกระบวนการก่อสร้างสถาปัตยกรรมหลักตามคำสั่งของหวังเป่าเล่อ
พวกเขาทั้งหมดกำลังสร้าง…ปราการนิรันดร์!