บทที่ 65 เจ้ายุงเด็กดี
เจ้ายุงนี่ตัวใหญ่เกินไป ใหญ่เสียจนมองเห็นขนยุบยับที่ขาของมัน ตั้งตรงขึ้นมาเหมือนหนามแหลม เมื่อมันกระพือปีก ลมก็พัดกรรโชกแรงเสียจนต้นไม้ทั่วบริเวณนั้นสั่นไหว เหมือนพายุขนาดย่อม
งวงของเจ้ายุงตัวนี้น่าสะพรึงจนขนหัวลุก มันดูแหลมคมมากเสียจนน่าจะแทงทะลุโลหะได้สบายๆ ขณะที่มันบินเข้ามาใกล้ หวังเป่าเล่อก็นัยน์ตาเบิกกว้าง หัวเต้นตุบเหมือนจะระเบิด ชายหนุ่มตกอยู่ในความหวาดกลัวแทบจะสิ้นสติ
บรรดาชายชุดดำและท่านผู้เฒ่าก็ดูเหมือนจะตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน ทุกคนตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ราวกับมดตัวจ้อยที่พบเข้ากับพญาคชสาร ความรู้สึกอึดอัดที่อธิบายไม่ถูกนี้ทำให้ทุกคนใกล้คลั่ง
ไม่มีใครกล้าวิ่งไล่หวังเป่าเล่ออีก ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะขยับตัว
รังสีอำมหิตที่เจ้ายุงปล่อยออกมา น่ากลัวเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้ หวังเป่าเล่อมั่นใจว่า เจ้ายุงนี่อาจทำลายร่างกายและจิตใจของทุกคนในที่แห่งนี้ได้ในพริบตาตามใจปรารถนา เพียงแค่แผ่รังสีมฤตยูนี่ออกมาเท่านั้น!
ขณะที่ร่างของมนุษย์ทุกคนในที่นั้นกำลังสั่นเทา ยุงยักษ์ก็กระพือปีกบินมาทางพวกเขา แล้วก้มหัวลงกลางอากาศ ดวงตาของมันดูเหมือนมนุษย์มากเหลือเกิน ตาคู่นั่นมีความรำคาญฉายชัด ราวกับเจ้ายุงยักษ์รู้สึกว่าอากาศยานที่รายล้อมนั้น ช่างขัดหูขัดตา มันกระพือปีกทีเดียว เรือบินห้าลำก็ปลิวหายไป เหมือนยานของเล่นที่โดนกระแสลมซัด ตกลงกระแทกพื้นเสียงดังโครมคราม มีเพียงลำเดียวที่ไหวตัวทันจึงหลบได้
ภาพตรงหน้าทำเอาทุกคนแทบหยุดหายใจ ตัวสั่นระริก ยุงยักษ์ไม่ได้ไล่ตามยาน ที่รอดไปได้ลำนั้น หากแต่ลดระดับลงมาเกาะอยู่บนต้นไม้ มันกวาดสายตามอง พวกเขาทีละคน
เมื่อประสานตาเข้ากับใคร คนๆ นั้นก็รู้สึกราวกับขาดอากาศหายใจ หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนหนังศีรษะของเขาถูกทิ่มแทง โชคดีที่ว่ายุงยักษ์นั้นจ้องแต่ละคนอยู่เพียง ชั่วครู่เท่านั้น
จนกระทั่ง สายตามันสบเข้ากับหัวหน้ามือสังหารชรา
ท่านผู้เฒ่าตัวสั่น ใบหน้าเอ่อล้นด้วยความลุกลี้ลุกลนและความกลัวจับใจ เขาไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้ายุงนี่ถึงมองเขาไม่วางตา และกรีดร้องอยู่ภายในใจอย่างสยองขวัญ
ตัวบ้าอะไรกันนี่ ระยำนัก เกิดมาไม่เคยเจอยุงตัวไหนในสหพันธรัฐใหญ่เท่านี้มาก่อนเลย!
ไม่มีใครกล้าขยับตัว ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหายใจเร็วเกินไป หลังเวลาผ่านไปสักพัก ยุงยักษ์ก็ยังคงอยู่ที่เดิมไม่มีทีท่าว่าจะไปไหน แต่ละคนเริ่มลนลานกว่าเก่า
หวังเป่าเล่อกลืนน้ำลาย เขาสังเกตว่าเจ้ายุงยักษ์ดูเหมือนจะพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ชายชราเท่านั้น ชายหนุ่มรู้สึกว่าโชคเข้าข้างเขา หากเจ้ายุงนี่ช่วยกำจัดชายเฒ่านี่ให้ราบคาบก็คงดี หวังเป่าเล่อก้าวถอยหลังอย่างช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง
ขณะที่ก้าวถอยหลัง หวังเป่าเล่อก็เฝ้าสังเกตปฏิกิริยาของยุงยักษ์อย่างจดจ่อ หากสัตว์ร้ายเปลี่ยนทีท่าเมื่อใด เขาจะหยุดนิ่งทันที แต่แม้ชายหนุ่มจะถอยหลังไปสามก้าวก็แล้ว ห้าก้าวก็แล้ว เจ้ายุงก็ดูไม่ได้มีท่าทีสนใจแต่อย่างใด หวังเป่าเล่อเริ่ม ผ่อนคลายลง เขาหายใจเร็วขึ้นจนเป็นปกติ และเพิ่มความเร็วขึ้น
เหล่าชายชุดดำเห็นอากัปกิริยาทั้งหมดของหวังเป่าเล่อ หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ พวกเขาก็เริ่มก้าวเบาๆ ไปในทิศทางที่หวังเป่าเล่ออยู่ ก่อนจะดีใจเมื่อพบเช่นกันว่า ยุงยักษ์ไม่ได้สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่กล้ารีบหนี ต่างคนก็ต่างค่อยๆ ก้าวออกจากสถานที่เกิดเหตุอย่างช้าๆ เท่านั้น
หากมองจากระยะไกล ดูราวกับว่าทุกอย่างในบริเวณนี้ถูกทำให้ช้าลง หวังเป่าเล่อและกลุ่มชายฉกรรจ์พากันขยับร่างกายด้วยความเชื่องช้า พยายามที่จะพาตัวเองออกไปให้ไกลจากสัตว์ร้ายให้มากที่สุด
เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังหนีไปได้ ชายชราก็เริ่มกระวนกระวายใจและพยายามจะถอยหลังเช่นกัน แต่เมื่อเขาขยับ ยุงยักษ์ก็แผ่รังสีความเย็นเยียบออกมาราวกับ ส่งสัญญาณเตือน
สัญญาณชวนขนหัวลุกนี้ทำให้ชายชราร้องโหยหวนอยู่ในใจ
อะไรกัน ทำไมทุกคนจึงไปได้แต่ข้าไปไม่ได้…ข้าไม่เคยทำอะไรให้เจ้ายุงนี่ขุ่นเคืองใจเลยนะ!
หวังเป่าเล่อและกลุ่มชายชุดดำเห็นเหตุการณ์นี้ แต่ละคนแสดงสีหน้าประหลาด หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นรัวเอ่อล้นไปด้วยความรู้สึกขอบคุณเจ้ายุงยักษ์
เจ้ายุงเด็กดี!
ขณะที่กำลังกล่าวชมยุงยักษ์อยู่ในใจ หวังเป่าเล่อก็เคลื่อนไหวเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ทิ้งระยะออกไปจากสัตว์ร้ายได้เป็นกิโลเมตร ชายหนุ่มหันหลังกลับและเริ่มออกวิ่งในทันที
เช่นกันกับกลุ่มชายชุดดำ ที่หลุดออกจากรัศมีมวลสังหารของยุงยักษ์ตัวนั้นได้ในที่สุด เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อ พวกเขาก็พลางมองหน้ากัน แม้ผู้นำของพวกเขาจะติดกับอยู่ ภารกิจนี้ก็ยังไม่เสร็จสิ้น ชายสองคนที่มีปราณขั้นบำรุงชีพจรสมบูรณ์แบบจึงนำ พรรคพวกออกตามล่าหวังเป่าเล่อต่อในทันที
ไม่นานนัก ทั่วบริเวณก็เงียบสงัดลง มีเพียงท่านผู้เฒ่าเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่พลาง ร่ำไห้อยู่ภายในใจ สถานการณ์ยังคงเดิม เจ้ายุงยักษ์ยังจ้องเขม็งมาที่เขาด้วยสายตาที่ทำให้ชายชรารู้สึกสิ้นหวัง
ในป่าทึบ หวังเป่าเล่อทิ้งยุงยักษ์ไว้เบื้องหลัง แม้แรงกดดันจากสัตว์ร้ายมากขานั้นจะหายไปแล้ว แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าอันตรายยังไม่พ้นตัว ขณะกำลังวิ่งหนี ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ทอประกายวาบขึ้นมา เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเหตุการณ์เสี่ยงตายนี้เปลี่ยนตัวเขาให้เด็ดขาดมากขึ้นแค่ไหน เขาตัดสินใจเร็วขึ้นด้วยความโหดเหี้ยมมากกว่าที่เคย
ข้าต้องเปลี่ยนแผนใหม่ ยังมีเรือบินเหลืออยู่หนึ่งลำ ถ้าเจ้าพวกชุดดำนั่นยังไม่ตาย ถึงจะหนีไปไกลสักเท่าไร สุดท้ายข้าก็ไม่รอดอยู่ดี ถ้าตาแก่นั่นเกิดตามมาได้ทัน
ถึงตาแก่นั่นจะกำลังตกที่นั่งลำบาก ข้าก็ฝากความหวังทั้งหมดไปที่เจ้ายุงไม่ได้ ไม่รู้ทำไมมันจึงเอาแต่จ้องตาแก่นั่นไม่วางตา แต่ว่าไม่ยอมพุ่งเข้าโจมตีเสียที หวังเป่าเล่อวิเคราะห์สถานการณ์ ความเด็ดเดี่ยวฉายชัดขึ้นมาในแววตา
มีทางเดียวเท่านั้น ข้าต้องฆ่าทุกคนนอกจากตาแก่นั่นทิ้งให้เร็วที่สุด นี่เป็น ทางเดียวที่ข้าจะรอดกลับออกไปได้!
คิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็มองกระบี่เหาะเหินสีม่วงในมือตน ดวงตาเย็นเยียบ บ่งบอกถึงการติดสินใจแน่วแน่ ร่างเขากระตุกทันทีที่คิดได้ว่าจะไม่วิ่งหนีอีกต่อไป ชายหนุ่มหันหลังกลับอย่างฉับพลัน และพุ่งไปยังทิศที่ชายชุดดำทั้งหลายตรงเข้ามาหาด้วยแววตาสังหาร
ชายฉกรรจ์แบ่งกลุ่มออกค้นหาหวังเป่าเล่อ แต่ก็ยังพยายามเกาะกลุ่มอยู่ใกล้ๆ กัน และติดต่อกันเป็นระยะตลอดเส้นทาง เนื่องจากเคลื่อนไหวได้เร็วที่สุด ยอดฝีมือ ขั้นบำรุงชีพจรสองคนจึงเป็นผู้นำกลุ่ม ขณะที่กำลังค้นหาเป้าหมายอยู่นั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นแต่ไกล ชายร่างอ้วนในชุดคลุมหัวหน้าศิษย์กระโจนเข้าไปใน พงหญ้า ก่อนวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
“ทางนั้น!” ประกายเย็นเยียบผ่านเข้ามาในแววตาของยอดฝีมือขั้นบำรุงชีพจรระดับสูงทั้งคู่ พวกเขาเร่งความเร็วขึ้นเพื่อออกล่าเป้าหมาย ลูกน้องราวเจ็ดถึงแปดคนที่อยู่เบื้องหลังต่างรีบรุดตามไปด้วยท่าทีข่มขวัญ
ขณะที่กลุ่มชายชุดดำส่วนใหญ่ไล่ตามเงานั้นไป ชายสองคนที่แยกตัวออกมาอยู่ในละแวกใกล้เคียงก็รีบเร่งความเร็วเพื่อจะเข้าไปสมทบบ้าง ทว่าในวินาทีนั้นเอง พงหญ้ารอบกายของทั้งคู่ก็พลันบิดเบี้ยว พร้อมร่างของหวังเป่าเล่อที่กระโจนออกมา ความเร็วดุจสายฟ้าของเขาทำให้ชายสองคนหน้าถอดสี ชายหนุ่มเข้ามาใกล้แทบประชิดแล้ว
ไม่รอให้ชายทั้งสองเปิดปากกรีดร้อง หวังเป่าเล่อชิงตวัดมือขึ้นเสียก่อน พลันปรากฏแสงสีม่วงฉายวาบ ความเร็วของกระบี่สีม่วงนั้นมากกว่ากระบี่เหาะเหินธรรมดาอยู่มากโข เสี้ยววินาทีที่มันปรากฏออกมา คมดาบก็พุ่งทะลุหน้าผากของหนึ่งในนั้นทันที ด้านหวังเป่าเล่อเองก็เข้าปะทะชายอีกคนด้วยความเร็วเต็มกำลัง ตีเข่าเข้ากลางเป้าของเขาอย่างเต็มรัก หวังเป่าเล่อไม่สนใจการโต้กลับของชายคนดังกล่าว เขาใช้มือขวาปิดปากชายผู้นั้นและอัดร่างของเหยื่อเข้ากับต้นไม้ใกล้ๆ
ด้วยแรงกระแทกนั้น ดวงตาของชายผู้โชคร้ายเบิกโพลง ร่างของเขากระตุกก่อนจะสิ้นใจ ส่วนชายอีกคนก็ร่วงลงกองกับพื้นเช่นกัน หลังจากดาบสีม่วงปักเข้าไปกลางหน้าผากครึ่งด้าม
แม้ทั้งหมดนี้ดูราวกับกินเวลานาน แต่ความจริงแล้วเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาทีเท่านั้น หวังเป่าเล่อหายใจหอบ แม้จะใช้โอสถเพื่อเพิ่มกำลัง แต่ร่างกายของเขาก็แทบมาถึงขีดสุดแล้ว การประมือแต่ละครั้งคือจุดชี้เป็นชี้ตายที่ต้องจัดการอย่างรวดเร็ว แรงกดดันนั้นมากมายมหาศาลนัก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ใช้พลังงานมากเป็นเงาตามตัว ไปด้วย
แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้มีเวลามาให้คิดเรื่องนี้ หวังเป่าเล่อดึงดาบออก ก่อนเรียก หุ่นเชิดตัวหนึ่งออกมาจากกำไลคลังเวท เมื่อออกคำสั่งแล้ว มันก็วิ่งประกบตามหลังคอยอารักขาเขาทันที เบื้องหน้าของชายหนุ่มกับหุ่นเชิด มีชายชุดดำอีกสี่คนที่กำลังค้นหาตัวเขาอยู่
ผ่านไปราวสิบลมหายใจ ยอดฝีมือขั้นบำรุงชีพจรสองคนที่กำลังรีบรุดตามเงาในชุดคลุมหัวหน้าศิษย์ไป ก็ไล่กวดจนทันในที่สุด ทว่าพวกเขากลับพบว่าเงาที่ตามมาเป็นเพียงหุ่นเชิดตัวหนึ่งเท่านั้น ร่างอ้วนที่เห็นก่อนหน้า เป็นเพียงเสื้อผ้าหลายชั้นที่สวมทับกันจนกลมใหญ่ ทันทีที่รู้เช่นนั้น สีหน้าของพวกเขาก็เคลือบไปด้วยความพรั่นพรึง
ตอนนั้นเอง พวกเขาทั้งคู่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาแต่ไกล ทั้งสองเดือดดาลเมื่อกลับไปพบกับร่างไร้ลมหายใจสี่ร่างของลูกน้อง กับหุ่นเชิดพังๆ อีกหนึ่งตัว
“ทุกคนระวังตัวด้วย หวังเป่าเล่ออยู่ใกล้ๆ เรานี่เอง มันมีวัตถุเวทหุ่นเชิดด้วย จำข้อนี้ไว้!” ชายทั้งสองมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก พวกเขาตะโกนแจ้งข่าวไปยังป่าโดยรอบ
เวลาเดียวกันนั้น ก็มีเสียงร้องอีกเสียงสะท้อนมาเข้าหู
“มันอยู่ตรงนี้ มันใส่เสื้อแบบเดียวกับพวกเรา…”
ยังพูดไม่ทันจบ เสียงนั้นก็หยุดลงในฉับพลัน ป่าเงียบสงัดลงอีกครั้ง เหล่าชายฉกรรจ์ ที่เหลือรอดอยู่เริ่มตัวสั่นเทา ลมหายใจหอบถี่ ทุกคนตื่นตัวอย่างมากที่สุด พวกเขามองซ้ายมองขวา และค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้กัน
ขณะที่ทุกคนกำลังระแวดระวังอยู่นั้น หวังเป่าเล่อซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้าไม่ไกลกันนัก หน้าอกของชายหนุ่มมีบาดแผลฉกรรจ์ลึกจนเห็นถึงกระดูก บนหลังเขาก็มีบาดแผลลึกเช่นเดียวกันนี้อีกสองแผล เลือดไหลโชกเสื้อผ้า เขาเจ็บปวดเสียจนหน้าผากอาบด้วยเหงื่อแต่ก็กัดฟันทน หวังเป่าเล่ออมโอสถไม่กี่เม็ดที่เหลืออยู่เอาไว้ในปาก ตามองจ้องไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์ตรงหน้า
“ฆ่าทิ้งแล้วเก้า เหลืออีกเจ็ด อย่างไรพวกมันก็คงไม่แยกกลุ่มออกโดยง่าย เห็นทีข้าต้องคิดแผนการใหม่” หวังเป่าเล่อค่อยๆ ถอยหลัง สมองทำงานอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น เสียงหึ่งของยุ่งก็ดังมาแต่ไกล เจ้ายุงยักษ์บินผ่านเขาไปบนฟ้า
ภาพนั้นทำให้เหล่าชายชุดดำที่เหลืออยู่ตกใจหน้าถอดสี พวกเขามองขึ้นไป ตามสัญชาตญาณ แม้แต่หวังเป่าเล่อก็แหงนหน้าขึ้นมองตามอย่างอดไม่ได้
เจ้ายุงนั่นไปไหนแล้ว ไม่รู้ว่าตาแก่นั่นจะตายไปรึยัง แต่อย่างไรก็ค่าเท่ากัน ข้าต้องจัดการพวกมันเดี๋ยวนี้เท่านั้น