บทที่ 8 ไหวพริบและการโต้กลับ!
ภายในโถงศิลาวิญญาณ เสียงของอาจารย์โจวหยุนไห่ยังคงเนิบนาบเช่นเดิม ราวกับว่าเขาไม่ได้กำลังสอนหนังสือ หากแต่กำลังอธิบายความเข้าใจที่เขามีเกี่ยวกับอาวุธเวท
คำอธิบายง่ายๆ ของเขาทำให้ศิษย์เข้าใจอย่างถ่องแท้ เรียกได้ว่าช่วยชี้ทางให้ศิษย์เห็นแสงสว่างเลยทีเดียว บรรดาศิษย์ใหม่ต้องใช้สมาธิอย่างมากในการฟัง ต่างคนต่างพากันจดคำพูดของอาจารย์ทุกๆ คำ
การสอนดำเนินมาจนถึงจุดที่เด็กๆ ไม่อาจจดตามได้หมดอีกต่อไป บางคนก็บ่นพึมพำกับตัวเองเพื่อเป็นการผ่อนคลาย หวังเป่าเล่อเข้าใจในที่สุดว่าทำไมสาขาอาวุธเวทจึงต้องมีโถงหลักสามโถง เพราะว่าเพียงแค่โถงนี้ที่สอนเรื่องทักษะการหลอม ศิลาวิญญาณนั้น ก็มีข้อมูลมากมายเสียจนไม่อาจจะเข้าใจได้หมดจากการเข้าเรียนเพียงไม่กี่ครั้ง
หวังเป่าเล่อจดตามจนเหนื่อยอ่อน หลิวต้าวปินเองก็เพิ่งหลุดจากภวังค์มาฟังต่อ เขามองที่หวังเป่าเล่อพลางกระซิบ “หวังเป่าเล่อ เจ้าน่ะแย่แน่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าอาจารย์หลายท่านต่างก็เสนอให้ไล่เจ้าออก”
นัยน์ตาของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความสงสาร แต่ทว่า เมื่อเขามองเห็นกระเป๋า ใบจ้อยของหวังเป่าเล่อ หน้าเขาถึงกับกระตุก
“อาจารย์คนไหนพูดหรือ” หวังเป่าเล่ออารมณ์เสียเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะเข้าใจและเตรียมใจมาแล้วก็ตาม เขาก็ยังอดรำคาญไม่ได้
หลิวต้าวปินตบไหล่หวังเป่าเล่อและทอดถอนหายใจอยู่ภายใน เขานึกในใจว่าจะใช้หวังเป่าเล่อเป็นเครื่องเตือนใจตน ขณะที่เขากำลังจะเริ่มพูดปลอบใจนั่นเอง บุคคลปริศนาสองคนก็เดินเข้ามาจากทางเข้าหลักของโถง
พวกเขาเป็นศิษย์รุ่นพี่ ทั้งคู่สวมเสื้อคลุมเต๋าสีดำที่แตกต่างจากศิษย์คนอื่น สีหน้าของพวกเขาจริงจัง และเมื่อพวกเขาปรากฏตัวขึ้น เหล่าศิษย์ภายในโถงต่างสะดุ้งและพากันสนใจ
“เกิดอะไรขึ้น ขนาดคนของฝ่ายวินัยสำนักถึงต้องมาที่นี่”
“ใช่พวกเขาจริงๆ ด้วย ถ้าเป็นพวกเขาล่ะก็จะต้องเป็นเรื่องคอขาดบาดตายแน่ๆ”
แม้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่จะไม่ทราบตัวตนของรุ่นพี่ทั้งสอง แต่พวกเขาก็พอเดาได้ว่าทั้งสองมาที่นี่เพราะอะไรจากสีหน้าที่เคร่งครัดของทั้งคู่และจากเสียงกระซิบกระซาบของบรรดาศิษย์รุ่นพี่ในห้อง
หัวใจหวังเป่าเล่อหยุดเต้นไปชั่วขณะ
โจวหยุนไห่หน้านิ่วคิ้วขมวดขณะที่จ้องมองไปยังศิษย์ชุดดำทั้งสอง ทั้งคู่เดินลงมาคารวะเขาเพื่อทำความเคารพและยื่นแผ่นหยกให้
หลังจากที่โจวหยุนไห่อ่านข้อความด้วยใบหน้าบึ้งตึง เขาเงยหน้าขึ้นและมองกวาดไปที่กลุ่มศิษย์ในห้อง สายตาของเขามาหยุดอยู่ที่หวังเป่าเล่อ
ทันใดนั้นเอง ศิษย์ทั้งห้องก็มองตามมาด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน พวกเขาต่างก็รู้สถานการณ์ของหวังเป่าเล่อดี ดูเหมือนว่าเรื่องจะไปถึงหูสำนักมหาปราชญ์ชั้นรองแล้วและหวังเป่าเล่อกำลังจะถูกลงโทษ
แม้ว่าหวังเป่าเล่อได้เตรียมการโต้ตอบสำหรับสถานการณ์นี้ไว้แล้วก็ตามที เขาก็ยังอดรู้สึกกดดันไม่ได้เพราะสภาวะที่ตึงเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีรุ่นพี่ชุดดำสองคนยืนจ้องเขาอยู่เขม็งนั้น แน่นอนว่าพวกเขาคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อชวนคุยเล่น
“หวังเป่าเล่อ ตามพวกเรามา” หนึ่งในรุ่นพี่จากฝ่ายวินัยสำนักพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะลุกขึ้นยืน โจวหยุนไห่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“หยุดก่อน รอให้หมดคาบก่อนแล้วค่อยจัดการ พวกเจ้าออกไปก่อน”
รุ่นพี่จากฝ่ายวินัยสำนักสองคนถึงกับอึ้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเขาไม่กล้าฝืนคำสั่งอาจารย์จึงก้มหัวคำนับแล้วเดินออกไปรอที่หน้าโถง โจวหยุนไห่สอนต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หวังเป่าเล่อรู้สึกโล่งใจ เขามองไปที่อาจารย์โจวหยุนไห่เหมือนจะขอบคุณ แม้ว่าเขาจะมีวิธีรับมือแล้วก็ตามแต่การมีเวลาเพิ่มนั้นเป็นเรื่องดีเสมอ หวังเป่าเล่อเริ่ม เรียบเรียงกระบวนการคิดและทำใจให้สงบ เขาหลับตาลงเพื่อตั้งสมาธิ
ศิษย์จำนวนมากเยาะเย้ยเขาไปพลางจนหมดคาบเรียน แต่ไม่ใช่ทุกคน ศิษย์ส่วนใหญ่รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องของพวกเขาจึงตั้งหน้าตั้งตาเรียนต่อไป
หลิวต้าวปินนึกสะท้อนใจขึ้นมาอีกเพราะเขาไม่แน่ใจว่าจะปลอบหวังเป่าเล่ออย่างไรดี เขารู้ดีว่าหากหวังเป่าเล่อถูกไล่ออกเมื่อไหร่ ทั้งคู่ก็จะเหมือนมาจาก คนละโลก และแม้ว่าจะมีวาสนาได้พบกันอีกในอนาคต ก็คงจะเป็นการพบกันที่น่า อึดอัดไม่น้อย
เวลาผ่านไป สี่ชั่วโมงถัดมา โจวหยุนไห่จึงสอนจบและเดินจากไป ศิษย์ทุกคนหันมามองหวังเป่าเล่อทันที สายตาเยือกเย็นของศิษย์พี่จากฝ่ายวินัยสำนักก็จับจ้องมาที่เขาเช่นกัน
“จะต้องให้เราเชิญไหม”
หวังเป่าเล่อลืมตาขึ้น สีหน้าเขาดูสงบ เขาแผ่รัศมีที่แตกต่างจากปกติ เขาเดินตามรุ่นพี่ออกจากโถงไปอย่างเงียบเชียบ
เมื่อหวังเป่าเล่อคล้อยหลังไป โถงก็ระงมไปด้วยเสียงพูดคุยฮือฮา
“นี่หวังเป่าเล่อจะโดนไล่ออกจริงๆ หรือ”
“จะไม่โดนได้ยังไงล่ะ เจ้าไม่เห็นฝ่ายวินัยสำนักหรือ ข้าไม่เคยเห็นใครที่โดน พวกเขาพาตัวไปแล้วรอดสักราย!”
ท่ามกลางการถกเถียงนั้น ศิษย์จำนวนมากวิ่งตามหวังเป่าเล่อไป พวกเขาต้องการจะเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เพราะอย่างไรก็ดี เรื่องนี้จะมีผลเป็นอย่างมากต่อสถานะศิษย์คัดเลือกพิเศษของหวังเป่าเล่อแน่นอน
เรื่องนี้เป็นที่โจษจันกันไปไกลเกินกว่าสาขาวิชาอาวุธเวท ศิษย์จากสาขาวิชาอื่นต่างก็หันมาสนใจเรื่องนี้หลังจากได้ยินว่าหวังเป่าเล่อถูกพาตัวไป
หวังเป่าเล่อไม่สนใจกับฝูงคนที่ติดตามมาเบื้องหลัง เขารู้สึกสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนขณะที่เดินตามศิษย์จากฝ่ายวินัยสำนักทั้งสองไป พวกเขามุ่งหน้าตรงไปที่ยอดเขาของสาขาวิชาอาวุธเวท
ศิษย์พี่ที่เดินนำอยู่ทั้งสองต่างก็ยิ้มเยาะอยู่ในใจ พวกเขาเคยพาตัวผู้คนจำนวนมาก มาที่นี่ตลอดระยะเวลาหลายปี มีคนจำนวนมากที่เหมือนกับหวังเป่าเล่อ คือทำใจแข็ง พวกเขาอยากจะเห็นนักว่าหวังเป่าเล่อยังใจแข็งอยู่ได้เมื่อหลังจากที่เดินออกมาจากห้องฝ่ายวินัยสำนัก
พวกเขาเดินกันไปตลอดทางอย่างเงียบเชียบ จำนวนผู้คนที่ติดตามมามีมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงอาคารแห่งหนึ่งบนยอดเขา ศิษย์พี่ทั้งสองจึงหยุดเดินและทำท่าบุ้ยใบ้ให้หวังเป่าเล่อเดินเข้าไปด้วยตัวเอง
หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกขณะกวาดตามองที่ประตูของอาคาร เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่รู้สึกกังวลในเวลานี้ แต่หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าเขาต้องรอดจากสถานการณ์นี้ไปได้ เขากัดกรามแน่น ผลักประตูเปิดออก และก้าวเท้าเข้าไปด้านใน
เมื่อเขาเดินเข้ามาในอาคาร หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงสายตานับสิบคู่ที่จ้องมองลงมาที่เขา เบื้องหน้าเขาคืออาจารย์จำนวนหลายสิบคน บ้างก็อยู่ในวัยกลางคน บ้างก็แก่ชรา ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด แต่บางคนก็ดูผิดหวัง
ชายชราบนบอลลูนโดยสารและอาจารย์เคราแพะก็อยู่ในจำนวนนั้นด้วย สีหน้าของชายชราช่างเยือกเย็นต่างจากอาจารย์เคราแพะที่ดูร้อนรนและสิ้นหวัง
ในหมู่อาจารย์นั้นมีหนึ่งคนที่ดูคล้ายจะเป็นประธานในการพิจารณาคดี เขาเป็นอาจารย์วัยกลางคนตัวผอม สวมเสื้อคลุมเต๋าสีดำ นัยน์ตาของเขาส่องประกาย ริมฝีปากของเขาบางเฉียบและร่างกายของเขาก็แผ่รัศมีที่เยือกเย็น ทำให้ภายในอาคารนั้นเย็นเยียบกว่าข้างนอกหลายเท่า
อาจารย์จำนวนมากไม่ได้มาจากสาขาวิชาอาวุธเวท แต่เพราะว่าหวังเป่าเล่อเป็นศิษย์คัดเลือกพิเศษของสาขาวิชาอาวุธเวท การตัดสินคดีของเขาจึงต้องมาจัดขึ้นที่นี่
เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อเข้ามาถึง ประธานจึงกล่าวอย่างช้าๆ ด้วยเสียงเยือกเย็น “หวังเป่าเล่อ!”
หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก เขาก้าวออกไปข้าวหน้าและโน้มตัวลงคารวะ “ขอรับ!”
“จากการสืบสวน เจ้ากระทำการชั่วร้ายอย่างไตร่ตรองไว้โดยการโกงการทดสอบแรกเข้า ตามกฎของสำนัก ความผิดเช่นนี้มีโทษไล่ออกสถานเดียว แต่เพราะว่าเจ้าเป็นศิษย์คัดเลือกพิเศษ พวกเราจึงเรียกตัวเจ้ามาเพื่อฟังคำพิพากษา!”
หลังจากที่ชายวัยกลางคนในชุดดำพูดจบ เขาก็หันไปมองหน้าเหล่าอาจารย์ทั้งหลาย ไม่เปิดโอกาสให้หวังเป่าเล่อพูดแก้ต่างให้ตนเองแม้แต่น้อย
“คณาจารย์ทุกท่าน พวกเราสามารถเริ่มการพิจารณาโทษได้เดี๋ยวนี้ ข้าขอแนะนำว่าควรลงโทษหวังเป่าเล่อด้วยการริบสิทธิพิเศษของศิษย์คัดเลือกพิเศษและไล่เขา ออกเสีย เราจะทำการเตือนไปถึงทั้งสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าว่าไม่ให้รับเขาเข้าเรียน อีกด้วย!”
ถ้อยวาจาที่เด็ดขาดและเย็นชาของเขาสะท้อนก้องไปทั่วห้อง สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไป เขาสงสัยว่าคนที่เพิ่งเคยเจอเขาเป็นครั้งแรก เหตุใดจึงได้จงเกลียดจงชังเขาถึงเพียงนั้นทั้งที่ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน คำแนะนำของประธานนั้นเรียก ได้ว่าเป็นการตัดอนาคตของหวังเป่าเล่อเลยทีเดียว
ความเงียบปกคลุมห้องตัดสินอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนที่อาจารย์อีกคนจะกล่าวขึ้น
“เขาสมควรถูกไล่ออก บุคคลที่เลวทรามและไร้ยางอายเช่นนี้ไม่ควรมีสิทธิ เข้าเรียนในสำนักวิชาเต๋า!”
“ข้าเห็นด้วย ข้าแนะนำว่าควรไล่เขาออกเช่นกัน!”
“แม้ว่าโทษจะหนักหนาอยู่พอควร แต่หากเราปล่อยปละละเลยก็เท่ากับว่า เราละทิ้งความรับผิดชอบที่เรามีต่อสหพันธรัฐ!”
อาจารย์คนแล้วคนเล่านำเสนอทัศนะของตนเองต่อที่ประชุม ไม่มีใครให้ความสำคัญกับหวังเป่าเล่อเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่อาจารย์ชุดดำได้ตั้งธงพิพากษาเอาไว้ ก็ไม่มีใครขัดแย้งเขาเลยสักคน
หวังเป่าเล่อหายใจช้าๆ ขณะที่ฟังเหล่าอาจารย์ เขาตัวนิ่งแข็งราวกับว่าตกอยู่ในภวังค์ แม้กระนั้นมือทั้งสองของเขากำแน่น ฝ่ายอาจารย์เคราแพะถึงกับส่ายหน้าและถอนหายใจ
“ข้าคิดว่าการถอนสถานะศิษย์คัดเลือกพิเศษก็เพียงพอแล้ว ไม่มีใครไม่เคยทำผิด ไม่จำเป็นจะต้องลงโทษให้หนักหนานัก”
อย่างไรก็ดี เหล่าบรรดาอาจารย์ไม่ได้สนับสนุนเขาแม้แต่น้อย อีกไม่กี่อึดใจ อาจารย์ท่านอื่นก็พูดต่อ การไล่ออกยังคงเป็นประเด็นหลักในการพูดคุย
มีแค่ชายชราเท่านั้นที่ยังคงเงียบเฉย อาจารย์ชุดดำเองก็ไม่ได้สนที่จะถามความเห็นเขาเช่นกัน เขาลุกขึ้นและดูราวกับว่ากำลังจะประกาศผลการตัดสินแต่ หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ปนเศร้าสร้อย
“ท่านอาจารย์ ได้โปรดให้โอกาสข้าได้พูดสักหน่อยขอรับ!”
ชายชุดดำทำหน้าบูดบึ้ง เหตุผลที่เขาต้องการจะลงโทษหวังเป่าเล่อก็เพราะว่าเขาวางแผนที่จะส่งตัวศิษย์อีกคนเข้าเป็นศิษย์คัดเลือกพิเศษของสาขาวิชาอาวุธเวท แต่ว่าก่อนที่จะได้ทำการแนะนำ หวังเป่าเล่อก็ดันมาแย่งตำแหน่งไปเสียก่อน อาจารย์ชุดดำส่งเสียงออกมาอย่างขัดใจและกำลังจะมองข้ามหวังเป่าเล่อ แต่ชายชราเอ่ยปากขึ้นมาเสียก่อน
“พูดได้เลย”
เมื่อเขาพูดดังนั้นแล้ว ชายชุดดำจึงทำได้เพียงแต่มองหวังเป่าเล่อเท่านั้น
หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก ร่างกายของเขาแทบจะสั่นเทา “ท่านอาจารย์ ตัวข้าทราบดีว่าเหตุการณ์ในสนามสอบนั้นเป็นนิมิต แต่ท่านจะให้ข้าทำอย่างไรเล่า”
“จะให้ข้าบอกเพื่อนร่วมชั้นอย่างนั้นหรือขอรับ ว่า ‘การทดสอบ’ นั้นเป็นของปลอม ข้าทำได้หรือ” ประโยคสุดท้ายนั้นหวังเป่าเล่อกล่าวออกมาเสียงดังจนแทบจะเหมือนเสียงคำราม
ก่อนที่อาจารย์จะมีโอกาสได้ตอบ หวังเป่าเล่อละล่ำละลักพูดต่อก่อน เขาดูเหมือนกับว่ากำลังพูดอย่างตรงไปตรงมาเพราะว่ากำลังถูกอารมณ์ครอบงำ
“หากข้าบอกความจริงกับพวกเขา ก็เท่ากับว่าข้าได้ทำลายความพยายามที่สำนักได้ใช้ไปกับการเตรียมการสอบนี้ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่าข้าได้ทำผิดต่อสำนัก หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ โปรดบอกข้าด้วยเถิดว่าควรจะทำเช่นไร
“ในช่วงเวลาที่อันตรายย่างกรายเข้ามา ข้าเห็นเพื่อนร่วมสำนักบาดเจ็บ บ้างก็หลั่งเลือด แต่ว่าข้าไม่สามารถบอกพวกเขาได้ว่าทั้งหมดเป็นของปลอม สิ่งเดียวที่ข้าทำได้ก็คือ ช่วยเหลือพวกเขาเท่านั้น ข้าทำผิดหรือขอรับที่ช่วยเหลือพวกเขาเอาไว้ ได้โปรดบอกข้าเถิด ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วข้าควรทำอย่างไร!”
เส้นเลือดบนขมับของหวังเป่าเล่อเต้นตุบๆ ตัวเขาสั่นเทาไปหมด ความเกรี้ยวกราดทั้งหมดปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา
“การช่วยเหลือคนเป็นสิ่งผิดอย่างนั้นหรือขอรับ ข้าไม่ควรช่วยพวกเขาหรือ แม้ว่าข้าจะรู้ว่าทุกอย่างเป็นของปลอม ข้าก็ต้องชั่งใจว่าข้าจะโกงดีหรือไม่ คิดถึงข้อดีข้อเสียของการกระทำของข้า ข้าควรจะนิ่งเฉยหรือเมื่อศิษย์ร่วมสำนักเดียวกับข้ากำลังร่ำไห้ บาดเจ็บ หรือแม้แต่ล้มตาย ข้ายังสามารถเรียกตัวเองว่ามนุษย์ได้อีกหรือหากทำเช่นนั้น!” หวังเป่าเล่อตอนนี้กำลังตะโกนแทบสุดเสียง เขาปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมดของเขาออกมา เสียงของเขาสะท้อนก้องไปทั่วทั้งห้องตัดสิน
อาจารย์ทุกคนตกตะลึง
“สิ่งที่ท่านเห็นคือ ข้าทำการแสดงหลอกลวง แต่ข้าอยากจะถามพวกท่านทุกคนว่า หากท่านเป็นข้า ท่านจะทำเช่นไร ท่านจะหันหลังให้กับความตายหรือท่านจะช่วยผู้คน เช่นเดียวกับที่ข้าได้ทำ
“ข้าเป็นศิษย์สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่อาจกล่าวอ้างว่าข้าจะสามารถเปลี่ยนโลกหรือนำสันติภาพมาสู่โลกได้ แต่ข้า หวังเป่าเล่อ เป็นคนรักความถูกต้อง!”
ตาของหวังเป่าเล่อตอนนี้มีน้ำตาเอ่อคลอ เขายกมือขวาขึ้นทุบอกเป็นเสียงตุบๆ ดังสนั่น ทุกคำพูดของเขาฟังดูจริงใจ อาจารย์หลายคนจากในกลุ่มรู้สึกสะเทือนใจอย่างเห็นได้ชัด
ฉากสุดท้ายนั้นมีพลังที่สุด หวังเป่าเล่อหัวเราะออกมาอย่างเศร้าสร้อย
“หากว่าการเสียสละตนเองเพื่อป้องกันผู้อื่นนับเป็นอาชญากรรม เช่นนั้นแล้ว ข้าก็ขอยอมรับผิด!
“หากว่าการมีสติปัญญาหลักแหลมและเฉียบคมนับเป็นอาชญากรรม เช่นนั้นแล้ว ข้าก็ขอยอมรับผิด!
“ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะก็ ข้า ศิษย์ผู้นอบน้อมของท่านทั้งหลาย หวังเป่าเล่อ จะขอยอมรับโทษทุกประการแต่โดยดี!”
หวังเป่าเล่อพูดเสียงดังฟังชัดและตามด้วยการโค้งคำนับเหล่าอาจารย์หนึ่งครั้ง
ทั้งห้องตัดสินเงียบลงอีกครา อาจารย์ทุกคนต่างก็สับสนและแสดงความไม่มั่นใจออกมาทางสีหน้า พวกเขามองหวังเป่าเล่ออย่างงุนงง ทุกประโยคที่เขากล่าวมามีเหตุผลและความถูกต้องหนุนหลัง และยังสะเทือนใจพวกเขาเป็นอย่างมาก
แต่เหล่าอาจารย์ เช่น อาจารย์เคราแพะเป็นต้น ผู้ได้เห็นการแสดงของหวังเป่าเล่อกับตาตนเอง แม้จะรู้สึกสะท้อนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่พวกเขาก็รู้สึกเช่นกันว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล
กลับมาที่ชายชุดดำ เขาหรี่ตาเพ่งมองหวังเป่าเล่อ เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับเลือกคำไม่ถูก แม้เขาจะรู้ดีว่าถ้อยแถลงของหวังเป่าเล่อมีช่องโหว่ให้เล่นงาน ทว่ากลับมีความเถรตรงหนุนหลังเป็นสำคัญ อาจารย์ชุดดำรู้จักทักษะการพูดดังกล่าวเป็นอย่างดี เป็นทักษะที่นิยมใช้กันในหมู่เจ้าพนักงานขั้นสูง ยากยิ่งที่จะพบเจอ ทักษะแบบนี้จากศิษย์ในสำนัก
ประธานถึงกับจนถ้อยคำ หากปฏิเสธคำกล่าวของหวังเป่าเล่อก็เท่ากับปฏิเสธความถูกต้อง เมื่อเขาหันไปมองอาจารย์ท่านอื่น เขาก็รู้ทันทีว่าหวังเป่าเล่อรอดแล้ว ประธานถอนหายใจ เจ้าสิ่งเล็กจ้อยที่เขาคิดว่าสามารถกำจัดทิ้งได้อย่างง่าย กลับกลายเป็นเม่นจิ๋วที่มีหนามแหลมคม
ชายชรายิ้มอย่างมีนัยและหลับตาลง
ในอีกไม่กี่อึดใจ หวังเป่าเล่อเดินออกมาจากอาคาร มีผู้คนเรือนพันยืนห้อมล้อมอาคารอยู่ หลายคนรู้สึกอิจฉาหวังเป่าเล่อและสิทธิพิเศษที่เขามีในฐานะศิษย์ คัดเลือกพิเศษ จึงพากันเยาะเย้ยความโชคร้ายของเขา หวังจะได้เห็นหวังเป่าเล่อต้องอับอาย แต่กลับมีเสียงสนั่นดังมาจากข้างในอาคาร สะท้อนก้องไปทั่วสาขาวิชา อาวุธเวท!
“จากการสอบสวนของสำนัก ศิษย์จำเลย หวังเป่าเล่อ ไม่ได้ทำผิดกฎในการทดสอบศิษย์ใหม่ ให้คงสถานะศิษย์คัดเลือกพิเศษของเขาไว้ตามเดิม!”