บทที่ 372 ขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นปลาย
หวังเป่าเล่อนั่งมองหลินเทียนหาวทำความเคารพด้วยความพึงพอใจ รู้สึกตื้นตันยิ่งนักที่เห็นอีกฝ่ายตื่นเต้นดีใจเมื่อได้เข้าร่วมสมาคมคนหน้าตาดีขั้นเทพ
“ข้าลำบากตรากตรำมาทั้งชีวิต เสียสละชีวิตช่วงวัยรุ่นไปเพื่อสหพันธรัฐ เพื่อผู้คนมากมาย และเพื่อสมาคมคนหน้าตาดีขั้นเทพโดยไม่เคยได้หยุดพัก…” หวังเป่าเล่อพูดคุยกับหลินเทียนหาวต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะให้เขากลับออกไป ชายหนุ่มนั่งอยู่ บนเก้าอี้ เคี้ยวกินน่องไก่ ภายในหัวเต็มไปด้วยความคิดมากมาย
“ในอนาคต ถ้าต้องกลับมานึกถึงความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ในอดีต ข้าคงจะคิดถึงเรื่องการก่อตั้งสมาคมคนหน้าตาดีขั้นเทพ เพราะข้าหวังมาตลอดว่าอยากใช้ชีวิต สงบสุขเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป…” ขณะที่พูด หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าชีวิตของตนนั้นช่างยากลำบาก ทุกๆ สองสามวันจะต้องมีเรื่องให้ยุ่งจนหัวหมุนไม่หยุดหย่อน
หวังเป่าเล่อถอนหายใจพลางส่ายหัว เขากัดกินน่องไก่และยกน้ำเย็นหล่อวิญญาณขึ้นซดอีกสามขวด จากนั้นก็ลูบท้องก่อนจะหยิบมันฝรั่งทอดขึ้นมาหนึ่งถุง หยิบเข้าปากเคี้ยวเสียงดังขณะเดินออกไปตรวจงานข้างนอก
พริบตาเดียวครึ่งเดือนก็ผ่านไป ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา หวังเป่าเล่อฝึกวิชาไป กินขนมไป อีกทั้งคอยจัดการเรื่องต่างๆ ไปด้วย เขารู้ดีว่าในยุคกำเนิดวิญญาณนี้ การฝึกพลังปราณเป็นรากฐานของทุกสิ่ง
ขณะที่ฝึกฝนพลังปราณนั้น หวังเป่าเล่อก็พบว่าระดับการฝึกตนของเขาเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะเปลวไฟสีดำ ตอนนี้ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนใกล้จะบรรลุขั้นการฝึกตนแล้ว
หวังเป่าเล่อวางแผนว่าจะรอให้บรรลุขั้นฝึกตนตามธรรมชาติ เพื่อที่จะได้ใช้เวลาไปกับการกินและจัดการเรื่องต่างๆ ในเขตนครใหม่ แต่ก็คิดเช่นนั้นได้ไม่ถึงสองวัน เขาก็พบว่าเจ้าลาได้บรรลุขั้นการฝึกตนนำหน้าไปแล้ว…
ระหว่างที่มันคอยเฝ้าดูแลตรวจตราทรัพยากรไม่หยุดหย่อน ด้วยเหตุใดไม่ทราบเจ้าลาก็บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่น!
หวังเป่าเล่อตื่นตกใจ โดยเฉพาะตอนที่พบว่าหลังจากที่เจ้าลาบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่น มันก็ต่อต้านเมื่อเขาจะเข้าไปตรวจดูว่ามีความสามารถอะไรเพิ่มขึ้น และถึงกับวิ่งหนีไปด้วยซ้ำ…
ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความจองหอง หวังเป่าเล่ออ้าปากค้างเมื่อเห็นสายตาที่มันจ้องมา ผุดคิดว่าเจ้าลาคงจะลืมไปแล้วว่าใครเป็นบิดาของมัน กล้าดีมาขัดคำสั่งชายหนุ่มรูปงามเช่นเขาได้อย่างไร
พยายามขัดขืนอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อที่กำลังเดือดจัดคิดว่าคงต้องสั่งสอนให้มันเข้าใจว่าเขาไม่ได้เลี้ยงลูกให้เติบใหญ่ด้วยการเรียกว่าลูก แต่เป็นการทุบตีต่างหาก
หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังปราณก่อนจะพุ่งตามเจ้าลาไปด้วยความเดือดดาล เขาสั่งให้มันปิดปาก ไม่เปิดโอกาสให้ได้ร้องสักแอะ ก่อนจะทุบตีมันไม่เลี้ยง
เจ้าลาตกอยู่ในสภาพน่าเวทนา ไม่สามารถหลบหนีหรือส่งเสียงออกมาได้แม้แต่นิด หวังเป่าเล่อหยุดมือหลังจากที่สายตาเจ้าลาดูเชื่องขึ้น จากนั้นก็คลายคำสั่ง ปิดปากออก พอเห็นว่ามันกำลังจะอ้าปากส่งเสียง เขาก็เตะอัดเข้าอย่างรุนแรง
เจ้าลารีบปิดปากเงียบในทันที มันมองหวังเป่าเล่ออย่างนอบน้อม ส่งสายตา เว้าวอนเอาอกเอาใจชายหนุ่ม
“เจ้ารู้แล้วใช่ไหมว่าตนเองอยู่ในจุดใด พูดซิว่าเจ้าเป็นอะไรสำหรับข้า” หวังเป่าเล่อพูดอย่างใจเย็นขณะยืนเอามือไพล่หลัง
“ลูกข้า! ลูกข้า!” เจ้าลาตัวสั่นเทิ้ม แม้ว่าใจจริงจะไม่อยากบอกออกไปเช่นนั้น แต่นั่นก็เป็นคำเดียวที่มันสามารถเปล่งเสียงออกไปได้ ในสภาพสิ้นหวังเช่นนี้ มันทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากส่งเสียงร้อง
เหล่าผู้คนที่กำลังง่วนอยู่กับงานก่อสร้างต่างเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขางุนงงและหวาดกลัวเนื่องจากไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติกับเจ้าลาอย่างไร มันทำหน้าที่เป็น ผู้ควบคุมดูแลอย่างจริงจัง คอยตรวจตราดูทรัพยากรอย่างขะมักเขม้น ตะปูหายไป ตัวเดียวมันก็รู้
หลายคนที่ตั้งใจจะแอบลักเล็กขโมยน้อยระหว่างการก่อสร้างเขตนครใหม่จึงเกลียดชังเจ้าลายิ่งนัก พอเห็นมันโดนซ้อมอย่างหนักก็แอบดีใจขึ้นมา
แต่พวกเขาก็ดีใจกันเร็วเกินไป พอหวังเป่าเล่อกลับออกไปด้วยท่าทางวางก้ามใหญ่โต เจ้าลาที่โดนซ้อมปางตายเมื่อครู่ก็ลุกยืนสะบัดตัว หนังหนาของมันไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เจ้าลาหันมามองเหล่าคนสอดรู้สอดเห็นด้วยสายตาโหดเหี้ยม มันพ่นลมหายใจทางจมูกเสียงดัง เริ่มตรวจตราดูทรัพยากรอย่างขยันขันแข็งขึ้นกว่าก่อน
มันรู้ตัวแล้วว่าเทียบหวังเป่าเล่อจอมเผด็จการไม่ได้เลยแม้แต่น้อย จึงเอาความหมดหวังในใจไปลงกับพวกสอดรู้สอดเห็นแทน
หวังเป่าเล่อเห็นเจ้าลาขยันขันแข็งขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ตอนนี้ชายหนุ่มต้องเผชิญกับความเครียดอย่างหนัก เนื่องจากระดับการฝึกตนของเจ้าลาพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
หากวันใดเจ้าลาดันบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในก่อนข้าละก็… พอคิดถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น หวังเป่าเล่อก็ตัวสั่นเทา สมองตื้อไปหมดเมื่อภาพตนเองโดนเจ้าลากระทืบจนต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอดผุดขึ้นในหัวไม่หยุด…ท้ายที่สุด เขาอาจจะต้องยอมศิโรราบให้เจ้าลาเมื่อได้ยินมันร้องว่า ‘ลูกข้า! ลูกข้า!’
ภาพในหัวทำหวังเป่าเล่อหวาดกลัวขึ้นมาจับจิตจนใจเต้นระส่ำไม่หยุด เขารีบลบภาพน่าขนลุกในหัวออก พลันสายตาของชายหนุ่มก็ฉายแววมุ่งมั่นก่อนจะรีบไปเก็บตัวฝึกตน
ไม่มีวันเป็นอย่างนั้นแน่!
การบรรลุระดับการฝึกตนของเจ้าลาทำให้หวังเป่าเล่อหงุดหงิดเสียจนทิ้งทุกสิ่งอย่างมาถือสันโดษ ระหว่างที่เก็บตัวฝึกตนอยู่นั้น เขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ใดๆ ภายนอก มอบภาระหน้าที่ของตนให้หลินเทียนหาวจัดการแทน
เหตุผลหนึ่งมาจากการที่เขาเชื่อมั่นในความสามารถของหลินเทียนหาว ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะการก่อสร้างได้ดำเนินการไปตามแผน หากไม่ติดขัดอะไรเข้า ทุกอย่างก็จะเป็นไปอย่างราบรื่นแม้จะขาดหวังเป่าเล่อไปช่วยดูแล
เพราะเหตุนี้ หวังเป่าเล่อจึงวางใจ และเริ่มหมกมุ่นกับการฝึกฝนพลังปราณ เขานั่งขัดสมาธิเพ่งสติปลุกพลังปราณตามขั้นตอนช่วงแรกของกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นต้นเพื่อหล่อเลี้ยงพลังอัสนีสวรรค์สองเส้นบริเวณขา พร้อมกับพยายาม สลักสัญลักษณ์อัสนีไว้ที่แขนข้างซ้ายเพื่อสร้างอัสนีสวรรค์เส้นที่สาม
นอกจากนี้ หวังเป่าเล่อยังเริ่มฝึกฝนวิชาแห่งศาสตร์มืดในการถือสันโดษครั้งนี้ด้วย เขาพบว่าเมื่อมาอยู่รอบนอกสุสานอาวุธเทพใต้ดิน ตนสามารถฝึกฝนวิชาแห่ง ศาสตร์มืดได้ไวขึ้นกว่าตอนอยู่ในนครดาวอังคารถึงสิบเท่า
หวังเป่าเล่อตื่นตะลึง รู้สึกว่าหากไม่มีผนึกสุสานอาวุธเทพใต้ดินมากั้นไว้ เขาคงฝึกวิชาไปได้รวดเร็วกว่านี้อีก
ส่วนเรื่องระดับที่ตนจะบรรลุได้นั้น ชายหนุ่มเองก็ไม่อาจคาดเดาได้ สำหรับเขา เรื่องนี้นั้นต้องใช้ทั้งความสามารถที่เป็นดั่งคมของกระบี่รวมถึงโชคชะตาฟ้าลิขิตด้วย!
หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว ผ่านไปสักพักจึงสงบใจลงได้ เขาครุ่นคิดด้วยดวงตาที่ ฉายแววฉงน ไม่รีบร้อนลองวิชาในทันใด ชายหนุ่มสงบใจให้เย็นลงและฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดไปพร้อมๆ กับกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นต้น และคอยหล่อเลี้ยงอัสนีสวรรค์เส้นที่สามและเปลวไฟสีดำลูกที่สามไว้!
วันคืนผ่านไปเช่นนั้น หนึ่งเดือนต่อมา หวังเป่าเล่อที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ก็พลันเบิกตาขึ้น เผยให้เห็นรังสีเย็นยะเยือกราวกับว่าเปลวไฟสีดำกำลังลุกไหม้ในดวงตา พื้นดินรอบๆ เย็นจัดขึ้นทันใด ผนังรอบด้านมีน้ำแข็งเกาะกุม
นอกจากนี้ยังมีกระแสน้ำไหลเวียนผ่านน้ำแข็งไปมา ส่งผลให้พื้นที่ที่ชายหนุ่มถือสันโดษดูแปลกพิกลไป!
ระดับการฝึกตนของเขาพุ่งขึ้นจากขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นกลางไปขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นปลายทันทีที่ลืมตา!
ตอนที่หวังเป่าเล่อบรรลุขั้นการฝึกตน การก่อสร้างด้านนอกก็เสร็จสิ้นไปกว่าครึ่ง เขตนครใหม่ที่ตั้งอยู่บริเวณสุสานอาวุธเทพใต้ดินนั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก!
สุสานอาวุธเทพมีรูปโฉมเปลี่ยนไปด้วยกำแพงสูงที่ห้อมล้อมทั้งพื้นที่ไว้มิดชิด ด้านบนมีหลังคาคุ้มกันขนาดใหญ่ที่ปล่อยคลื่นพลังวิญญาณออกมาก่อตัวเป็น ด้ายวิญญาณล่องหนหลายเส้น
ด้ายวิญญาณเคลื่อนตัวไปทั่วพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ผูกโยงกันไปมาเป็นพักๆ จนเกิดเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ นี่เป็นหนึ่งในแผนการของหวังเป่าเล่อในการสร้างวัตถุเวทเพื่อจัดการเหตุอสูรหลั่งไหล
เหล่าอสูรจะถูกด้ายวิญญาณตัดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโดยไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ศพและเลือดเนื้อของพวกมันจะหล่นลงพื้นและโดนวงแหวนปราณดูดซึมไปเสริมพลังให้กับวงแหวนปราณค้ำจุน เกิดการทำงานวงจรซ้ำๆ เมื่อสังหารเหล่าอสูรภายใน สุสานได้
วงแหวนปราณขั้นต้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว มีผู้คนมากมายคอยคุ้มกันและซ่อมบำรุง ทว่าทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามดังลั่นออกมาจากภายในสุสานอาวุธเทพใต้ดิน ใบหน้าที่เคยทำให้ทั้งสหพันธรัฐต้องพรั่นพรึงปรากฏขึ้นอีกครั้งเบื้องล่างวงแหวนปราณ!
รอบนี้มันคลุ้มคลั่งยิ่งกว่าเก่า ราวกับว่ามีบางสิ่งภายนอกนั่นที่มันอยากพุ่งออกไปหาเสียเต็มประดา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันครั้งนี้ทำให้ทุกคนตื่นตกใจ ขณะที่พวกเขาถอยไป ตั้งหลักเตรียมรับมือ การปรากฏขึ้นของใบหน้าก็ทำให้ระบบเตือนภัยทำงาน เสียงสัญญาณเตือนดังสนั่นไปทั่วเขตนครต้นแบบ
ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนรีบวิ่งไปที่จุดเกิดเหตุในทันใด!