บทที่ 373 เคาะกะโหลก
หลินเทียนหาว หลี่อี้ และกงเต๋าก็วิ่งมาพร้อมคนอื่นๆ!
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังถือสันโดษอยู่นั้น กงเต๋าและหลี่อี้ก็มาถึงเขตนครใหม่ กงเต๋าไม่ได้ยุ่งอะไรมาก แต่หลี่อี้นั้นเข้าไปวุ่นวายกับการก่อสร้างทันที ถึงกับค้าน หัวชนฝาให้เปลี่ยนหลายๆ จุดตามที่นางแนะนำ
คำแนะนำต่างๆ นั้นถูกหลินเทียนหาวปัดตกเนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ต่อหน้าหวังเป่าเล่อนั้นเขาผ่านอะไรมามากมายจึงน้อมรับฟังคำของอีกฝ่ายทำให้ดูอ่อนแอในสายตาคนอื่น แต่ชายหนุ่มก็เป็นบุตรของเสนาบดี ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด หลินเทียนหาวก็ถือว่าเหนือชั้นกว่าคนอื่นๆ
หากเทียบกันที่ภูมิหลัง เขาเองก็ไม่ได้เป็นรอง หากจะเทียบที่บรรดาศักดิ์ ชายหนุ่มก็ได้ขึ้นมาเป็นขุนนางระดับสี่ชั้นรองเช่นเดียวกับหลี่อี้ ด้านระดับการฝึกตน ถึงแม้หลินเทียนหาวจะเพิ่งบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นต้น แต่หลี่อี้ก็ไม่ได้เหนือไปกว่าเขาแม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนี้ หลินเทียนหาวจึงมีคุณสมบัติที่เหนือชั้น ที่เขาทำไม่ใช่เพียงการปฏิเสธ แต่เป็นการเพิกเฉยโดยสมบูรณ์ ตลอดระยะเวลาที่ผ่าน ทั้งสองก็เริ่มสร้าง ความบาดหมางระหว่างกันขึ้นเรื่อยๆ
ถึงกระนั้นตอนที่เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น พวกเขาก็รีบมุ่งหน้าไปทางจุดเกิดเหตุด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พอได้เห็นใบหน้าขนาดยักษ์ภายในผนึก ทุกคนก็สะดุ้งโหยงด้วยความตื่นตกใจ ทันใดนั้นใบหน้าก็หยุดส่งเสียงร้อง และค่อยๆ สงบลง
เสียงสัญญาณเตือนก็หยุดไปเช่นกัน
หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงสัญญาณเตือนจึงรีบระงับเปลวไฟสีดำ และตอนนั้นเองใบหน้าก็จมหายไปทันที เมื่อชายหนุ่มลุกยืนขึ้น ไอเย็นรอบๆ ตัวก็พลันสลายไป พอทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพปกติ หวังเป่าเล่อที่เพิ่งเสร็จสิ้นการถือสันโดษก็รีบพุ่งไปยังผนึกอาวุธเทพด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เขาเองก็ไม่รู้ว่ามีเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าเป็นตามที่ได้ตั้งไว้ สัญญาณจะดังขึ้นเมื่อมีเหตุการณ์ร้ายแรงเท่านั้น
ดังนั้น แม้สัญญาณเตือนจะหยุดไปแล้ว ชายหนุ่มก็ยังคงรีบมุ่งหน้าไปที่เกิดเหตุ เขามาถึงหลังจากที่พวกหลินเทียนหาวตรวจสอบสถานการณ์ไปได้ไม่นาน หวังเป่าเล่อเข้าใกล้พื้นที่ เดินข้ามวงแหวนปราณไปในทันที หลินเทียนหาวเห็นการมาของเขาก็รีบทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“คารวะ ท่านนายกเทศมนตรี!”
กงเต๋าและหลี่อี้ยืนมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเย็นชา ไม่ปริปากทักทายแม้แต่นิด หากเป็นช่งเวลาอื่น ชายหนุ่มคงจ้องกลับด้วยแววตาอาฆาต แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามามัวคิดเล็กคิดน้อย เขารีบเดินเข้าไปหาก่อนจะถามขึ้นทันที
“เกิดอะไรขึ้น”
หลินเทียนหาวไม่รอช้า รีบกระซิบบอกหวังเป่าเล่อทุกสิ่งที่เขาได้เห็นกับตาและรู้มา หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงไป เขามองไปทางผนึกสุสานใต้ดินที่กลับคืนสู่สภาพปกติก่อนที่ภาพเหตุการณ์จะปรากฏขึ้นในหัว
มันเป็นเวลาเดียวกับที่ข้าได้บรรลุระดับการฝึกตน เป็นช่วงที่ยังไม่ได้ระงับ วิชาแห่งศาสตร์มืด…พอได้ยินเสียงสัญญาณเตือน ข้าจึงรีบถอนวิชาแห่งศาสตร์มืด ตอนนั้นเองสัญญาณก็เงียบลง และใบหน้าก็จมหายไป หวังเป่าเล่อตกอยู่ใน ห้วงความคิดขณะตรวจสอบทุกสิ่งอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังจากนั้นก็เข้าไปตรวจการก่อสร้างว่าทุกสิ่งเป็นไปตามแผน ไม่มีปัญหาใดๆ ก่อนจะกลับออกไป
ตั้งแต่ที่หวังเป่าเล่อเข้ามาถึงจนตอนนี้ หลี่อี้กับกงเต๋ายืนอยู่แถวนั้นแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรด้วย หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้สนใจคนทั้งสอง เขาเอาแต่พูดพึมพำกับตัวเอง ขณะเดินกลับไป
มาทำเป็นวางท่าในเขตของข้าอย่างนั้นหรือ คิดเช่นนั้น ชายหนุ่มก็หันกลับมามองหลินเทียนหาว ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความไม่พึงพอใจที่แสดงออกผ่านทางสายตา
“เทียนหาว ข้าถือสันโดษไปเป็นเวลาหนึ่งเดือนใช่หรือไม่ นี่ก็สองเดือนแล้วตั้งแต่ที่เรามาที่นี่สินะ”
หลินเทียนหาวคำนวณเวลาในใจก่อนจะยืนยันในทันทีว่าใช่อย่างที่อีกฝ่ายพูด
“ผ่านมาสองเดือนแล้ว รองนายกเทศมนตรีทั้งสามของข้ายังไม่เห็นมารายงานตัวเลย แปลกดี เหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้อยากมาลำบากตรากตรำที่นี่ เทียนหาว เดินทางไปนครดาวอังคารแล้วแจ้งเรื่องนี้ให้เจ้านครดาวอังคารได้รับทราบ บอกพวกเขาว่าถ้าไม่อยากมา ข้าก็ไม่ได้ต้องการตัวพวกเขาเช่นกัน!” หวังเป่าเล่อว่าอย่างเกรี้ยวกราด เตรียมพร้อมจะกลับออกไปหลังจากพูดจบ แต่หลี่อี้กับกงเต๋าที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พลัน เดือดดาลขึ้นมาในทันที
“หวัง เจ้าตาบอดหรือ!” หลี่อี้ตั้งใจจะแย่งชิงสิ่งที่หวังเป่าเล่อหลอมขึ้นมาทั้งหมด แต่พอพ่ายแพ้เข้า นางก็หมดกำลังใจจะทำเช่นนั้น รู้สึกราวกับว่าโดนเจ้าลาเตะเข้าอย่างจังถึงได้คิดจะไปหว่านเสน่ห์ใส่ชายหนุ่ม นางเดือดจัดขึ้นมาเมื่อได้ยินที่ อีกฝ่ายพูด
“หืม” หวังเป่าเล่อเหลือบมามองหลี่อี้แวบหนึ่งก่อนจะหันไปถามหลินเทียนหาว
“นั่นใคร”
หลี่อี้โกรธจัดจนแทบจะระเบิด จับจ้องไปทางหวังเป่าเล่ออย่างเคียดแค้นด้วยดวงตาที่ลุกเป็นไฟ นางกัดฟันพูดขึ้น
“หวังเป่าเล่อ อย่ามาทำเก่งแสร้งทำเป็นไม่รู้จักข้า เจ้าคิดว่า…”
“หุบปาก!” หวังเป่าเล่อตะโกนลั่น ไม่รอให้หลี่อี้ได้พูดจนจบประโยค พลังปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นปลายพวยพุ่งออกมาจากร่างสร้างเป็นแรงกดดันมหาศาลกดทับ หลี่อี้
หลี่อี้ตัวสั่นเทิ้ม รู้สึกราวแก้วหูจะแตกเป็นเสี่ยงๆ นางอ้าปากค้างเมื่อสัมผัสได้ถึงระดับพลังปราณที่เปลี่ยนไปของหวังเป่าเล่อ แม้แต่กงเต๋าที่ยืนอยู่ข้างกันก็ยังตื่นตะลึง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ก่อนหน้านี้ที่สัญญาณเตือนดังขึ้นเขาไม่ทันได้สังเกต อีกทั้งหวังเป่าเล่อเองก็พยายามเก็บซ่อนพลังปราณของตนไว้ตามสัญชาตญาณ ระดับพลังปราณที่พวยพุ่งออกมาในทันควันจึงเรียกความสนใจจากกงเต๋าได้ในทันที
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าข้าคือหวังเป่าเล่อ รองนายกเทศมนตรีหลี่ เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเจ้าเป็นแค่ผู้ช่วยคนหนึ่ง เจ้าไม่เอ่ยทักทายเมื่อเห็นข้า แต่กลับรอให้ข้าทักเจ้าก่อนอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อสั่งสอนอีกฝ่ายอย่างไร้ความปรานี
ทั้งระดับการฝึกตน บรรดาศักดิ์ และตำแหน่งหน้าที่ของเขาล้วนอยู่เหนือหลี่อี้ ทุกสิ่งที่เขาพูดออกมาเข้าครอบงำอีกฝ่าย สร้างความกดดันให้หลี่อี้จนนางตัวสั่น หายใจติดขัดด้วยความตื่นตระหนก
กงเต๋าเงียบไป รู้ว่าไม่ใช่เรื่องฉลาดเลยถ้าจะพูดอะไรออกไปตอนนี้
เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อสั่งสอนหลี่อี้ หลินเทียนหาวก็แอบยิ้มย่องอยู่ในใจ เขารำคาญหลี่อี้มาสักพักแล้วจึงเอ่ยปากพูด
“ท่านนายกเทศมนตรี ข้ามีอะไรจะสารภาพ…หลังจากที่รองนายกเทศมนตรีหลี่มาถึง นางก็เอาแต่บอกให้ทำสิ่งต่างๆ ที่ไปคนละทางกับพิมพ์เขียวของปราการนิรันดร์ ของท่าน ข้าไม่กล้าทำตามที่นางบอก ทำให้การก่อสร้างเป็นไปอย่างล่าช้า…”
หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินที่หลินเทียนหาวพูดก่อนจะหันไปมองทางหลี่อี้
“นายกเทศมนตรีหวังถือสันโดษทันทีที่มาถึง ไม่สนใจว่ากระบวนการต่างๆ เป็นไปอย่างไรทำให้ยุ่งวุ่นวายไปกันหมด ในฐานะรองนายกเทศมนตรี ข้าก็ต้องเข้าไปช่วยดูแลการก่อสร้างอยู่แล้วเป็นธรรมดา ข้าผิดอะไรที่แสดงความคิดเห็นไปเช่นนั้น” หลี่อี้เงยหน้าขึ้น หายสั่นกลัวจากการสั่งสอนเมื่อครู่ นางจ้องหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเย็นชา
“ก็ไม่ผิด ตั้งแต่นี้ต่อไป รองนายกเทศมนตรีหลี่จะไม่ได้ดูแลแค่พื้นที่บริเวณผนึก แต่จะได้ดูแลการก่อสร้างทั้งหมดของปราการนิรันดร์ด้วย เทียนหาว เดี๋ยวส่ง พิมพ์เขียวปราการนิรันดร์ให้รองนายกเทศมนตรีหลี่ด้วย” หวังเป่าเล่อพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด หลินเทียนหาวตื่นตะลึงไป แม้ไม่ค่อยแน่ใจว่าเหตุใดหวังเป่าเล่อถึงกระทำเช่นนี้ แต่ก็รีบพยักหน้าตอบรับ
หลี่อี้ก็ตื่นตะลึงไปเช่นกัน ตอนแรกนางวางแผนไว้ว่าจะหาโอกาสเข้าไปแทรกแซงจนได้อำนาจดูแลการก่อสร้างมาอย่างลับๆ นางตั้งเป้าไว้ว่าจะควบคุมดูแลเพียงแค่ร้อยละยี่สิบถึงสามสิบของกระบวนการทั้งหมดเท่านั้น
แต่หญิงสาวก็ไม่นึกเลยว่าหวังเป่าเล่อจะให้นางรับผิดชอบดูแลกระบวนการก่อสร้างทั้งหมด แม้จะคิดว่ามีอะไรแปลกๆ แต่นางก็รีบรับหน้าที่มาในทันที
หวังเป่าเล่อเลิกสนใจหลี่อี้ หันมามองทางกงเต๋า
กงเต๋ายังเงียบอยู่ เขานึกถึงตอนที่ให้คำมั่นสัญญากับบิดาบุญธรรมและกองทัพประจำดาวอังคารเมื่อตอนที่มาถึงเป็นครั้งแรก แต่หวังเป่าเล่อก็พลิกขึ้นมาเป็นผู้นำ แย่งชิงอำนาจของเขาไป ทิ้งให้เขาเผชิญกับความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ แต่ก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามาโดยสัญชาตญาณ
ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังทักทายหวังเป่าเล่อด้วยท่าทีเฉยเมย
“คารวะ นายกเทศมนตรีหวัง”
หวังเป่าเล่อผุดยิ้มแปลกๆ พยักหน้าให้ก่อนจะพูดขึ้นอย่างใจเย็น
“รองนายกเทศมนตรีกง…”
“หยุดแค่นั้นแหละ นายกเทศมนตรีหวัง!” กงเต๋าแทรกขึ้น
“เจ้าได้แจ้งถึงภาระหน้าที่ของข้ากับทางกองทัพแล้วไม่ใช่หรือ ข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับ การก่อสร้าง ข้ารับผิดชอบแค่การดูแลคุ้มกันสุสานอาวุธเทพใต้ดินโดยจะปลดผนึกเพื่อจัดการกวาดล้างภายในเป็นพักๆ ส่วนเรื่องทรัพยากร ข้าได้รายงานรองนายกเทศมนตรีหลินไปแล้ว และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องตัวเลข!
“สัญญาณเตือนดังขึ้นที่นี่ ข้าต้องมาตรวจหาข้อมูลเพิ่มเติม ถ้าไม่มีอะไรอีก ข้าขอตัวก่อน” พูดจบ กงเต๋าก็เลิกสนใจหวังเป่าเล่อ หันไปนำกองกำลังผู้ฝึกตนจากกองทัพเข้าตรวจสอบภายนอกสุสานอาวุธเทพใต้ดิน
หวังเป่าเล่อหรี่ตามองกงเต๋า ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก เขาหันหลังกลับเดินนำ หลินเทียนหาวออกจากบริเวณผนึกสุสานอาวุธเทพใต้ดิน หลี่อี้เหลือบมองกงเต๋าก่อนจะหันไปมองทางอื่น ใจเต้นระส่ำเมื่อคิดถึงอำนาจที่ตนเพิ่งจะได้รับ แม้จะยังนึกสงสัยว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่นางก็เลิกคิดมาก หากมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น นางก็ไม่ได้กลัว!
หรือว่านี่จะเป็นสัญญาณว่าหวังเป่าเล่อยอมศิโรราบให้สำนักศึกษาเต๋ากวางขาวแล้ว…