บทที่ 41 เสียงร้องที่ริมทะเลสาบป่าขจี
คิดจะเป็นอริกับข้าอย่างนั้นรึ! หวังเป่าเล่อจ้องแหวนสื่อสาร แม้ว่าหัวหน้าศิษย์โถงแก่นวิญญาณจะเอ่ยพูดแค่เพียงประโยคเดียวแต่น้ำเสียงของเขาก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจ
ก็มาจากตระกูลใหญ่โต ยิ่งใหญ่มาจากไหนกันเชียว มีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้ข้า ทำนั่นทำนี่! เขากระแอมไอ ชายหนุ่มเริ่มครุ่นคิดอย่างหนัก พยายามหาวิธีจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าว มือของเขาเอื้อมไปหยิบถุงขนมมาแกะโดยไม่รู้ตัว เขาหยุดชะงักเมื่อขนมกำลังจะเข้าปาก
ไม่ได้ ข้าตั้งมั่นไว้แล้วว่าข้าจะลดน้ำหนัก…แต่เรื่องในวันนี้ช่างหนักหนายิ่งนัก ต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน ช่างปะไร ค่อยเริ่มลดตอนแก้ปัญหาเสร็จหมดแล้วก็ได้ เขาจะเฉไฉไปกังวลเรื่องอื่นไม่ได้ คิดดังนั้นเขาก็หยิบขนมเข้าปาก
แม้ว่าจะนั่งคิดอยู่นานก็ไม่ได้คำตอบ เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้ตั้งตัว อีกทั้งยังเป็นคำสั่งจากท่านเจ้าสำนัก แม้ว่าเขาจะได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็น หัวหน้าศิษย์ แต่ระดับของเขากับท่านเจ้าสำนักก็ถือว่ายังห่างกันมาก
ตอนนี้ข้าก็เป็นแค่ผู้น้อย รอให้ข้าขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐก่อนเถอะ จะหน้าไหนก็ไม่มีทางกล้าพูดกับข้าแบบนี้อีก ชายหนุ่มถอนหายใจพลางลูบท้อง เขาตั้งใจจะรอดูสถานการณ์วันพรุ่งนี้ดูก่อน ถึงจะอึดอัดใจเพียงใด เขาก็คงหาทางประนีประนอมได้
หนึ่งคืนล่วงผ่านไป
รุ่งเช้าวันต่อมา หวังเป่าเล่อลืมตาจากการทำสมาธิ จัดแจงร่างกาย ก่อนออกเดินเนิบนาบไปยังตำหนักของหัวหน้าศิษย์แก่นวิญญาณ
ชายหนุ่มพบศิษย์หลายคนระหว่างทาง แม้พวกนั้นจะทักทายเขาตามปกติ แต่พอทักทายเสร็จก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน ท่าทางพวกศิษย์เองก็รู้เรื่องการประชุมหัวหน้าศิษย์ในวันนี้เช่นเดียวกัน
เขามองไปรอบๆ อ่านสถานการณ์รอบตัว จากนั้นจึงมุ่งตรงไปยังตำหนักของหัวหน้าศิษย์โถงแก่นวิญญาณ
เมื่อหวังเป่าเล่อมาถึง พวกศิษย์ด้านนอกตำหนักก็รู้ทันทีว่าชายหนุ่มมาทำไมจึงเปิดประตูให้เข้าไป เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างทางเดินเข้าไปยังตัวตำหนัก
อัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงกล่าวอยู่หลายครั้งว่าจะทำการใหญ่ ใจต้องนิ่ง ข้าจะต้องสงบใจเพื่อจัดการกับอุปสรรคทั้งหลาย
คิดเช่นนั้น เขาก็สูดหายใจลึกและปรับทีท่าให้สงบนิ่ง
ชายหนุ่มเดินตามศิษย์คนอื่นๆ มาจนถึงห้องของหัวหน้าศิษย์ เขาพบสองคนนั่งรออยู่ภายใน…หัวหน้าศิษย์แห่งสาขาวิชาอาวุธเวทอีกสองคน!
เฉาคุน หัวหน้าศิษย์โถงอักขราจารึก และหลินเทียนหาว หัวหน้าศิษย์โถง แก่นวิญญาณ
จริงๆ แล้วนี่ถือเป็นการประชุมครั้งแรกของทั้งสามคน แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่เคยพบอีกสองคนมาก่อน แต่จากชุดคลุมนักพรตที่บ่งชี้สถานะหัวหน้าศิษย์ที่ทั้งสามใส่ พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าแต่ละคนเป็นใคร
ทั้งสองหันมามองที่เขาเมื่อชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ สายตาทั้งสามคู่ประสานกัน หลินเทียนหาวยิ้มให้เขา ส่วนเฉาคุนมองหน้านิ่ง
“เชิญเลย ศิษย์น้องเป่าเล่อ”
ได้ยินเสียงพูด หวังเป่าเล่อก็จำได้ทันทีว่าผู้พูดคือ หลินเทียนหาว เจ้าของเสียงเดียว กับที่ส่งข้อความเสียงหาเขาเมื่อวาน ส่วนชายหนุ่มอีกคนก็คงจะเป็นเฉาคุน
ทั้งสามไม่ได้ทักทายอะไรกันมากมาย เพียงแค่ชำเลืองมองกันแวบหนึ่งก่อนจะนั่งลง ศิษย์ฝ่ายวินัยนำชามาบริการจากนั้นจึงปิดประตูออกไป
ทั้งสามตกเป็นจุดสนใจของบรรดาลูกศิษย์ทั่วทั้งสาขาวิชาอาวุธเวท เนื่องจากนี่คือ การประชุมครั้งแรกของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ซึ่งได้เปิดฉากขึ้นแล้ว
“ทุกท่านมาพร้อมกันดีแล้ว ข้าขอเริ่มการประชุมหัวหน้าศิษย์ครั้งแรก ณ บัดนี้ ข้าเชื่อว่าที่ท่านเจ้าสำนักเลือกพวกเราสาขาวิชาอาวุธเวทให้เริ่มทดลองใช้ระบบหัวหน้าศิษย์แบบใหม่เป็นที่แรกเนื่องจากท่านให้ความไว้ใจในตัวพวกเรา แต่ข้าก็คิดว่าท่านกำลังทดสอบพวกเราอยู่ด้วย!” หลินเทียนหาวยิ้ม เขาเลื่อนสายตามอง หวังเป่าเล่อและเฉาคุน
“ศิษย์น้องเฉาคุน ศิษย์น้องเป่าเล่อ โปรดนำเอกสารขึ้นมาและเริ่มถกประเด็นกัน”
เฉาคุนสังเกตเห็นหลินเทียนหาวที่มองมาจึงกระแอมไอขึ้น
“ข้าขอเริ่มเป็นคนแรก ภายหลังจากการปรับระบบหัวหน้าศิษย์ หัวหน้าศิษย์ ทั้งสามจะยังคงดำรงตำแหน่งในฝ่ายวินัยสำนักตามเดิม หากแต่จะต้องมีการออกเสียงเพื่อพิจารณาทุกข้อพิพาท นี่คือ ระเบียบจากท่านเจ้าสำนัก”
“เรื่องแรกที่จะพิจารณาในวันนี้คือ เรื่องศิษย์ฝ่ายวินัยของสาขาวิชาอาวุธเวท เนื่องจากในตอนนี้มีศิษย์ฝ่ายวินัยจำนวนมากจนเกินไป ต้องเข้าใจว่างานนี้เป็นการเข้ามาทำโดยสมัครใจ ไม่ได้ค่าตอบแทนใดๆ ดังนั้นเราไม่ควรเห็นแก่ตัวและช่วงชิงเวลาเรียนจากพวกเขา เราควรปล่อยให้พวกเขาได้มีเวลาเรียนมากขึ้น”
“ดังนั้น ข้าจึงเสนอให้มีการปลดศิษย์ฝ่ายวินัยบางคนออก เพราะที่นี่คือ สำนักศึกษาเต๋า ไม่ใช่สหพันธรัฐ”
เฉาคุนหยิบแผ่นหยกยื่นให้หลินเทียนหาวและหวังเป่าเล่อระหว่างที่พูด
“นี่คือรายนามของผู้ที่ข้าเสนอให้ปลดออก ท่านหัวหน้าศิษย์เทียนหาว โปรดพิจารณา”
หลินเทียนหาวไล่ดูรายชื่อจากนั้นก็พยักหน้า เขามองไปยังหวังเป่าเล่อ
“ศิษย์น้องเป่าเล่อ ท่านคิดว่าอย่างไร”
หวังเป่าเล่อหายใจอย่างสงบจนกระทั่งเขาไล่ดูรายชื่อในแผ่นหยก ความโกรธ ในกายพลุ่งพล่านออกมาจนแทบควบคุมไม่ได้ในทันใด รายชื่อในแผ่นหยกนั้นมีแต่ศิษย์จากโถงศิลาวิญญาณ นอกจากนี้ยังมีแต่คนที่เขาสนิทหรือไม่ก็เป็นคนที่เขาเลือกมาเองกับมือ
หลิวต้าวปินก็อยู่ในรายชื่อนั้นด้วย
แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะรู้อยู่เต็มอกว่าเขาเป็นรองในการประชุมครั้งนี้และพร้อมที่จะประนีประนอม แต่สองวายร้ายนี่กลับไม่แสดงให้เห็นถึงทีท่าว่าอยากจะประนีประนอมกับเขาแต่อย่างใด พวกนั้นมีแต่ต้องการจะทำให้เขาต้องเสียเกียรติ
“ข้าไม่เห็นด้วย!” หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นพร้อมกับพูดเสียงดัง
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องออกเสียงกัน ข้าเห็นด้วยกับเฉาคุน” หลินเทียนหาวไม่แยแสเป่าเล่อแม้แต่นิด ราวกับว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องให้ความสนใจใดๆ เขายกมือขึ้นหลังจากพูดเสร็จ
เฉาคุนแสยะยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นตาม
“เห็นชอบ!” หลินเทียนหาวกล่าวปิดวาระ ตัดสินใจที่จะปลดศิษย์ตามรายชื่อนั้นออกโดยไม่สนใจฟังความเห็นของเป่าเล่อเลยแม้แต่น้อย
หวังเป่าเล่อเข้าใจดีว่าเขานั้นตัวคนเดียว ไม่สามารถทำอะไรได้เลยในการประชุมหัวหน้าศิษย์ครั้งนี้ ใบหน้าเขาเริ่มขึ้นสีด้วยความโกรธ ตอนนี้เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากพยายามระงับความโกรธของเขาเอาไว้
เฉาคุนยิ้มเยาะเมื่อเห็นใบหน้าขึ้นสีของเป่าเล่อและเริ่มพูดขึ้นอีกครั้ง
“ท่านหัวหน้าศิษย์เทียนหาว ข้ายังมีอีกเรื่องที่อยากถก เป็นเรื่องข้อพิพาทของหวงจิง จางหลัน และพวกพ้อง ข้าคิดว่าเราไม่ควรจะเข้าไปยุ่มย่ามกับเรื่องที่เกิดภายนอกสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ข้าขอเสนอให้ปล่อยตัวพวกเขาทั้งสี่ ท่านคิดว่าอย่างไรหรือ ศิษย์พี่เทียนหาว”
ทันทีที่เฉาคุนพูดจบ หวังเป่าเล่อที่พยายามอดกลั้นความโกรธเงยหน้ามองเฉาคุนด้วยดวงตากราดเกรี้ยวจากความโกรธอันมากล้นจนแทบจะพุ่งขึ้นไปสู่แดนสวรรค์ จะอะไรเขาก็ทนได้ แต่สิ่งที่พวกจางหลันกระทำไว้นั้น เขาไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้
“ที่ศิษย์น้องเฉาคุนว่ามาก็มีเหตุผล ถึงพวกจางหลันจะก่อความผิด แต่พวกนั้นก็ไม่ได้กระทำความผิดภายในสำนักศึกษา พวกเราไม่มีสิทธิ์ตัดสินอะไรทั้งนั้น อีกไม่นานพวกนั้นต้องเข้ารับการสอบของเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง เตรียมตัวกันมาตั้งหลายปี จะเอาเรื่องนี้ไปกวนใจให้เสียสมาธิก็เห็นจะไม่ดี” หลินเทียนหาวแสร้งยิ้มและมองไปทางหวังเป่าเล่อ “ศิษย์น้องเป่าเล่อคิดเห็นอย่างไร”
“นี่มันเกินจะทนแล้ว!” หวังเป่าเล่อตบโต๊ะด้วยความเกรี้ยวกราด ถลึงตามองหลินเทียนหาวและเฉาคุน
หลินเทียนหาวยกยิ้มอย่างไม่แยแสและพูดต่ออย่างเรียบเฉย “โปรดลงเสียง ข้าเห็นชอบ”
เฉาคุนยิ้มเยาะอีกครั้งพร้อมกับพยักหน้าเห็นชอบ วาระที่สองผ่านการเห็นชอบไปต่อหน้าต่อตาเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อโกรธจัดจากการถูกมองข้ามและหยามเกียรติจนเขาได้แต่ยิ้มออกไป ทันใดนั้นเขาก็ได้รับข้อความเสียงจากหลิวต้าวปิน
“ท่านหัวหน้าศิษย์ โปรดระวังตัว ข้าได้ยินมาว่าเฉาคุนหัวหน้าศิษย์โถงอักขราจารึกป่าวประกาศไปทั่วว่าจะหยามเกียรติของท่านในวันนี้!” หลิวต้าวปินอยู่ไม่สุขจนต้องรีบส่งข้อความมาเตือน
หวังเป่าเล่อไม่ได้ตอบกลับ แต่ลุกยืนขึ้น เขาก้าวเดินเข้าไปหาเฉาคุนท่ามกลางรอยยิ้มเย้ยหยันจากหัวหน้าศิษย์ทั้งสอง
ชายหนุ่มเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว เขายกมือขวามุ่งเป้าไปทางเฉาคุนที่กำลังงุงงน เทียนหาวได้แต่มองภาพที่เกิดขึ้นโดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว
ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ทันทีที่หลินเทียนหาวและเฉาคุนรู้สึกตัว มือของหวังเป่าเล่อก็จับไปที่คอของเฉาคุนแล้ว
“ปล่อยนะ!” เฉาคุนเริ่มตั้งตัวได้ ระดับการฝึกตนของเขาและเป่าเล่อนั้นเทียบเท่ากัน อยู่ในขั้นผนึกกายา แต่หวังเป่าเล่อเป็นผู้ที่เข้าจู่โจมก่อน เมล็ดแห่งการดูดกลืนในตัวชายหนุ่มปลดปล่อยพลังเต็มขั้น ทันทีที่เขาเอื้อมจับคอของเฉาคุนได้ พลังวิญญาณที่พุ่งไหลเวียนในตัวเขาก็ได้ผนึกพลังปราณในตัวเฉาคุนไว้ก่อนที่จะทันได้โต้ตอบใดๆ
“ทำอะไรของเจ้าน่ะ หวังเป่าเล่อ!” หลินเทียนหาวลุกพรวดขึ้น
“ข้าจะทำอะไร เดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้!” จบประโยค หวังเป่าเล่อที่กำลังโกรธจัดก็พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่เปิดโอกาสให้หลินเทียนหาวได้ตอบโต้ ชายหนุ่มผลักประตูเปิดเสียงดังและลากคอเฉาคุนพุ่งทะยานออกไปข้างนอกพร้อมกับร้องคำราม
“หวังเป่าเล่อ!” หลินเทียวฮ่าวพุ่งตามไปในทันทีพร้อมทั้งเรียกเหล่าศิษย์ฝ่ายวินัยที่อยู่รอบๆให้ไล่ตามชายหนุ่มไป เขาทั้งตกใจและขุ่นเคืองกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เหล่าศิษย์สาขาวิชาอาวุธเวทที่กำลังติดตามสถานการณ์อยู่ ณ ขณะนั้นต่างมุ่งความสนใจไปทางเสียงที่ดังมาจากห้องหัวหน้าศิษย์ ทันทีที่พวกเขาเห็นหวังเป่าเล่อลากคอเฉาคุนออกไป พวกเขาต่างเบิกตากว้างจ้องจดอยู่กับภาพที่เห็นด้วยความ ตื่นตะลึง
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“ในมือของหวังเป่าเล่อนั่น…ท่านเฉาคุนอย่างนั้นหรือ”
ในขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตกใจและหวาดเกรง หวังเป่าเล่อก็เร่งความเร็วจนถึงขีดสุด แม้ว่าพวกหลินเทียนหาวจะกำลังไล่ตามชายหนุ่มอยู่ พวกนั้นก็ไม่สามารถตามเขาได้ในทันควัน ชายหนุ่มลากเฉาคุนออกไปนอกสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ภายในเวลาชั่วครู่ เขาก้าวขึ้นบนสะพานไม้บริเวณทะเลสาบป่าขจีและขว้างเฉาคุนลงทะเลสาบ
ร่างของเฉาคุนกระแทกผิวน้ำสาดกระเซ็นเสียงดัง
“กล้าดีอย่างไรมาทำกับข้าเช่นนี้!” เฉาคุนแหกปากลั่น เขาเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าหวังเป่าเล่อจะกล้าทำแบบนี้กับเขา หวังเป่าเล่อเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับ ยิ้มเยาะใส่
“ที่นี่อยู่ภายนอกบริเวณสำนักศึกษา ถ้าเป็นตามที่เจ้าว่าไว้ในที่ประชุม ข้าก็สามารถฆ่าเจ้าทิ้งได้โดยที่ทางสำนักไม่สามารถเอาผิดกับข้าได้!
“ถ้าเป็นจริงเช่นนั้น ข้าขอคิดก่อนแล้วกันว่าจะกระทืบเจ้าให้ตายแบบใดดี!”
หวังเป่าเล่อที่กำลังเดือดดาลขยับเข้าใกล้ขณะพูด แม้ว่าเฉาคุนจะดิ้นรนหนีอย่างไรก็ไม่เป็นผล ในชั่วพริบตา ชายหนุ่มพุ่งเข้าไปจับนิ้วของเขาและหักลงอย่างรุนแรง
เฉาคุนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด แต่ความเจ็บปวดก็ไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น เมื่อหลินเทียนหาวพร้อมกับศิษย์ฝ่ายวินัยและเหล่าศิษย์สาขาวิชาอาวุธเวทอีกมากมายมาถึงก็พบกับภาพหวังเป่าเล่อกำลังเตะอัดพวงสวรรค์ของเฉาคุนอยู่
เฉาคุนร้องดังลั่นจนเสียงเปลี่ยน หน้าขึ้นสีม่วงด้วยความจุกในทันใด เขาร้องครวญครางและพลัดตกทะเลสาบไป ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วครู่ ตั้งแต่การจู่โจมแรกจนสิ้นสุดใช้เวลาเพียงแค่สามสิบวินาทีเท่านั้น
“หวังเป่าเล่อ!” หลินเทียนหาวโกรธเป็นไฟ เขารู้สึกอับอายเป็นอย่างมากเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อจัดการกับศิษย์น้องของเขาเช่นนั้น เขาตาแข็งมองอีกฝ่ายด้วยความ ดาลเดือดขณะส่งคนไปช่วยเฉาคุน
“มองอะไร ไม่เคยเห็นหนุ่มรูปงามกระทืบคนอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อมองกลับพร้อมทั้งแค่นเสียงออกทางจมูก เขาหันหลังเดินออกไปก่อนที่จะหันกลับมา คว่ำนิ้วโป้งลงใส่
“เจ้า…” หลินเทียนหาวกัดฟันสะกดกลั้นความเดือดดาลที่จวนจะระเบิดจากการถูกยั่วยุและเหยียดหยาม แต่หวังเป่าเล่อเข้าทำร้ายเฉาคุนโดยใช้ช่องโหว่จากกฎที่ พวกเขาเสนอในการจัดการกับคดีความของพวกจางหลัน ดังนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถเอาผิดกับชายหนุ่มได้ มิเช่นนั้นจะเป็นการกลับคำสิ่งที่พวกเขาพูดไป
แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะกระทำอุกอาจโดยการลากคนไปทำร้ายภายนอกสำนัก แต่ชายหนุ่มก็เป็นหัวหน้าศิษย์ ประกอบกับการที่โดนเพิกเฉยในที่ประชุมหัวหน้าศิษย์วันนี้ แม้ว่าเขาจะใช้เหตุการณ์นี้กล่าวหาหวังเป่าเล่อก็คงไม่มีผลใดๆ ต่อตัวชายหนุ่ม
หลินเทียนหาวจึงทำได้แค่กำหมัดแน่นและปลอบเฉาคุนที่ตัวสั่นเทาหลังจากได้รับการช่วยเหลือกลับขึ้นมาบนฝั่ง แม้ว่าเขาจะชนะอย่างองอาจในการประชุมวันนี้ แต่ความเจ็บปวดที่เขาได้รับนั้นเกินกว่าที่จะวัดประเมินได้