บทที่ 388 หลี่หว่านเอ๋อร์หมั้น
หลังจากที่เรือบินสิบลำลงจอดเทียบท่านครอาวุธเทพใหม่เรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็มาต้อนรับศิษย์รุ่นพี่รุ่นน้องทั้งชายและหญิงของเขาด้วยตนเอง
ขณะที่พวกเขากำลังก้าวออกจากเรือบิน แววความชื่นชมและรักใคร่ก็เอ่อล้นดวงตาของศิษย์ทุกคนทันทีที่ได้เห็นหวังเป่าเล่อ ทุกคนมุ่งหน้าเข้าไปทักทายเขา
“คารวะศิษย์พี่ขอรับ!”
“คารวะศิษย์พี่เจ้าค่ะ!”
“คารวะท่านเจ้านครขอรับ!” ต่างคนก็ต่างเรียกหวังเป่าเล่อด้วยชื่อที่ไม่เหมือนกัน ศิษย์ทั้งหมดแสดงความเคารพหวังเป่าเล่อ แม้จะด้วยถ้อยคำที่ต่างกัน แต่ก็พร้อมเพรียงเป็นเสียงเดียวจนดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
หวังเป่าเล่อดีใจกับภาพที่เห็น เขารู้สึกว่าตนเองสร้างสัมพันธมิตรไว้กับคนมากมายในสำนักศึกษาเต๋า จึงทำให้หลายต่อหลายคนพึงพอใจในตัวเขา โดยเฉพาะเหล่าศิษย์น้องหญิง นี่ทำให้หวังเป่าเล่อมั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตนขึ้นไปอีก
ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะได้เดินออกไปกอดเหล่าศิษย์น้องหญิง หลิวต้าวปินก็กระโดดออกมา น้ำตาคลอเบ้า เสียงร้องไห้ของชายหนุ่มดังก้องไปทั่วบริเวณจนกลบเสียง คนอื่น ก่อนที่เขาจะถึงตัวหวังเป่าเล่อเสียอีก
“ข้าคิดถึงท่าน ศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน!” หลิวต้าวปินตัวสั่น ขณะรีบวิ่งมากอดขาหวังเป่าเล่อเสียแน่น ชายหนุ่มตื่นเต้นมากจนตัวสั่นไปหมดจนหวังเป่าเล่อซาบซึ้งใจ แม้แต่ผู้คนรอบกายเขาเองยังอดรู้สึกซาบซึ้งไม่ได้
จินตั้วหมิงเหลือบมองหลิวต้าวปินครั้งสองครั้ง ส่วนกงเต๋าก็พยักหน้าเงียบๆ หลินเทียนหาวเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ดูลำบากใจ เขาคุ้นเคยกับหลิวต้าวปินดี แต่ก็รู้สึกว่าการมาถึงของอีกฝ่ายอาจทำให้ตำแหน่งของเขาในฐานะคนสนิทของ หวังเป่าเล่อต้องสั่นคลอน
“ต้าวปิน!” หวังเป่าเล่อรู้สึกซาบซึ้งเมื่อเห็นหลิวต้าวปินวิ่งเข้ามากอด ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกผิดที่จะพุ่งเข้าไปหาเหล่าศิษย์น้องหญิงก่อน ไม่ใช่ศิษย์น้องคนสนิทของเขาคนนี้
หวังเป่าเล่อตำหนิตัวเองในใจ พลางช่วยหลิวต้าวปินให้ลุกขึ้นยืน ก่อนตบบ่า อีกฝ่ายด้วยท่าทีพึงพอใจ เสร็จแล้วก็มองไปรอบๆ เหมือนกำลังหาใครสักคน หลิวต้าวปินเช็ดน้ำตา เมื่อเห็นท่าทางของหวังเป่าเล่อจึงพูดออกมาเบาๆ
“ศิษย์พี่ขอรับ โจวเสี่ยวหยายังคง… ถือสันโดษอยู่ ส่วนตู้หมิงนั้นไปดวงจันทร์ เนื่องจากเขตจันทราเวทได้เปิดออกอีกครั้ง”
ยังถือสันโดษอยู่อีกหรือ! หวังเป่าเล่อหายใจเข้าลึก เขาเริ่มคิดว่าการช่วย โจวเสี่ยวหยาให้เข้าตำหนักหลอมโอสถเป็นความผิดพลาดมหันต์ ตำหนักหลอมโอสถนั้นโหดเหี้ยมนัก รับศิษย์ใหม่เข้ามาและบังคับให้ถือสันโดษทุกวัน ช่างไร้มนุษยธรรมเสียจนน่าขนลุกขนพองเลยทีเดียว!
หวังเป่าเล่อโกรธขึ้นมาทันที เขาคิดว่าหากตนเองมีโอกาสกลับโลก จะไปเยี่ยมตำหนักหลอมโอสถเสียหน่อยเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลังจากที่ตัดสินใจได้เรียบร้อยหวังเป่าเล่อก็คุยกับศิษย์จากสำนักเต๋าศึกษาศักดิ์สิทธิ์อีกเล็กน้อย ก่อนจะจบการสนทนาลงด้วยการพูดปลุกใจ และส่งทุกคนไปที่พักที่กระจายอยู่หลายจุดทั่ว เขตนคร
จากนั้นหวังเป่าเล่อก็พาหลินต้าวปินมาที่สำนักงานของตน
ทันทีที่หลินต้าวปินก้าวเข้ามาถึง เขาก็เริ่มต้มน้ำด้วยท่าทางชำนาญ และชงชาให้หวังเป่าเล่อในทันที หลังจากนั้นเขาก็นั่งลงข้างๆ หวังเป่าเล่อ ก้มหน้าลงขณะหยิบสมุดจดเล่มเล็กออกมา เตรียมพร้อมรับคำสั่ง
นี่เป็นภาพที่คุ้นเคยสำหรับหวังเป่าเล่อ ซึ่งทำให้เขานึกถึงชีวิตที่สำนักศึกษาเต๋าในทันที ความรู้สึกมายมายกลับมาเยือนชายหนุ่ม เขาถามถึงตู้หมิงที่อยู่บนดวงจันทร์ก่อนจะจิบชา ขณะที่วางถ้วยชาลง ชายหนุ่มก็แต่งตั้งให้หลิวต้าวปินเป็นผู้ควบคุมดูแลสำนักงานของตน
หลินต้าวปินที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งตบอกตนเองอย่างฮึกเหิม
“วางใจได้ขอรับท่านเจ้าเมือง บิดาของข้าก็เคยดำรงตำแหน่งเดียวกัน ข้าติดตามการทำงานของเขามาแต่อ้อนแต่ออก ตัวข้าเองคุ้นเคยกับงานเช่นนี้เป็นอย่างดี และกล้ารับประกันว่าจะไม่มีปัญหาอันใดแน่นอนขอรับ!”
หวังเป่าเล่อทวีความพอใจมากขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินคำมั่นสัญญาของหลิวต้าวปิน ชายหนุ่มออกคำสั่งอีกเล็กน้อย หลิวต้าวปินคอยจดอย่างดีขณะตั้งใจฟังจนดูเหมือนกลัวว่าตนเองจะพลาดไปแม้แต่คำเดียว กิริยาท่าทางของเขาทำให้ผู้บังคับบัญชา สบายใจ โดยเฉพาะตอนที่เขาหยิบกระเป๋าคลังเก็บออกมาวางต่อหน้าหวังเป่าเล่อ ก่อนจะขอตัวออกไป
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วและกำลังจะปฏิเสธ แต่หลิวต้าวปินก็รีบเปิดกระเป๋าคลังเก็บและเทขนมบางส่วนออกมา หวังเป่าเล่อมองและหยิบกระเป๋าคลังเก็บมาค้นดู จึงรู้ว่าทั้งกระเป๋าเต็มไปด้วยขนม รวมถึงลังน้ำเย็นหล่อวิญญาณหลายโหลจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีรสชาติต่างจากที่มีวางขายทั่วไปในท้องตลิด ชายหนุ่มจึงพออกพอใจเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อชอบใจ หลิวต้าวปินก็พอใจเช่นกัน เขาจากไปหลังจากที่ทำความสะอาดห้องทำงานของหวังเป่าเล่อเรียบร้อย
หลิวต้าวปินนี่ก็ไม่เลวเหมือนเดิมเลย หวังเป่าเล่อนั่งคิด พลางเคี้ยวขนมและ ดื่มน้ำเย็นหล่อวิญญาณไปด้วย เขารู้สึกตื้นตันใจ และเริ่มคิดว่าบัดนี้ภารกิจใหม่ได้รับการตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว ขาดแต่การเริ่มก่อสร้างเท่านั้น ซึ่งจะเริ่มได้ก็ต่อเมื่อนายกเทศมนตรีคนใหม่ทั้งสามคนมาถึง
หวังเป่าเล่อเฝ้ารอ เวลาผ่านไปจนครบเจ็ดวัน ในเจ็ดวันนั้น สหพันธรัฐยังไม่ได้ข้อสรุปว่านายกเทศมนตรีคนใหม่ทั้งสามจะเป็นใครบ้าง ซึ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าการแข่งขันนั้นดุเดือดเพียงใด
ระหว่างที่หลายภาคส่วนกำลังต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีให้คนของตนอยู่นั้น ข่าวใหญ่ระหว่างตระกูลนภาห้าสมัยและคณะสิบเจ็ดเสนาบดีก็แพร่กระจายไปทั่วสหพันธรัฐ สร้างความโกลาหลไปทุกหย่อมหญ้า
ข่าวครั้งที่สองนี้มีรายละเอียดมากกว่าครั้งแรก ข่าวที่ออกมาครั้งแรกบอกเพียงว่าทั้งสองกลุ่มอำนาจจะทำงานร่วมกัน แต่คราวนี้ไม่ได้พูดถึงการทำงานร่วมกันแล้ว สิ่งเดียวที่เปิดเผยออกมาคือ… การสมรสระหว่างตระกูลหัวหน้าเสนาบดีและ ตระกูลเฉินแห่งตระกูลนภาห้าสมัย!
ทันทีที่ข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ทุกคนที่ติดตามข่าวอยู่ก็พากันตกตะลึง หวังเป่าเล่อก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาอดคาดเดาไม่ได้ว่าใครกันแน่ที่จะเข้าพิธีวิวาห์ในครั้งนี้ ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามหลินเทียนหาว
ดูเหมือนว่าครั้งนี้หลินเทียนหาวจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อเคยถามเรื่องนี้กับเขาแล้ว แต่ตอนนั้นชายหนุ่มตอบไม่ได้ เขาจึงรู้สึกว่าตนเองทำหน้าที่ไม่ได้ดีเหมือนที่ผ่านมา ทั้งยังกลัวว่าหลิวต้าวปินจะมาแย่งตำแหน่งของตนไป ดังนั้นชายหนุ่มจึงส่งข้อความไปถามบิดาของตนเองทันทีหลังจากที่ได้ยินข่าวเรื่องการวิวาห์ และบอกผู้เป็นบิดาอย่างชัดเจนว่าต้องการรู้รายละเอียด
หลินโยวไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากบอกเรื่องราวบางส่วนแก่หลินเทียนหาว ดังนั้นเมื่อหวังเป่าเล่อเรียกเขามาเพื่อถามข่าว ชายหนุ่มจึงสูดหายใจเข้าลึกและบอกสิ่งที่ตนเองรู้ออกไป
“ท่านเจ้าเมืองขอรับ ข้าเองก็เพิ่งทราบเรื่องนี้เช่นกัน ดูเหมือนว่า… หลี่หว่านเอ๋อร์และบุตรชายคนโตของตระกูลเฉิน นามว่าเฉินมู่ กำลังจะแต่งงานกัน ทั้งสองจะหมั้นกันในเร็ววันนี้ และจะเข้าพิธีวิวาห์ในอีกหนึ่งปีต่อมาขอรับ!”
“ไหนๆ เราก็พูดถึงเรื่องนี้กันแล้ว… ข้าเองก็เคยเจอเฉินมู่เช่นกัน เขาอายุมากกว่าพวกเราเล็กน้อยและทำงานมานาน ตอนนี้เฉินมู่ดำรงตำแหน่งขุนนางระดับสี่ชั้นรองในฝ่ายนิตินัย เมื่อครั้งที่ข้ายังเด็ก บิดาข้าชอบเทียบข้ากับเฉินมู่เสมอ และต้องการให้ข้าเอาเขาเป็นเยี่ยงอย่าง…” หลินเทียนหาวเริ่มมีอารมณ์ขึ้นมา แต่เขาพูดยังไม่ทันจบประโยคดี หวังเป่าเล่อก็ตบโต๊ะเสียงดัง
“น่าขันเป็นบ้า เราอยู่ยุคไหนกันแล้ว ยังมีการคลุมถุงชนเพื่อคานอำนาจอีกหรือ” หวังเป่าเล่อมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว พอได้ยินคำพูดของ หลินเทียนหาว ภาพของเขากับหลี่หว่านเอ๋อร์ในถ้ำก็ผุดขึ้นมาในใจ ความรู้สึกมากมายระเบิดออกมา ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าหญิงสาวที่เป็นของตนถูกแย่งไปต่อหน้าต่อตา
หลินเทียนหาวตกใจกลัวและงุนงงเป็นอันมาก เขาเริ่มสงสัยว่าเจ้าเมืองของตนอาจรู้จักเฉินมู่ จึงรีบพูดขึ้นทันที
“ท่านพูดถูกขอรับ ท่านเจ้าเมือง นี่มันยุคกำเนิดวิญญาณแล้ว แต่ยังมีการดองกันเพื่ออำนาจอยู่อีก! เฉินมู่เป็นชายที่ใช้ได้เลยทีเดียว มีผู้หญิงอยู่มากมายในโลกใบนี้ แต่น่าเสียดายนักที่เขาต้องไปแต่งงานกับนางแม่มดแสนโหดร้ายอย่างหลี่หว่านเอ๋อร์!” หลินเทียนหาวถอนหายใจและกำลังจะพูดต่อ ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา
สายตาของอีกฝ่ายทำให้หลินเทียนหาวตัวแข็งทันที เขารู้สึกแปลกๆ ว่าตนเองตีความและเลือกข้างผิดเสียแล้ว คนที่หวังเป่าเล่อหงุดหงิดใจเรื่องที่ต้องเข้าพิธีวิวาห์ไม่ใช่เฉินมู่ แต่เป็นหลี่หว่านเอ๋อร์…
การคาดคะเนนี้ทำให้ชายหนุ่มตาเบิกกว้าง
“ไอ้เฉินมู่นี่… มันคิดอะไรอยู่กัน ไม่กลัวว่าหลี่หว่านเอ๋อร์จะจับมันตอนหรือ” หลังจากที่มองหลินเทียนหาว หวังเป่าเล่อก็พูดออกมาอย่างหัวเสีย ชายหนุ่มดูหงุดหงิดมากกับการหมั้นหมายที่กำลังจะเกิดขึ้น
คำพูดของหวังเป่าเล่อเป็นเครื่องยืนยันความสงสัยของหลินเทียนหาวได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มตกใจมาก และคิดอยู่เงียบๆ ในใจว่าเจ้าเมืองของเขาคนนี้มีรสนิยมเรื่องผู้หญิงที่แปลกเหลือเกิน แต่ก็ไม่กล้าถามอะไรอีก ได้แต่บอกหวังเป่าเล่อจนหมดเปลือกว่าบิดาของเขาเล่าอะไรให้ฟังบ้าง
“ครั้งนี้ดูเหมือนว่าคณะสิบเจ็ดเสนาบดีและตระกูลนภาห้าสมัยต้องการสานสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นผ่านการแต่งงาน แม้จะมีบางคนจากทั้งสองฝั่งที่ไม่เห็นด้วย แต่การเมืองคือการประนีประนอม… อีกทั้งข้าได้ยินมาว่าตระกูลเฉินเองจ่าย ค่าสินสอดหลี่หว่านเอ๋อร์หนักมาก จนเสนาบดีหลี่ปฏิเสธไม่ได้!”
เมื่อพูดจบ หลินเทียนหาวก็ไม่ได้รีรอ หากแต่รีบกลับออกไปทันที ระหว่างที่เดินกลับนั้น หลินเทียนหาวก็คิดว่าตนเองแตกต่างจากหวังเป่าเล่อเพียงใด ตอนนี้หวังเป่าเล่อหมดอารมณ์กินขนมแล้ว เขาหดหู่กับข่าวนี้มากและเต็มไปด้วยอารมณ์ที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก ชายหนุ่มรู้สึกว่าเฉินมู่ทำให้เขากลายเป็นตาแก่ไร้น้ำยาที่ถูกสวมเขา
บัดซบที่สุด กล้ามาแย่งผู้หญิงของข้าไปได้อย่างไรกัน ข้าจะทรมานเจ้าให้ตายดีกว่าอยู่! แววอำมหิตวาบผ่านดวงตาของหวังเป่าเล่อ
