Skip to content

A World Worth Protecting 389

บทที่ 389 แต่งตั้งรองเจ้าเมือง

ความต้องการทำลายล้างของหวังเป่าเล่อรุนแรงมากเสียจนเขาต้องหาทางปลดปล่อยมันออกมา หลังจากที่เดินวนอยู่ในห้องทำงาน เขาก็หยิบแหวนสื่อสารออกมาติดต่อหาหลี่หว่านเอ๋อร์ ทันทีที่โทรติด หวังเป่าเล่อยังไม่ทันได้พูดอะไร      เสียงเย็นเยียบของหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ดังลอดออกมา

“มีอะไร”

น้ำเสียงเย็นชานั้นทำให้หวังเป่าเล่อชะงัก แต่เขาก็อดถามไม่ได้อยู่ดี

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าจะหมั้นกับไอ้บ้าจากตระกูลเฉิน”

หลี่หว่านเอ๋อร์เงียบ หลังจากผ่านไปสักพัก นางก็เอ่ยอย่างใจเย็น

“แล้วมันกงการอะไรของเจ้าเล่า อีกอย่างหนึ่ง คู่หมั้นของข้าไม่ใช่ไอ้บ้า กรุณาให้ความเคารพกันด้วย ท่านเจ้าเมืองหวัง!”

คำพูดของนางทำให้หวังเป่าเล่อไม่กล้าไปต่อ ความโกรธในใจค่อยๆ เบาบางลง เขาเงียบอยู่นานก่อนจะหัวเราะออกมา

“ยินดีด้วยก็แล้วกัน” หวังเป่าเล่อกดวงสายทันที เขาสูดหายใจเข้าลึกและ      เปิดหน้าต่างห้องทำงานตนเองออก มองไปยังท้องฟ้าภายนอกอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันกลับมานั่งทำสมาธิ ชายหนุ่มสงบใจลงขณะฝึกพลังปราณ

แต่หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่า ในตอนนั้นหลี่หว่านเอ๋อร์กำลังยืนอยู่ข้างหน้าต่างห้องทำงานของตนในกองวินัยอาณานิคม และมองมายังทิศที่นครอาวุธเทพใหม่ตั้งอยู่      สีหน้าของนางอ่านยากนัก หลังจากมองอยู่เป็นเวลานาน เสียงถอนหายใจแผ่วที่มีเพียงนางเท่านั้นที่ได้ยินก็สะท้อนก้องอยู่ในใจนาง

หลังจากที่ใช้พลังใจไปมาก หวังเป่าเล่อก็ใจเย็นลงได้ในที่สุด ชายหนุ่มไม่ได้คิดเรื่องหลี่หว่านเอ๋อร์อีกต่อไป และรู้สึกว่าตนเองไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้       จึงไม่ได้สนใจอีก แม้เขาจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบที่ต้องเผยร่างกายของตนให้นางเห็น เขาก็ยังรู้สึกว่าไอ้โง่จากตระกูลเฉินนั่นจะต้องเสียเปรียบมากกว่าเขามากนัก

แม้หวังเป่าเล่อจะพยายามปลอบใจตนเองด้วยความคิดนี้ แต่ความหึงหวงก็ยัง    คุกรุ่นอยู่ในใจ ชายหนุ่มถอนหายใจและหายใจเข้าลึก พยายามทำให้ตนเองสงบลง ก่อนจะค่อยๆ ทุ่มเทให้กับการฝึกปราณอีกครั้ง

พลังปราณของหวังเป่าเล่ออยู่ที่ระดับรากฐานตั้งมั่นขั้นปลาย แม้การก่อสร้างนครใหม่จะทำให้เขายุ่งวุ่นวาย แต่ก็ยังแบ่งงานให้ลูกน้องได้พอดีเพื่อที่ตนเองจะมีเวลามา     ฝึกปราณ ที่สำคัญที่สุดคือ วิชาแห่งศาสตร์มืดของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อฝึกปราณอยู่ในอาณาเขตของสุสานอาวุธเทพใต้ดิน และยังช่วยพัฒนากระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นต้นให้ดีขึ้นอย่างมากอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ ขั้นปราณของหวังเป่าเล่อจึงพัฒนาขึ้นทุกวัน สำหรับคนที่มีปราณอยู่ในระดับรากฐานตั้งมั่นขั้นปลาย การพัฒนาพลังปราณนั้นขึ้นอยู่กับทั้งโชคชะตาและเวลาในการฝึกปราณ และมักใช้เวลาหลายปีกว่าจะบรรลุ เนื่องด้วยการเพิ่มขั้นปราณจากขั้นปลายไปเป็นขั้นสมบูรณ์นั้นคือการค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อย เป้าหมายของ    ทุกคนคือ การบรรลุปราณขั้นกำเนิดแก่นใน ยิ่งทำให้ปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นของตนสมบูรณ์แบบได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น

ดังนั้นกระบวนการพัฒนาขั้นปราณนี้จึงสำคัญมาก และไม่มีทางลัด ทว่าหวังเป่าเล่อที่ใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดเป็นตัวช่วย ทำให้ความเร็วในการบรรลุขั้นปราณของเขา         พุ่งทะยานขึ้นอย่างมาก แม้เขาจะยังไม่บรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบ แต่ก็เดินหน้ามาไกลกว่าครึ่งแล้ว

กระนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้ดีว่าการฝึกปราณไม่ได้ทำสำเร็จภายในวันเดียว มันต้องใช้เวลาในการสะสมหลายวันหลายเดือน ดังนั้นหลังจากที่ถือสันโดษอยู่หลายวันและ    ใจเย็นลงในที่สุด เขาจึงหยุดการฝึกปราณ เมื่อหวังเป่าเล่อลืมตาขึ้น ท้องฟ้าก็มืดลงเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มมองเห็นแสงที่ส่องสว่างอยู่ภายนอก หลังจากกระจาย         วงแหวนปราณออกไป เขาก็ได้ยินเสียงครึกครื้นยามค่ำคืนของเขตนครใหม่แห่ง     ดาวอังคารดังลอดเข้ามา

แม้นครจะยังไม่เริ่มสร้าง แต่ผืนดินนี้ก็มีคนอาศัยอยู่แล้วหลายล้านคน สีสันยามค่ำคืนทำให้เมืองมีชีวิตชีวา

หวังเป่าเล่อหายใจอย่างสงบขณะดูแสงสีและความครื้นเครงของนครอาวุธเทพใหม่ เขาไม่ได้เดินหน้าฝึกปราณต่อ แต่เริ่มคิดถึงการหลอมอาวุธเวทแทน

ข้าคุ้นเคยกับการหลอมสมบัติเวทระดับห้าเรียบร้อยแล้ว… หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง ปราการนิรันดร์ที่เขาสร้างนั้นเรียกได้ว่าเป็นการใช้สมบัติเวทระดับห้าเป็น    ฐานต่อยอด ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงคุ้นชินกับการหลอมสมบัติเวทระดับห้าเป็นอย่างดี ผลลัพท์จึงออกมาสมบูรณ์แบบแทบทุกครั้งไป

ต่อไปก็สมบัติเวทระดับหก… จากนั้นข้าจะได้เริ่มหลอมอาวุธเวทระดับเจ็ดที่เป็นของข้าเอง! เมื่อคิดได้ดังนั้นหวังเป่าเล่อก็ตื่นเต้นจนหายใจถี่รัว นี่เป็นความฝันสูงสุดของผู้หลอมอาวุธเวททุกคนก็ว่าได้

ชายหนุ่มเคยสัมผัสพลังของอาวุธเวทมาแล้ว และรู้ดีว่าอาวุธเวทกระบี่ของเขาไม่ได้เหมาะกับเขาอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ชายหนุ่มต้องการสิ่งที่เข้ากับตัวเขาใน    สนามรบได้อย่างแท้จริง เขาก็ต้องสร้างสิ่งนั้นขึ้นมาด้วยมือของตนเอง

แต่ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนทุกคนในสหพันธรัฐจะมีโอกาสเช่นนั้น สำหรับคนส่วนใหญ่ การได้อาวุธเวทมาครอบครองก็เหมือนถูกโชคหล่นทับแล้ว หากต้องการสร้าง      อาวุธเวทที่เหมาะกับตนเองอย่างสมบูรณ์แบบ ก็คงได้แต่ฝันเอา

แต่สำหรับหวังเป่าเล่อ มันไม่ใช่แค่ความฝัน เขาทำมันได้จริง ความคิดนี้ทำให้เรื่องแย่ๆ ก่อนหน้านี้หลุดออกจากหัวของเขาหมดสิ้น แววความตื่นเต้นและคาดหวังผ่านเข้ามาในดวงตาของชายหนุ่ม แต่ขณะเดียวกันชายหนุ่มก็เข้าใจดีว่าตนเองควรเดินหน้าไปทีละก้าว เขาตื่นเต้นกับมันได้ แต่ไม่ควรรีบร้อน เพราะความกระวนกระวายไม่ช่วยอะไรเขาแน่นอน

ต่อไปข้าจะลองหลอมสมบัติเวทระดับหก และปรับปรุงวัตถุเวทของข้าทั้งหมดให้เป็นสมบัติเวทระดับห้า! ที่สำคัญที่สุดคือฝักกระบี่ สมบัติเวทภายในกายของข้า!      หวังเป่าเล่อใจเย็นลงในที่สุด เขาเริ่มลงมือทันทีด้วยความมุ่งมั่น ก่อนหน้านั้นเขาต้องใช้วัตถุดิบอย่างมัธยัสถ์ เนื่องจากการหลอมแต่ละครั้งต้องใช้เงินจำนวนมาก โดยเฉพาะการหลอมสมบัติเวทระดับห้า ที่ต้องใช้วัตถุดิบหายากและราคาแพงจับใจ

แต่ตอนนี้เขาเป็นถึงเจ้าเมืองที่มียศเป็นขุนนางระดับสามชั้นสูง จึงมีทรัพยากรจำนวนมากอยู่ในมือ ในฐานะเจ้าเมือง เขาสามารถจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่ตนเองต้องการใช้มาได้โดยไม่กระทบต่อการสร้างนคร และยังไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ หรือทำผิดกฎหมายอีกด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลในสายตาของสหพันธรัฐยุค       กำเนิดวิญญาณ ตราบใดที่เขาไม่ได้ใช้มากจนเกินงาม

ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงเริ่มกระบวนการหลอมอย่างเอาเป็นเอาตายโดยใช้วัตถุดิบมหาศาลที่มีอยู่ในมือ การปรับปรุงสมบัติเวททั่วไปเป็นไปอย่างง่ายดาย แต่สมบัติเวทภายในกายของเขากลับไม่ง่ายเช่นนั้น เนื่องจากต้องใช้ทรายอาวุธจำนวนมาก และยังต้องพยายามถึงหลายครั้ง

แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้รีบอะไร เขาเดินหน้าหลอมวัตถุเวทของตนและฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดต่อไป ขณะที่รอผลรองเจ้าเมืองและนายกเทศมนตรีประกาศ ทุกอย่างเดินหน้าอย่างราบรื่น แต่สิ่งที่ทำให้เขายังรู้สึกเสียดายมาจนถึงทุกวันนี้คือ การที่เขายังไม่ได้ลองใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดที่ทรงพลังอย่างวิชาใบหน้าซากศพแห่งความมืดเลย   สักครั้ง!

นั่นเพราะมีคนอยู่รอบตัวมากเกินไป อีกอย่างหนึ่ง วิชาใบหน้าซากศพแห่ง    ความมืดเป็นส่วนหนึ่งของวิชาแห่งศาสตร์มืด และหากมีคนรู้เข้า  เขาคงจะอธิบายตนเองไม่ได้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงทำได้เพียงจินตนาการภาพอยู่ในหัว และรู้สึกผิดหวังอยู่ในใจ

เมื่อไรข้าจะหาคนมาลองใช้วิชานี้ได้กันนะ! หวังเป่าเล่อเริ่มอาวรณ์ขณะกำลังฝึกปราณ และแล้วเวลาก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือน

หลังจากการต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างหลายกลุ่มอำนาจเพื่อแย่งชิงเก้าอี้นายกเทศมนตรี ก็มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง สหพันธรัฐยังไม่ประกาศผลนายกเทศมนตรีทั้งสามคน แต่ตำแหน่งรองเจ้าเมืองถือเป็นอันตกลงได้เรียบร้อย

เมื่อหวังเป่าเล่อได้รับข้อความจากเจ้านครดาวอังคารเกี่ยวกับตำแหน่งรองเจ้าเมือง และคนผู้นั้นจะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้ จิตใจของหวังเป่าเล่อที่ตัวเขาพยายามแทบตายเพื่อให้สงบนิ่งก็พลันยุ่งเหยิงขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มมองแหวนสื่อสารของตน         และได้ยินเสียงเจ้านครอ่านนามของคนผู้นั้น

เป็นนางเองหรือ หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ทว่าหลังจากคิดทบทวนอย่างลึกซึ้ง หวังเป่าเล่อก็โยนความรู้สึกส่วนตัวทิ้งไป การที่นางได้รับแต่งตั้งเป็นรองเจ้าเมืองก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดี

คนผู้นั้นประจำตำแหน่งที่ดาวอังคารมาเป็นเวลาหลายปี และยังมีตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสามชั้นรองมานาน ไม่ว่าจะมีปราณขั้นใด นางก็ยังถือว่าเป็นหัวกะทิของสหพันธรัฐ จึงเป็นการสมควรแล้วที่นางจะได้ตำแหน่งรองเจ้าเมืองมาครอง

ผู้ที่จะมารับตำแหน่งรองเจ้าเมือง… คือ หลี่หว่านเอ๋อร์!!

แต่หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ไม่ได้มาประจำตำแหน่งรองเจ้าเมืองด้วยยศขุนนางระดับ   สามชั้นรอง หากแต่เป็นขุนนางระดับสามชั้นสูงเช่นเดียวกับหวังเป่าเล่อ

การอวยยศนั้นบอกอะไรได้หลายอย่าง หวังเป่าเล่อพอเข้าใจอยู่บ้างแต่ก็ยังคิดว่าเป็นเรื่องที่ซับซ้อนนัก เขาไม่มีอำนาจพอที่จะเปลี่ยนความจริงที่ว่า หลี่หว่านเอ๋อร์หมั้นหมายกับบุตรชายคนโตของตระกูลเฉิน และคิดเอาไว้ว่าคงไม่มีโอกาสได้พบ    นางอีก หวังเป่าเล่อไม่ได้คาดคิดเลยว่าทั้งสองจะต้องมาร่วมงานกันในที่สุด

เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อถึงกับถอนหายใจ เขาปวดหัวตุบไปหลายวัน จนหลี่หว่านเอ๋อร์มาถึงในที่สุด…

เมื่อเรือบินเข้าจอดเทียบท่า ร่างผอมสูงของหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ใจของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความเสียใจและหึงหวง

แม้ทุกคนจะรู้สึกดึงดูดกับความงามของหลี่หว่านเอ๋อร์ แต่พวกเขาก็ล้วนเสียว   สันหลังวาบเช่นกัน เพราะรู้ดีว่านางเคือกุหลาบหนามแหลมที่โด่งดังเรื่อง            ความโหดเหี้ยม ดังนั้นทุกคนจึงก้มหัวลงทำความเคารพนาง แม้แต่กงเต๋าและ        หลินเทียนหาวเองยังทำตาม จินตั้วหมิงที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะเผชิญหน้าและเกี้ยวนางเสียหน่อย แต่เมื่อได้ยินเรื่องการหมั้น บวกกับความกลัวเมื่อครั้งที่เคยเกือบถูกจับ    ทำหมัน ชายหนุ่มก็ปั้นสีหน้าจริงจังที่หาดูได้ยากยิ่ง

หลี่หว่านเอ๋อร์มีสีหน้าเย็นชา นางเดินผ่านฝูงชนที่ก้มหัวทำความเคารพตรงไปยังหวังเป่าเล่อ เมื่อเห็นอีกฝ่าย หญิงสาวก็ทักทายอย่างไร้อารมณ์

“คารวะท่านเจ้าเมือง ข้าทำงานขึ้นตรงต่อท่านเจ้านครดาวอังคารโดยตรง นอกจากควบคุมความเรียบร้อยของงานก่อสร้างแล้ว ข้ายังมีหน้าที่ดูแลกฎหมายบ้านเมืองในฐานะผู้นำกองวินัยอาณานิคมประจำนครอาวุธเทพใหม่ หวังว่าข้าและท่านเจ้าเมืองจะร่วมมือกันเป็นอย่างดีในกิจการบ้านเมืองในอนาคต!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version