บทที่ 7 ประชาชนทุกคนเป็นคนงานเหมือง
เมื่อข่าวเรื่องหวังเป่าเล่อโกงการทดสอบแพร่สะพัดออกไป ความตื่นตะลึงของที่ ผู้ได้ยินเทียบเท่ากับความรู้สึกปลาบปลื้มชื่นชมที่มีต่อตัวหวังเป่าเล่อในตอนแรก เรื่องของหวังเป่าเล่อกลายมาเป็นประเด็นร้อนในหมู่ศิษย์ใหม่ แม้แต่ประเด็นของรุ่นพี่อื่นใดก็ไม่ร้อนแรงเท่าเรื่องนี้
มีกระทั่งคนจำนวนหนึ่งนี่โพสต์เชิงข่มขู่อยู่บนเครือข่ายวิญญาณ พวกเขาเรียกร้องอย่างกราดเกรี้ยวให้มีการลงโทษหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อถอนหายใจยาวเมื่อมองเห็นฝันร้ายของเขากลายเป็นจริง เขานั่งจ๋อยอยู่ในถ้ำที่พักและทำได้เพียงมองไปรอบๆ หัวใจเขาหนักอึ้งด้วยความเศร้าหม่น
กระนั้น หวังเป่าเล่อก็ยังพยายามปลอบใจตนเอง ว่ากันว่าก่อนที่สวรรค์จะมอบภารกิจอันยิ่งใหญ่ให้กับมนุษย์สักคน ก็จำต้องฝึกฝนจิตใจของคนผู้นั้นด้วยการให้ทนทุกข์ ทั้งยังทดสอบเส้นเอ็นและกระดูกของเขาด้วยการให้ตรากตรำลำบากเสียก่อน นี่หมายความว่าสวรรค์กำลังทดสอบข้ากระนั้นหรือ
หวังเป่าเล่อรู้ดีว่ากำลังเจอปัญหาร้ายแรงยิ่ง หากเขาตัดสินใจพลาดอีกนิดเดียวก็จะเสียหายใหญ่หลวงอย่างแน่นอน หลังจากที่ยอมให้ความวิตกกังวลมาเกาะกุมใจอยู่พักใหญ่ สมองของหวังเป่าเล่อก็เริ่มคิดหาทางแก้ไขปัญหาอีกครั้ง
หลายวันต่อมา สาขาวิชาทั้งหลายบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองแห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มต้นการเรียนการสอน วันนั้น หวังเป่าเล่อสะพายกระเป๋าใบน้อยไปเรียนตั้งแต่เช้าตรู่ เขาเดินออกจากถ้ำที่พักด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
จะเป็นเรื่องใหญ่สักเท่าไหร่กันเชียว เรื่องเล็กน้อยน่ะ ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก หวังเป่าเล่อแหงนหน้ามองกระบี่สำริดบนดวงอาทิตย์แล้วสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ นัยน์ตาของเขามีแววมุ่งมั่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาสวมชุดเสื้อคลุมศิษย์คัดเลือกพิเศษก่อนมุ่งหน้าไปที่โถงศิลาวิญญาณ หนึ่งในสามโถงหลักของสาขาวิชาอาวุธเวท
ศิษย์จำนวนมากต่างจับกลุ่มเดินไปที่โถงด้วยกัน ทุกคนต่างอยากเริ่มฝึกวิชา พวกเขาพากันเดินอย่างเร่งรีบแต่ยังพูดคุยกันไปพลาง เมื่อพวกเขามองเห็น หวังเป่าเล่อในเสื้อคลุมเต๋าสีแดง ทุกคนถึงกับผงะ เหล่าศิษย์จำหวังเป่าเล่อได้ทันที ทุกคนมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันและเปลี่ยนเรื่องหันมาคุยเรื่องหวังเป่าเล่อทันที
“นั่นหวังเป่าเล่อนี่!”
“เขาโผล่มาจริงๆ ด้วย!”
“เจ้าคิดว่าเขาจะอยู่รอดในสำนักไปได้นานแค่ไหนกัน ข้าได้ยินมาว่ามีอาจารย์คนหนึ่งเสนอให้ไล่เขาออกแล้วด้วยซ้ำ เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง”
แม้ว่าทุกคนจะกระซิบคุยกัน แต่หวังเป่าเล่อเดินผ่านศิษย์ใหม่หลายต่อหลายกลุ่มเขาจึงได้ยินคำนินทาเหล่านี้มาบ้าง ถ้าหากเป็นคนอื่น คงจะไม่อาจซ่อนความรู้สึกสับสนและกังวลได้ แต่ทว่าบุคคลพิเศษผู้ได้ศึกษาอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัยเช่นหวังเป่าเล่อ หนังหน้าที่หนาเป็นพิเศษได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาไปเสียแล้ว เขาสามารถที่จะควบคุมสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อเขาก้าวตรงเข้าไปยังโถง
แท่นศิลาที่เป็นฐานของโถงนั้นกินพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล กว้างพอจะจุคนได้เรือนหมื่น แม้ว่ารูปแบบสถาปัตยกรรมของโถงจะดูธรรมดา แต่ก็แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของ ความเก่าแก่ เสาศิลามหึมาแปดต้นค้ำหลังคาของตำหนักปักษาเพลิงร่อนเอาไว้
หน้าทางเข้าตำหนักจอแจไปด้วยเสียงพูดคุย ข้างในมีเวทีบรรยายและด้านล่างเวทีบรรยายมีโต๊ะและเก้าอี้วางเป็นขั้นๆ อยู่นับไม่ถ้วน ทุกที่มีคนนั่งอยู่เต็ม สิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุดในตำหนักแห่งนี้ก็คือกำแพงศิลาขนาดยักษ์ทางด้านขวามือของเวที
กำแพงศิลามีสีฟ้า มีนามนับร้อยสลักอยู่บนนั้น ข้างแต่ละนามนั้นมีตัวเลขกำกับอยู่ ข้างนามแรกมีตัวเลข 90 และข้างนามที่หนึ่งร้อยมีตัวเลข 82 ก่อนจะค่อยๆ ลดหลั่นกันลงมาเป็นแถว
มีศิลาแผ่นใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่หน้าทางเข้าโถง คติประจำสาขาวิชาอาวุธเวทสลักอยู่บนนั้น
‘อาวุธเวทจักทำลายล้างเต๋าอันลึกล้ำ หากไร้ซึ่งการควบคุมด้วยวัตถุเวทและสมบัติเวท’
หวังเป่าเล่อก้าวเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มยังคงวางท่านิ่งเฉยแม้จะมีศิษย์ใหม่และ ศิษย์รุ่นพี่จำนวนหนึ่งยืนอยู่บริเวณนั้น เขายืนมองคติประจำสาขา
ช่างเป็นประโยคที่น่าเกรงขาม ข้อความอันหนักแน่นทรงพลังนี้เชื่อว่าอาวุธเวทเพียงชิ้นเดียวก็สามารถสยบเต๋าทั้งปวงได้ แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะจมอยู่กับความคิดของตัวเท่าสักเท่าไร ชายหนุ่มก็ไม่อาจเลิกจ้องมองคติประจำสาขานี้ เขาถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง
หวังเป่าเล่อที่เพียงแค่สนใจสาขาวิชาอาวุธเวทเพียงเล็กน้อยเมื่อก่อน มาตอนนี้ หลังจากที่เขาได้อ่านประโยคนี้ ใจเขาเทมาให้สาขาวิชาอาวุธเวทแทบจะทั้งหมด
จะไล่ข้าออกหรอ น่าขันสิ้นดี ข้า หวังเป่าเล่อ ศึกษาอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมาเป็นสิบปี ไม่มีปัญหาแบบใดที่ข้าคนนี้จะแก้ไม่ได้หรอก หวังเป่าเล่อตั้งสมาธิและเดินเข้าสู่โถงอย่างมั่นใจ
เพราะเสื้อคลุมเต๋าสีแดงสดเด่นสะดุดตาที่หวังเป่าเล่อใส่ ทำให้ศิษย์ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงหันมาเห็นเขาในทันที มีเสียงแหลมเล็กจากฝูงชนตะโกนเรียกชื่อเขาขึ้นมา
สิ้นเสียงตะโกนนั้น สายตานับไม่ถ้วนต่างก็จับจ้องมาที่หวังเป่าเล่อ ในบัดดล สายตาของคนเรือนหมื่นที่อยู่ในโถงจับจ้องมาที่จุดเดียวกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ความกดดันมากมายนั้นหากเป็นคนธรรมดาคงเดินไม่ไหวเป็นแน่ โดยเฉพาะเมื่อมีเสียงก่นด่าลอยปะปนมาด้วย
“หวังเป่าเล่อ เจ้ายังมีหน้ามาเข้าเรียนอีกนะ!”
“ศิษย์คัดเลือกพิเศษบ้าบออะไรกัน ตำแหน่งที่ได้เพราะฉ้อโกงน่ะหรือ! ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยที่เจ้าไม่ถูกลงโทษ!”
“หวังเป่าเล่อ ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า”
หากเป็นสถานที่อื่น อาจจะไม่มีคนกล้าเอ่ยถ้อยคำรุนแรงอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ เพราะอย่างไรแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้มีความแค้นส่วนตัวต่อหวังเป่าเล่อแต่อย่างใด แต่ทว่า ในโถงใหญ่ที่มีผู้คนมากมาย บรรยากาศก็ชวนให้มวลชนโมโหร่วมกันไป อย่างช่วยไม่ได้ มีเสียงเรียกร้องให้ลงโทษหวังเป่าเล่อดังก้องขึ้นในทันที
หลิวต้าวปินก็อยู่ในฝูงชนด้วย เขารู้สึกสองจิตสองใจ พลางถอนหายใจอยู่ในอกเมื่อเขามองเห็นหวังเป่าเล่อ ความรู้สึกอันบอกไม่ถูกแล่นมาจุกอยู่ที่อก แม้เขาจะรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อโกงการทดสอบ แต่ทว่าฉากนองเลือดในระหว่างการทดสอบนั้นก็ยังคงตราตรึงในใจเขา
ถ้าหากเป็นข้า คงต้องหันหลังและวิ่งหนีเป็นแน่ หลิวต้าวปินส่ายหัวขณะที่พยายามคิดไตร่ตรองสถานการณ์ หวังเป่าเล่อยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงทางเข้า ทันใดนั้น เขาดึงเอาโทรโข่งอันเขื่องออกมากด้วยท่าทางสบายๆ นัยน์ตาของหลิวต้าวปิน เบิกโพลง หวังเป่าเล่อจรดโทรโข่งกับปากแล้วประกาศด้วยเสียงอันดัง “พวกเจ้า ทุกคนหุบปากเดี๋ยวนี้!”
เขาตะโกนด้วยเสียงอันดัง เมื่อบวกกับพลังขยายเสียงของโทรโข่งทำให้เสียงเขาดัง ราวกับฟ้าผ่า เสียงนั้นสะท้อนก้องผ่านโถง ดังกลบเสียงของผู้คนนับพัน
ผู้คนที่อยู่ใกล้หวังเป่าเล่อที่สุดที่ตะโกนด่าทอเขาด้วยเสียงอันดังนั้น แทบจะกระเด็นไปเพราะเสียงตะโกน ทุกคนหูอื้อในทันใด ส่งผลให้ห้องโถงเงียบลงในที่สุด บางคนรู้สึกงุนงง เพราะว่าไม่มีใครคาดฝันว่าจะมีคนพกโทรโข่งไว้ในกระเป๋า
ทุกคนมาที่นี่เพื่อเรียนหนังสือ ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมจะต้องเอาโทรโข่งมาด้วย
เหตุการณ์นี้เหลือเชื่อเกินไป เสียงโทรโข่งกัมปนาทนั้นทำให้ทุกคนถึงกับงุนงง จนพูดไม่ออก หลิวต้าวปินเองก็เช่นกัน เขาต้องมองไปที่โทรโข่งของหวังเป่าเล่ออยู่หลายครั้งให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป
หวังเป่าเล่อจ้องมองดูสถานการณ์อย่างพึงใจ พลางค่อยๆ เก็บเอาโทรโข่งใส่กระเป๋าไว้แบบเดิม เจ้าโทรโข่งนี้เป็นหนึ่งในสมบัติที่เขาพกติดตัวไว้ด้วยตลอด ชายหนุ่มอ่านอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูง แล้วพบว่าโทรโข่งมีประโยชน์เพียงใดในการแข่งขันปราศรัย
หวังเป่าเล่อเชิดคอและยืดอกขึ้น เขาเดินหน้าเข้ามาเมื่อเห็นว่าทุกคนอยู่ในสภาวะงงงวย เขามองเห็นหลิวต้าวปินที่มีท่าทีเก้ๆ กังๆ อยู่ แต่หลังจากก้มลงมองกระเป๋าใบจิ๋วของหวังเป่าเล่อ หลิวต้าวปินก็ยกมือขึ้นโบกทักทาย
เจ้าหลิวต้าวปินนี่น่าสนใจดี หวังเป่าเล่อตาเป็นประกายพลางรีบรุดไปนั่งข้างๆ
เมื่อผู้คนในห้องเริ่มหายจากอาการหูอื้อ คนส่วนมากโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ก่อนที่จะได้มาเอาคืนหวังเป่าเล่อ กระดิ่งเข้าเรียนก็ดังขึ้นเสียก่อน ชายชรา ผมสีดอกเลารูปร่างผอมเพรียวสวมชุดคลุมเต๋าสีดำสนิทเดินเข้ามาในห้องช้าๆ
ชายชรามีท่าทางเยือกเย็น เขาดูไม่น่าคบหาและยังทำให้บรรยากาศดูตึงเครียด ศิษย์ทุกคนหัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นกลัว ทุกคนหลุบหน้าลงต่ำ เงียบเสียงและมองที่ชายชราชุดดำ ชายชราเดินขึ้นไปบนเวทีบรรยาย
หวังเป่าเล่อรีบมองไปทางนั้นเช่นกัน
ชายชรากวาดสายตามองฝูงชนหนึ่งครั้งก่อนจะเริ่มเอื้อนเอ่ย
“สาขาวิชาอาวุธเวทมีโถงหลักสามแห่ง โถงศิลาวิญญาณ โถงอักขราจารึก และโถงแก่นวิญญาณ ข้าเป็นหนึ่งในห้าอาจารย์ประจำโถงศิลาวิญญาณ ชื่อว่าโจวหยุนไห่”
“กำแพงศิลาข้างๆ ข้านี้คือรายนามอาวุธเวทของสถาบันศิลาวิญญาณ ข้าหวังใจว่าชื่อของพวกเจ้าทุกคนจะขึ้นมาอยู่บนนี้ได้สักวันหนึ่ง”
“คาบเรียนจะเริ่ม ณ บัดนี้! แต่ก่อนที่เขาจะเริ่มเรียนการหลอมศิลาวิญญาณ พวกเจ้าจะต้องเข้าใจหลักการหนึ่งเสียก่อน ว่าเหตุใดประชาชนทุกคนจึงต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาบำรุงปราณเพื่อหลอมศิลาวิญญาณ” ขณะที่อาจารย์อาวุโสพูดไปนั้น เขาก็กำหมัดไปด้วย ศิลาสีขาวนวลขนาดเท่ากำปั้นปรากฏขึ้นมาจากอากาศธาตุ
เหล่าศิษย์พากันจ้องมองด้วยความตื่นเต้น หลิวต้าวปินผู้มีความรู้ถึงอ้าปากด้วยความตื่นตะลึงอยู่ข้างๆ หวังเป่าเล่อ เขาพึมพำว่า “อาจารย์โจวมีวัตถุเวทเก็บของ!”
หวังเป่าเล่อก็เบิกตากว้างเช่นกัน แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินเรื่องวัตถุเวทเก็บของมาบ้าง แต่เขาก็เพิ่งเคยเห็นของจริงวันนี้เอง วัตถุเวทนี้หาซื้อไม่ได้ เขาเคยได้ยินข่าวมาบ้างว่ามีคนชนะได้วัตถุเวทเก็บของนี้ไปในการประมูลครั้งใหญ่ ราคาประมูลสุดท้ายนั้น แพงระยับเกินจินตนาการ
บรรดาศิษย์ทุกคนรู้จักศิลาสีขาวนวลนั้นดี นั่นคือศิลาเปล่าที่ใช้เพื่อเป็นฐานให้กับการหลอมศิลาวิญญาณ
“37 ปีที่แล้ว กระบี่จักรวาลลอยลงมาและมีแหล่งพลังงานชนิดใหม่ปรากฏขึ้นบนโลก นั่นก็คือปราณวิญญาณ! การก่อตัวของปราณวิญญาณนั้นมีค่าอย่างยิ่ง แต่ทว่า ก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันด่วนเกินไป ในอดีตไม่เคยปรากฏว่ามีปราณวิญญาณมาก่อน และจากการศึกษาค้นคว้าของสหพันธรัฐ ถ้าหากปราณวิญญาณยังคงบำรุงผืนดินอยู่เช่นนี้ จะทำปฏิกิริยากับหยกในดินและก่อตัวเป็นเหมืองศิลาวิญญาณ!”
ชายชราชุดดำพูดอย่างเนิบๆ ศิลาสีขาวนวลที่เขาถืออยู่นั้นเปล่งรัศมีแสงเรืองเรื่อที่สว่างขึ้นเรื่อยๆ ออกมาเป็นระยะ เหล่าศิษย์มองเห็นว่าบรรดาสิ่งรอบตัวอาจารย์นั้นกำลังสั่นไหวอย่างเงียบๆ ราวกับว่าปราณวิญญาณที่มองไม่เห็นนั้นกำลังหลั่งไหลเข้าไปรวมกันที่ศิลาตามคำสั่งของอาจารย์
“อย่างไรก็ตาม พวกเราอยู่ในปีที่ 37 ของยุคกำเนิดวิญญาณ พวกเรายังคงห่างไกลจากเหมืองศิลาวิญญาณ เพราะฉะนั้นเพื่อจะสะสมศิลาวิญญาณ เราจึงต้องใช้แรงงานมนุษย์ในการหลอม ด้วยเหตุนี้หลายฝ่ายต่างพากันสนับสนุนวิชาค้ำจุนปราณให้เป็นที่แพร่หลายในหมู่ประชาชนทั่วไป เป้าหมายก็คือทำให้ทุกคนเป็นคนงานเหมืองที่สามารถหลอมศิลาวิญญาณได้และนำมาใช้แทนเงิน ผลลัพธ์คือการโลกจะเต็มไปด้วยศิลาวิญญาณที่สามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการฝึกตนได้ต่อไป”
“และด้วยเหตุที่ความสามารถในการดึงดูดปราณวิญญาณนั้นแตกต่างกันไปตามแต่ตัวบุคคล ประกอบปัจจัยอื่นๆ ระดับความบริสุทธิ์ของศิลาที่แต่ละคนหลอมได้จึงไม่เท่ากัน พรสวรรค์แต่กำเนิดจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น หากต้องการจะเข้าเรียนที่สำนักศึกษาเต๋ากวางขาว คนๆ หนึ่งจะต้องหลอมศิลาวิญญาณที่มีความบริสุทธิ์ไม่ต่ำกว่าร้อยละเจ็ดสิบได้เสียก่อน เกณฑ์คะแนนสำหรับสำนักศึกษา เต๋าศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราต่ำกว่า แต่ความบริสุทธิ์ก็ยังต้องเกินร้อยละห้าสิบอยู่ดี!”
ถ้อยคำของอาจารย์และความเปลี่ยนแปลงของศิลาเปล่าในมือทำเอาบรรดาศิษย์นิ่งงันกันไปหมด ความรู้นี้เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง และการที่ ชายชราสามารถจะหลอมศิลาวิญญาณได้ด้วยท่าทีเฉยเมยนั้นก็น่าทึ่งไม่แพ้กัน
ประชากรทุกคนสวมบทบาทคนงานเหมือง….อาจารย์สามารถหลอมศิลาวิญญาณไปพูดไปได้ หัวใจหวังเป่าเล่อเต้นแรง เขาก็สามารถหลอมศิลาวิญญาณได้เช่นกัน แต่ทว่าต้องใช้สมาธิสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง การรบกวนแม้สักเล็กน้อยก็อาจจะทำให้ การหลอมล้มเหลวได้
อาจารย์ในชุดคลุมเต๋าสีดำไม่ได้อนาทรร้อนใจกับความงุนงงของบรรดาศิษย์ เขาเอ่ยปากพูดขึ้นอีกครั้งในขณะที่ยังคงหลอมศิลาวิญญาณต่อไป
“ดังนั้นจึงมีคำถามขึ้นมาอีก จริงๆ แล้วมีวิชาค้ำจุนปราณเพียงแบบเดียวจริงหรือ”
“ข้าสามารถบอกพวกเจ้าได้อย่างแน่นอนว่า วิชาที่ประชาชนทั่วไปส่วนใหญ่เพียรฝึกกันนั้นเป็นเพียงตำราเล่มแรก ประโยชน์หลักของวิชานั้นคือการสร้างเสริมกำลังกายโดยการปล่อยให้พลังปราณไหลเข้าร่าง แม้ว่าการกักเก็บปราณไว้ในร่างนั้นจะเป็นไปไม่ได้ เพราะปราณจะไหลออกจากร่างอย่างรวดเร็วราวกับน้ำหลาก แต่หากว่าผู้ฝึกถือเอาศิลาเปล่าไว้ในมือ เขาก็สามารถจะใช้ร่างกายเป็นสื่อกลางและใช้จิตใจควบคุมปราณเพื่อหลอมศิลาวิญญาณได้ ระดับของศิลาวิญญาณมีดังต่อไปนี้ ศิลาวิญญาณชั้นด้อย ศิลาวิญญาณชั้นกลาง และศิลาวิญญาณชั้นยอด ทั้งยังมี ศิลาวิญญาณรุ้ง ซึ่งถือเป็นศิลาวิญญาณที่สมบูรณ์แบบที่สุดอีกด้วย!”
“มีเพียงนักหลอมอาวุธเวทที่จะเข้าถึงตำราเล่มที่สองได้ เพราะว่าเศษเสี้ยวจากด้ามกระบี่สำริดที่บรรจุเคล็ดวิชาค้ำจุนปราณเอาไว้ เจาะลึกเฉพาะวิชาการ หลอมอาวุธเวทเท่านั้น! ตำราเล่มแรกแพร่หลายออกไปมากกว่า เพราะว่ามีกล่าวถึงข้อมูลเสริมที่เกี่ยวข้องกับการหลอมศิลาวิญญาณเป็นหลัก ช่วยให้ประชาชนทั่วไปฝึกฝนวิชานี้ได้”
อาจารย์ชุดดำพูดด้วยความเร็วที่พอเหมาะ เมื่อเขาพูดจบ ศิลาเปล่าในมือเขาตอนนี้ส่องแสงสว่างงดงาม เขาโบกมือขวาหนึ่งครั้ง เศษขี้เถ้าลอยฟุ้งออกมาจาก ศิลาเปล่า เผยให้เห็นศิลาวิญญาณรูปเกาลัดขนาดเล็กจ้อย!
ศิลาวิญญาณเปล่งแสงสีนวลดูราวกับว่ามีหมอกควันปกคลุมอยู่รอบๆ!
“แม้ว่าตำราเล่มที่สองจะดีเพียงใด คนที่ไม่สามารถหลอมศิลาวิญญาณที่มีความบริสุทธิ์ถึงร้อยละแปดสิบได้ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้เรียน เช่นเดียวกัน ในวิชานี้ข้าจะไม่สอนเนื้อหาในเล่มที่สอง ข้าจะสอนเพียงแค่เคล็ดลับการหลอมศิลาวิญญาณที่มีการกล่าวถึงไว้ในเล่มแรกเท่านั้น!”
ทั้งห้องโถงเงียบสงัด ทุกคนจ้องมองไปยังศิลาวิญญาณในมือของชายชรา ทุกสิ่งทุกอย่างดูหม่นหมองเมื่ออยู่ใกล้กับศิลานั้น เมื่อเทียบกันกับศิลาก้อนนี้แล้ว ศิลาวิญญาณที่เหล่าศิษย์หลอมได้นั้นก็ดูคล้ายเป็นของปลอมไปถนัดตา
อาจารย์หลอมศิลาวิญญาณที่มีความบริสุทธิ์อย่างน้อยๆ ก็ร้อยละเก้าสิบได้ ขณะที่สอนไปด้วย…นอกจากจะเป็นอาจารย์แล้ว อาจารย์โจวยังต้องเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งสูงมากๆ แน่นอน! หวังเป่าเล่อหอบหายใจ คาบเรียนนั้นเหมือนได้เปิด โลกใหม่ให้กับเขา