บทที่ 76 เริ่มแผนโต้กลับ
พวกอันธพาลคลุ้มคลั่งโรคจิต! หวังเป่าเล่อนั่งกัดฟันแน่นอยู่ในถ้ำที่พักพลาง คบเคี้ยวขนมจำนวนมาก
เขาแอบมองลอดช่องประตูออกไปหลายครั้งแล้วแต่ไม่เปิดประตูเพราะเห็นกระโจมจำนวนมากอยู่ด้านนอก ศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าจำนวนหลายร้อยใช้ชีวิตอยู่หน้าถ้ำที่พักของเขานั่นเอง
หลังจากถูกจ้องมองเพื่อบรรลุธรรมโดยคนหลายร้อยทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึก หมองหม่นเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาไม่สามารถออกจากถ้ำที่พักได้…แม้เขาออกไปก็จะไปไหนมาไหนลำบากยิ่ง สถานการณ์นี้ทำให้เขารู้สึกราวกับถูกจองจำ หวังเป่าเล่อรำคาญใจยิ่งนัก
ไม่มีเหตุผลเลย! หวังเป่าเล่อผู้เศร้าสร้อยไม่อยากแม้กระทั่งจะกินขนม เขารู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก ในฐานะนักสู้ไร้พ่ายผู้กำจัดหลินเทียนหาว รอดชีวิตจากเหตุการณ์ที่ป่าฝนบ่อเมฆ เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าจะต้องมากลุ้มใจกับสาขาวิชา ปรัชญาเต๋า
ต้องรีบคิดแผนแล้ว! หวังเป่าเล่อดึงทึ้งผม ทันใดนั้นเขานึกถึงบุคคลผู้ซึ่งสามารถทำได้ทุกสิ่งอย่าง เซี่ยไห่หยาง และส่งข้อความเสียงไปหาเขาในทันที
เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เซี่ยไห่หยางไม่ตอบ จนเมื่อหวังเป่าเล่อส่งข้อความไปหาเยอะจนเขาทนไม่ไหว เซี่ยไห่หยางจึงตอบกลับมาในที่สุด สุ้มเสียงของเขาฟังดูเจ็บปวดและลนลาน
“ศิษย์น้อง ข้ายอมเรียกเจ้าว่าศิษย์น้องแล้วนะ ครั้งนี้ข้าคงช่วยเจ้าไม่ได้จริงๆ ได้โปรดหยุดติดต่อมาหาข้าเถิด ข้าไม่เกรงกลัวใครในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น นอกเสียจาก…สาขาปรัชญาเต๋า”
“ไม่ว่าเจ้าจะให้เงินข้ามากเพียงใด ข้าก็ไม่อาจแก้ปัญหานี้ให้เจ้าได้ ข้ากลัวเสียอีกว่าพวกนั้นจะล่วงรู้ว่าเจ้าติดต่อมาหาข้า พวกมันบ้าสิ้นดี ตอนที่เจ้าไปยั่วโมโหพวกมัน…ศิษย์น้อง โปรดเมตตาข้าด้วยเถอะ”
ได้ยินคำตอบของเซี่ยไห่หยางดังนั้นหวังเป่าเล่อถึงกับตกตะลึง เขากัดกรามแน่น มีความเกลียดชังปรากฎในแววตา
“ขี้ขลาด!” เขาด่าพลางส่งเสียงขากใส่อย่างเกลียดชัง หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน หวังเป่าเล่อคิดว่าคนเดียวที่เขาจะติดต่อได้ก็คือหัวหน้าสาขา เขาส่งข้อความเสียงไปหาอาจารย์อย่างรวดเร็ว
“หัวหน้าสาขาขอรับ สาขาปรัชญาเต๋ารังแกข้า สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ไม่สนใจเลยหรือ สาขาปรัชญาเต๋าเป็นพวกนอกกฎหมายหรืออย่างไร!”
ครานี้ แม้กระทั่งหัวหน้าสาขาเองก็ยังเงียบงันไปเป็นเวลานาน ก่อนจะตอบคำ
“เป่าเล่อ บอกข้าหน่อย…ทำไมเจ้าถึงไปมีเรื่องกับสาขาปรัชญาเต๋าเสียล่ะ ไม่ใช่ว่าสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ไม่สนใจหรอก แต่เพราะว่า…ผู้อยู่เบื้องหลังของสาขา ปรัชญาเต๋านั้นเป็นผู้ที่เราไม่อาจล่วงเกินได้ คนภายนอกไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับการที่ พวกศิษย์เหล่านั้นเลือกใช้เจ้าเป็นคนช่วยบรรลุธรรม เจ้าคงต้องแก้ปัญหานี้ด้วยตนเอง
“นั่นยังไม่น่ากลัวเท่าใดนัก เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งใดกันที่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวก็คือ หากพวกเขาเกิดบรรลุธรรมขึ้นมาในช่วงเวลานี้ ถ้าเป็นเช่นนั้นล่ะก็จบเห่กันล่ะ…เจ้าต้องรู้นะว่ามีศิษย์มากกว่าสองหมื่นคนในสาขาปรัชญาเต๋า เจ้าจงไปขอขมาเขาเสียเถิด ข้าจะช่วยพูดให้”
หวังเป่าเล่อลืมคิดถึงข้อนี้ไปเสียสนิท เมื่อได้ยินอาจารย์พูดดังนั้นนัยน์ตาของเขาเบิกโพลง สมองรู้สึกเหมือนจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ เมื่อคิดถึงผลที่ตามมาเหงื่อเม็ดเป้งๆ ก็ซึมออกมาบนหน้าผากเขา
ถ้าข้าเลือกเข้าสาขาปรัชญาเต๋าตั้งแต่แรก…หวังเป่าเล่ออดนึกไปถึงตอนที่เขาถูกกล่าวหาว่าโกงการทดสอบแรกเข้าไม่ได้ หากเขาอยู่สาขาปรัชญาเต๋า เพียงเขาพูดว่า ‘เต๋าเบิกตาข้าให้เห็นธรรม’ ปัญหาทั้งหมดก็คงคลี่คลายไปเอง
บางทีการที่อดีตผู้นำสหพันธรัฐมีอำนาจมากอาจเป็นเพราะเขามากจาก สาขาปรัชญาเต๋าก็เป็นได้ มีพื้นเพมาจากพวกอันธพาล! หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือน จะเป็นบ้า แม้ว่าเขาจะใคร่ครวญถึงคำแนะนำจากอาจารย์เคราแพะให้เขาไปขอโทษ แต่หวังเป่าเล่อไม่ต้องการทำเช่นนั้น ชายหนุ่มรู้ว่าเขาไม่ได้ทำผิดอะไร
ข้าไม่ได้ทำผิดแต่ต้องไปขอโทษอย่างนั้นหรือ! หวังเป่าเล่อรู้สึกเคืองความ อยุติธรรมนี้ เขานั่งนิ่งอยู่นาน จ้องมองไปยังความว่างเปล่าพลางกัดกรามแน่น
สาขาปรัชญาเต๋า คราวนี้พวกเจ้าจะทำเกินไปแล้ว ข้าไม่ยอมแพ้แน่นอน อย่างเลว เราก็มาสู้กันให้รู้ดำรู้แดงไป! แค่เพราะว่าพลังของพวกเจ้าเหนือกว่า…ข้าไม่กลัวหรอกนะ ข้าจะต้องก้าวข้ามพวกเจ้าไปให้ได้!
แววตาของหวังเป่าเล่อแสดงความมุ่งมั่น เขาคิดถึงการที่อีกฝ่ายไม่ใช้ความรุนแรงแต่ใช้เขาเพื่อบรรลุธรรม ถ้าอย่างนั้น เขาก็จะไม่ใช้ความรุนแรงเช่นกัน เพราะหากเขาใช้ก็จะกลายเป็นคนกักขฬะที่อ่อนชั้นเชิงกว่า
ก็แค่ทรมานคนไม่ใช่หรือ ข้ารู้วิธีทำให้คนร้องไห้ตั้งแต่อายุหกขวบแล้ว!
ก่อนหน้านี้ หวังเป่าเล่อไม่ได้ลงมือเพราะถือว่าพวกเขาเป็นศิษย์ร่วมสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน แต่ว่าบรรดาศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าได้ล้ำเส้นแล้ว เพราะฉะนั้นหวังเป่าเล่อก็จะเอาจริงเช่นกัน
เขาแสยะยิ้มขณะที่เปิดสร้อยข้อมือเก็บของขึ้น ด้านในมีวัตถุดิบหลอมวัตถุเวทที่เขาเตรียมไว้ก่อนหน้านี้อยู่จำนวนมาก
หลังจากที่นับจำนวนของ หวังเป่าเล่อเดินออกนอกถ้ำที่พักในทันที วินาทีที่เขาปรากฎตัวขึ้น ศิษย์สาขาปรัชญาเต๋านับร้อยต่างก็ลุกขึ้นยืนและเดินตามเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“มาดูกันว่าใครจะยอมแพ้ก่อน!” หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะและเมินหน้าหนี ขณะส่งข้อความเสียงไปหาหลิวต้าวปินและสั่งการให้ขวางหน้าทางเข้าถ้ำเตาหลอมวิญญาณไว้ จากนั้นเขาทำการล่อเหล่าศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าไปรอบยอดเขาสาขาอาวุธเวท ก่อนจะหนีเข้าถ้ำเตาหลอมวิญญาณ เมื่อเขาไปถึง หลิวต้าวปินพร้อมด้วยศิษย์ ฝ่ายวินัยอีกหลายร้อยได้ปิดล้อมถ้ำเตาหลอมวิญญาณไว้เรียบร้อย
“หลิวต้าวปิน จงเฝ้ายามอย่างระมัดระวัง ห้ามให้ใครเข้ามาแม้สักครึ่งก้าวเลยเชียว!” ขาดคำ หวังเป่าเล่อก็เร่งความเร็วขึ้น เขาปรี่ผ่านหลิวต้าวปินและคนอื่นๆ เข้าไปใน ถ้ำเตาหลอมวิญญาณอย่างไม่สนใจการเผชิญหน้าระหว่างศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าและศิษย์ฝ่ายวินัยของสาขาอาวุธเวทแม้แต่น้อย เขานั่งไขว้ห่างและหยิบเอา… หุ่นเชิดออกมา!
พวกเจ้าจ้องมองข้า ตามข้าไปทุกที่…ได้เลย เจ้าใช้ข้าเพื่อบรรลุธรรม…อย่างนั้นโปรดให้ข้าช่วยให้พวกเจ้าบรรลุธรรมง่ายขึ้นด้วยเถิด! หวังเป่าเล่อหรี่ตาและเริ่มตกแต่งภายนอกของหุ่นเชิดให้ดูเหมือนตัวเขา
หวังเป่าเล่อชำนาญในการหลอมหุ่นเชิดอยู่แล้ว ใช้เวลาประมาณหกชั่วโมงในการตกแต่งภายนอกของหุ่นเชิด หุ่นเชิดตอนนี้นั้นเหมือนหวังเป่าเล่อราวกับแกะ แม้กระทั่งชุดคลุมหัวหน้าศิษย์ แม้ว่าหุ่นเชิดจะเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ก็ดูสมจริงอย่างมาก
ขณะจ้องมองไปที่รูปเหมือนของตนเองนั้น หวังเป่าเล่อแสยะยิ้มออกมาและ เริ่มหลอมหุ่นต่อไป สามวันผ่านไปเร็วราวกับลมพัด ทางด้านนอกถ้ำเตาหลอมวิญญาณนั้น หลิวต้าวปินและพรรคพวกรู้สึกถึงความกดดันที่เพิ่มขึ้นเพราะถูกศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าที่นั่งขัดสมาธิล้อมรอบอยู่จ้องมองอย่างไม่หยุดหย่อน ทันใดนั้นเองจากภายในถ้ำเตาหลอมวิญญาณ เงาร่างหนึ่งบินโผออกมา
เงานั้นมีรูปร่างอ้วนกลมดูคล้ายหวังเป่าเล่อ ความเร็วของเงานั้นสูงยิ่ง มันบินข้ามหัวหลิวต้าวปินและคณะในชั่วพริบตาและหนีไปไกลลิบ
การปรากฎขึ้นของเงาดึงเอาความสนใจของศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าไป ทุกคนลุกขึ้นยืน
“นั่นหวังเป่าเล่อนี่!”
“ในที่สุดเขาก็ทนสู้กับสาขาปรัชญาเต๋าของพวกเราไม่ไหวอีกต่อไป ทุกคน ไปกันเลย ไปจ้องเขาจนกว่าจะบรรลุธรรม!”
“หวังเป่าเล่อ แน่จริงอย่าหนีสิ!”
ขณะที่บรรดาศิษย์สาขาปรัชญาเต๋ายิ้มอย่างมีชัยและวิ่งไล่ไปนั้น หลิวต้าวปินและศิษย์ฝ่ายวินัยก็ได้แต่ปาดเหงื่อจ้องมองพวกนั้นจากไป พวกเขาหันมาหัวเราะขื่นๆ ใส่กัน แต่ก่อนที่พวกเขาจะเดินออกไปนั้น เงาอีกร่างหนึ่งเดินออกมาจากถ้ำเตาหลอมวิญญาณ หวังเป่าเล่อนั่นเอง!
“หัวหน้าศิษย์ ท่าน…” หลิวต้าวปินถึงกับอึ้ง เขาจ้องมองไปที่หวังเป่าเล่อคนที่สองด้วยสีหน้าว่างเปล่า ศิษย์คนอื่นก็พากันงุนงง พวกเขามองหน้ากันอยู่ไปมา จากข้างหลังปรากฎเงาที่สาม สี่ ห้า…มีร่างสิบสามร่างเดินออกมา
ทุกร่างคือหวังเป่าเล่อ ทุกร่างสวมชุดคลุมหัวหน้าศิษย์ เมื่อเดินออกมาแล้ว ทุกร่างก็ออกวิ่งไปคนละทิศคนละทาง ทำให้หลิวต้าวปินและพวกพากันงงเข้าไปอีก แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกตะหงิดๆ แต่ก็ยังคงตกใจ
“พวกนี้คือ…หุ่นเชิดอย่างนั้นหรือ”
หุ่นเชิดนั้นหลอมยากมาก แม้ว่าภายนอกจะดูธรรมดา แต่ส่วนที่สำคัญยิ่งคือภายใน เพราะว่าต้องใช้วิชาอักขระขั้นสูงและยังต้องการแก่นวิญญาณที่แข็งแรงเพื่อจะได้ดูเหมือนคนจริงๆ
ในทั่วทั้งเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองนี้ หวังเป่าเล่อเป็นคนเดียวเท่านั้นที่สามารถหลอมได้ เพราะว่าเขาสามารถหลอมศิลาวิญญาณรุ้งเพื่อทำแก่นวิญญาณให้หุ่นและ ยังสามารถจารึกอักขระด้วยความชำนาญด้านการคำนวนอย่างเป็นระบบของเขาเอง และยังเชี่ยวชาญการหลอมแก่นวิญญาณอีกด้วย
หลิวต้าวปินและศิษย์ฝ่ายวินัยยืนอ้าปากค้างนัยน์ตาเบิกโพลง อีกหลายวันต่อมา ศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าเองก็สับสนกันไปหมด เพราะพวกเขาเคยเห็นหวังเป่าเล่อมาก่อนก็จริง แต่มาวันนี้ มีหวังเป่าเล่อนับสิบอยู่บนยอดเขาสาขาอาวุธเวท
พวกเขารู้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล หุ่นเชิดที่หวังเป่าเล่อสร้างขึ้นอาจดูไม่เหมือนจริงเสียทีเดียว แต่ด้วยความที่ศิษย์จากสาขาปรัชญาเต๋าไม่คุ้นชินกับวัตถุเวทพวกเขาจึงมองไม่ออก เพราะเหตุนั้น ปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่ก็คือ… พวกเขามองเห็นหวังเป่าเล่อ แต่ไม่รู้ว่าคนไหนคือตัวจริง!
ในขณะเดียวกัน พวกเขาตามหุ่นเชิดตัวหนึ่งไปเป็นเวลานาน และหลังจากเพ่งพินิจอยู่นาน พวกเขาก็มองออกว่าเป็นตัวปลอม เมื่อไปตามดูตัวอื่นๆ ก็เห็นได้ว่าเป็นตัวปลอมเช่นกัน
หวังเป่าเล่อบางคนยังคงวิ่งอยู่ บ้างก็อยู่ในถ้ำเตาหลอมวิญญาณ บ้างก็กลับถ้ำที่พักเพื่อปลีกตัว บ้างก็อยู่ในห้องหินละลาย และอีกจำนวนมากยังคงเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วสาขาอาวุธเวท
ไม่มีใครเจอหวังเป่าเล่อตัวจริง ไม่เพียงแต่ศิษย์จากสาขาปรัชญาเต๋าเท่านั้น… แม้ศิษย์จากสาขาอาวุธเวทเองก็ยังมึนงงไปหมด เหตุการณ์นี้เหมือนเปิดโลกใหม่ให้ กับพวกเขา การถกเถียงอย่างเร่าร้อนเริ่มต้นขึ้น บนเครือข่ายวิญญาณเองก็เช่นกัน
“การต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อและสาขาปรัชญาเต๋ามีความคืบหน้าใหม่!”
“ข่าวล่ามาเร็ว หวังเป่าเล่อสร้างหุ่นเชิดรูปตัวเองนับสิบ ทำให้ศิษย์สาขาปรัชญาเต๋ามึนงง แม้ว่าพวกเขาจะบรรลุธรรมจากการจ้องมองหุ่นเชิดเหล่านี้ ธรรมที่บรรลุก็ คงเป็นของเก๊!”
ในไม่นาน ความโกลาหลก็ก่อตัวขึ้นบนยอดเขาสาขาอาวุธเวท แต่หุ่นเชิดอย่างไรก็คือหุ่นเชิด แม้จะท้อแท้ แต่ศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าก็เริ่มจับทางได้และเริ่มมีกระบวนการในการดูว่าตัวไหนเป็นหุ่นเชิด พวกเขาเริ่มแยกออกอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อตัวจริงเดินปะปนอยู่ในฝูงชน เขาเฝ้ามองศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าที่มองข้ามเขาไปด้วยสีหน้าว่างเปล่า พวกเขาคิดว่าหวังเป่าเล่อเป็นตัวปลอม เขายิ้มเยาะอยู่ในใจ
เบี่ยงเบนความสนใจเป็นเพียงเป้าหมายรองของข้าเท่านั้น เป้าหมายหลักของข้าคือการซื้อเวลาเพื่อศึกษาลักษณะของพวกเจ้าเพิ่มอีก ข้ามีแผนการอีกมากมายนัก ต่อไป ข้าจะทำให้ศิษย์สาขาปรัชญาเต๋าสั่นกลัวเมื่อเห็นหน้าข้าไปเลย! ตาของ หวังเป่าเล่อเป็นประกายขณะที่เขาเดินออกจากฝูงชนมา
วันที่สอง…หุ่นเชิดบนยอดเขาสาขาอาวุธเวทเพิ่มจำนวนขึ้นอีก พวกนี้ไม่ได้เหมือนหวังเป่าเล่อแล้ว แต่ทว่า…เหมือนกับคนร้ายในเหตุการณ์นี้ นั่นคือเจ้าหนุ่ม สาขาปรัชญาเต๋าผู้สารภาพรักกับกระต่ายน้อยนั่นเอง
หุ่นเชิดดูเหมือนเขาทุกกระเบียดนิ้ว หากไม่ดูให้ดีๆ ก็ยากที่จะมองเห็นความแตกต่างได้
หุ่นเชิดเดินฝ่าฝูงชนไปราวกับกำลังมองหาบางสิ่ง ในไม่ช้าหุ่นเชิดตัวหนึ่งมองเห็นชายหนุ่มผู้ซึ่งหน้าตาเหมือนมันในกลุ่มศิษย์สาขาปรัชญาเต๋า มันเดินตรงไปหาเขาทันที
เจ้าหนุ่มตัวการกำลังนั่งขัดสมาธิเพื่อบรรลุธรรม เขาพูดลอดไรฟันกับเพื่อนๆ
“เจ้าหวังเป่าเล่อนี่ช่างร้ายกาจนัก แต่พวกเราจะยอมแพ้ไม่ได้ พวกเขาต้องทำให้เขาสำนึกกับการมาลบหลู่สาขาปรัชญาเต๋า!”
“ถูกต้องแล้วศิษย์พี่เฉิน โปรดไม่ต้องเป็นห่วงไป หากหวังเป่าเล่อกล้ามาลองดีกับพวกเราละก็ พวกเราจะจัดการให้หนักทีเดียว!”
ทุกคนพูดโต้ตอบกัน ต่างคนต่างก็เกลียดแค้นคนๆ เดียวกัน ขณะนั้นเอง หนึ่งในกลุ่มนั้นเงยหน้าขึ้น เขาถึงกับผงะเมื่อเห็นหุ่นเชิดเดินตรงเข้ามาหาเขา
“ศิษย์พี่เฉิน…ข้าคิดว่าข้าเห็นท่านอีกคนหนึ่ง…”